“ฉันชื่อเสี่ยวโม่!” ชายคนนั้นแนะตัวอย่างสุภาพ
“คุณเสี่ยว… ถ้าคุณมีอะไรอยาจะพูด คุณก็พูดออกมาได้เลย ยังไงซะเรื่องงานมันก็คือเรื่องงานอยู่วันยังค่ำ ผมเข้าใจดี ส่วนตัวผมเองก็เป็นคนสีเทา ๆ ทำธุรกิจสีเทา ๆ อยู่แล้ว แต่ถึงยังไงผมก็เป็นคนมีจรรยาบรรณมากพอ เพราะงั้นพูดสิ่งที่คุณอยากจะพูดมาได้เลยนะไม่ต้องกั๊ก” เย่เชียนพูด
เมื่อเสี่ยวโม่ได้ฟังเย่เชียนพูดออกมาเช่นนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย เย่เชียนจึงหันไปมองรอบ ๆ ก่อนที่จะยื่นมือไปหยิบกระเป๋าของเสี่ยวโม่มาส่งคืนให้เขา
“นี่กระเป๋าของคุณใช่มั้ย ? ผมคืนให้… ทางเราจะไม่ก้าวก่ายทรัพย์สินของคุณหรอก ส่วนเรื่องภาพข่าวหรือคลิปวีดีโอพวกนั้นผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณก็แล้วกัน คุณอยากจะเผยแพร่พวกมันหรือว่าอยากจะลบก็แล้วแต่คุณเลย ผมไม่บังคับ”
เสี่ยวโม่เอื้อมมือไปรับกระเป๋าของตัวเองคืนมาแบบงง ๆ เขาเหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงแล้วเขาเองก็เคยถูกยึดกระเป๋าและอุปกรณ์ทำข่าวของเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งก่อนที่เขาจะได้พวกมันคืน อีกฝ่ายก็มักจะทำการลบภาพและคลิปวีดีโอทั้งหมดออกไปจนหมด แต่คราวนี้มันแปลกมากที่เขานั้นกลับได้รับของ ๆ เขาคืนโดยทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งคนที่คืนมันมาให้เขายังบอกให้เขาทำตามใจตัวเองอีกด้วยว่าจะแพร่ข่าวออกไปหรือจะลบมันออกทั้งหมด
ในฐานะที่เสี่ยวโม่นั้นทำงานเป็นนักข่าวมานานหลายปี เขาก็สามารถรับรู้ได้ไม่ยากว่าคนอย่างเย่เชียนคนนี้คงจะไม่ใช่คนประเภทที่จะสามารถรับมือได้ง่าย ๆ เป็นแน่ ยิ่งได้มาเห็นตัวเป็น ๆ ของเขาในวันนี้ด้วยแล้วนั้น มันก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าชายวัยยี่สิบกว่า ๆ คนนี้จะสามารถสร้างความประทับใจบางอย่างให้กับเฉินฟู่เฉิงผู้ยิ่งใหญ่จนทำให้เขามอบทุกสิ่งทุกอย่างให้จัดการดูแลและทำการแข่งขันทางธุรกิจกับยักษ์ใหญ่อย่างจู้ซานและซูเจี้ยนจุน
“ในนี้มีหลักฐานเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งหมด พวกคุณไม่รอดแน่” เสี่ยวโม่พูดขึ้นหลังจากที่รับกระเป๋าของตัวเองมาวางไว้บนตัก ทว่าน้ำเสียงของเขานั้นกลับฟังดูขาดความมั่นใจเล็กน้อยและปราศจากความเย่อหยิ่งเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรก
“แล้วคุณมีพยานยืนยันหลักฐานทั้งหมดหรือเปล่าคุณเสี่ยว ? คุณเองก็เป็นนักข่าวมาตั้งนานหลายปีแล้วนี่ใช่มั้ย ? งั้นคุณก็น่าจะรู้หนิว่าแค่หลักฐานมันคงไม่เพียงพอที่จะหลอกสายตาของผู้คนได้หรอก” เย่เชียนพูดพร้อมกับยิ้มเล็กยิ้มน้อยที่มุมปากของเขา
สิ่งที่เย่เชียนพูดออกมามันได้ทำให้เสี่ยวโมเพิ่งจะฉุกคิดได้ เพราะก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจแค่เพียงหลักฐานอย่างเดียวเท่