หลังจากที่จื่อจุนขับรถพาเย่เชียนมาถึงโรงแรมที่จ้าวหยาและโจวรุหลานอยู่แล้ว เย่เชียนก็พาสองแม่ลูกมุ่งหน้าต่อไปยังสถานที่หลุมศพของเฉินฟู่เฉิง ส่วนจื่อจุนกับเซียวหวันนั้นแยกตัวออกไปต่างหาก เพราะพวกเขาจะต้องไปติดต่อกับสำนักงานกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติเพื่อรับรายงานข้อมูลสถานการณ์ล่าสุด
ทางด้านของอู๋หวนเฟิงก็ไม่ได้ไปกับเย่เชียนเช่นกัน เพราะเขาต้องการที่จะเริ่มต้นการตรวจสอบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของจู้ซานและซูเจี้ยนจุน เพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป
เย่เชียนไม่รู้เลยว่าจ้าวหยากับโจวรุหลานนั้นคุยอะไรกันเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองแม่ลูกจะเข้าใจกันดีเป็นปกติแล้ว อันที่จริงเย่เชียนนั้นไม่คิดว่าโจวรุหลานทำผิดอะไรต่อจ้าวหยาเลย เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งที่สมควรที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเป็นเหตุผลของจ้าวเทียนห่าวที่ไม่มีวันยอมทอดทิ้งโจวรุหลานไปไหน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยากันแค่เพียงในนามเท่านั้น แต่จ้าวเทียนห่าวก็ยังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไปอย่างดีที่สุด
ตั้งแต่ที่โจวรุหลานรู้ข่าวการเสียชีวิตของเฉินฟู่เฉิง เธอก็กลายเป็นคนไม่มีชีวิตชีวาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร จนบางครั้งมันก็ส่งผลถึงสภาพร่างกายภายนอกของเธอทำให้เธอนั้นดูแก่ชราลงอย่างน่าใจหาย แม้ว่าโจวรุหลานและเฉินฟู่เฉิงจะไม่ได้อยู่กินฉันสามีภรรยากันอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาโจวรุหลานนั้นไม่เคยลืมเฉินฟู่เฉิงเลย เขายังคงเป็นที่พึ่งทางใจให้เธออยู่เสมอ แม้ว่าตัวจะอยู่ไกลกันสักเพียงใด แต่มาวันนี้วันที่เฉินฟู่เฉิงได้ลาจากโลกนี้ไปตลอดกาลแล้ว โจวรุหลานก็รู้สึกว่าที่พึ่งทางใจของเธอก็หายไปจากโลกนี้ไปด้วย
ทางด้านของจ้าวหยานั้น แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นหน้าพ่อแท้ ๆ ของตัวเองมาก่อน แต่เมื่อเธอได้มารู้ความจริงในวันที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว มันก็ทำให้เธอรู้สึกโศกเศร้าและหดหู่ไปไม่น้อยว่าโจวรุหลานแม่ของเธอเลย เพราะอย่างไรเสียเลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่วันยังค่ำ การทำใจยอมรับเรื่องทั้งหมดภายในเวลาอันแสนสั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เย่เชียนไม่อยากรบกวนสองแม่ลูก เขาเพียงแต่ขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังสุสานของเฉินฟู่เฉิงอย่างเงียบ ๆ และปล่อยให้สองแม่ลูกเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างดูดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกสีดำครึ้มปกคลุมจนท้องฟ้ากลายเป็นสีเทา
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงที่สุสาน เย่เชียนลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้โจวรุหลาน ขณะเดียวกันจ้าวหยาเองก็เข้ามาช่วยพยุงแม่ของเธอลงจากรถด้วย จากนั้นทั้งสามก็เดินขึ้นไปบนภูเขา
สุสานของเฉินฟู่เฉิงนั้นถูกสร้างเอาไว้ที่บนยอดเขา แต่โดยรอบนั้นไม่มีสุสานอื่น ๆ ถูกสร้างเอาไว้เลยมันจึงดูเงียบเหงาอยู่เล็กน้อย ที่พื้นตรงบริเวณสุสานนั้นถูกปูด้วยหินอ่อนทั้งหมดและมีข้อความถูกสลักเอาไว้ว่า ‘สุสานของเฉินฟู่เฉิง’ ถัดลงมาอีกบรรทัดมีวันชาตะและวันมรณะถูกสลักกำกับเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าไม่สังเกตให้ดีอาจมองไม่เห็นข้อความเหล่านี้ เพราะมันถูกบดบังไปด้วยช่อดอกไม้ที่ผู้คนนำมาแสดงความเคารพต่อเฉินฟู่เฉิงผู้ล่วงลับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงสุสานเปล่า ๆ ที่ถูกทำขึ้นมา แต่มันก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพและรำลึกถึงของผู้คนในเมืองหนานจิงที่มีต่อเฉินฟู่เฉิง ในฐานะที่เขานั้นได้ช่วยเหลือผู้คนมากมายในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ในสายตาของคนบางคนเฉินฟู่เฉิงนั้นอาจเป็นแค่พวกนักเลงหัวไม้ก็ตาม แต่สำหรับคนจำนานมากแล้วเฉินฟู่เฉิงนั้นยิ่งใหญ่เทียบเท่าได้กับเทพเจ้าเลยทีเดียว
เมื่อโจวรุหลานเดินมาถึงที่สุสาน เธอก็ลงไปนั่งคุกเข่าแล้วใช้มือลูบที่พื้นหินอ่อนเบา ๆ แววตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและอาลัยอาวรณ์
“ฟู่เฉิง… ฉันพาลูกมาหาแล้วนะ” โจวรุหลานพึมพำ
“พ่อคะ!” จ้าวหยาตะโกนและคุกเข่าลงข้าง ๆ โจวรุหลาน “หนูขอโทษค่ะพ่อ… ที่หนูไม่แม้แต่จะมาเจอหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย หนูมันลูกอกตัญญู!”
เย่เชียนเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน เขาเคาะสุสานไปสามครั้งจากนั้นก็ลุกขึ้น
ในชีวิตของเย่เชียนเขานั้นแทบจะไม่ยอมคุกเข่าให้ใครเลย มีก็แต่พ่อของเขาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก ตอนนั้นเขาดื้อมากจนไปทำอะไรผิดมาสักอย่าง พ่อของเขาจึงว่ากล่าวสั่งสอน เย่เชียนจึงคุกเขาลงเพื่อเป็นการขอโทษและสำนึกผิก ส่วนอีกคนก็คือกัปตันเทียนเฟิง ผู้ที่เป็นเหมือนดั่งเข็มทิศชีวิตอันใหม่ให้แก่เย่เชียน แล้วก็มาเฉินฟู่เฉิงนี่แหละที่เย่เชียนยอมคุกเข่าให้ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้รู้จักกับเฉินฟู่เฉิงอย่างลึกซึ้งมากนักก็ตาม แต่เขาคิดว่าชายผู้นี้นั้นเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ
โจวรุหลานยังคงลูบพื้นหินอ่อนของสุสานไปมาเบา ๆ ปากก็พึมพำบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของเธอและเฉินฟู่เฉิง ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ทั้งมีความสุขและยากลำบากไปในคราวเดียวกัน “ฟู่เฉิง… คุณว่าถ้าเราได้มีโอกาสใช้ชีวิตหลังความตายด้วยกันมันจะเป็นยังไงนะ ? ฉันรู้ว่าฉันคงจะไม่ปล่อยให้คุณจากฉันไปไหนแน่ ๆ แม้ว่าฉันนั้นจะต้องตายอีกซักกี่หนก็เถอะ เพราะตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ เราทั้งคู่ต่างก็ตัดสินใจผิดไป… ฉันคิดถึงคุณเหลือเกินฟู่เฉิง ฉันคิดถึงคุณมาก! หัวใจของฉันมันเจ็บปวดไปหมดแล้ว”
“แม่อย่าเสียใจไปเลย… เพราะถ้าพ่อเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงไม่อยากให้แม่ต้องเป็นแบบนี้หรอกนะ” จ้าวหยาโอบโจวรุหลานพลางพูดปลอบเธอไปด้วย
“ถูกของจ้าวหยาครับคุณป้า… ท่านประธานเฉินบอกกับผมก่อนที่ท่านจะจากไปว่าท่านเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคุณป้ากับเขามาก ผมคิดว่าสิ่งที่ท่านปรารถนามากที่สุดคือการได้เห็นคุณป้ามีความสุขนะครับ” เย่เชียนพูดเสริม
โจวรุหลานยิ้มอย่างขมขื่นและจับมือของจ้าวหยาพร้อมกับพูดว่า “แม่ไม่เป็นไรหรอก… แม่แค่เสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสพาลูกมาเจอพ่อแท้ ๆ ของลูกเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้น กว่าเราจะมาเจอกันได้แบบนี้ มันก็สายไปเสียแล้ว ต่อไป… ลูกต้องคิดและตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ให้ดีนะลูก อย่าทำผิดพลาดเหมือนพ่อกับแม่ เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกต้องมานั่งเสียใจทีหลังเหมือนกับแม่แบบนี้”
จ้าวหยาพยักหน้าตอบรับในขณะที่หันไปมองเย่เชียนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแววตาที่อ่อนไหวคู่นั้นมันทำให้เย่เชียนรู้สึกกลัวที่จะจ้องมองมันกลับไป เขาจึงรีบหันหน้าหนีไปทางโจวรุหลานแทน ทว่าเมื่อเขาเห็นสีหน้าของโจวรุหลานเขากลับรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่ทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิมจนทำให้เขารู้สึกอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่โจวรุหลานกำลังคิดจะฆ่าตัวตายตามคนรักของเธอไปอย่างงั้นหรือ ?
“หยาเอ๋อร์… ลูกไปกับเย่เชียนก่อนนะ แม่ขออยู่ต่ออีกสักหน่อย” โจวรุหลานพูด
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน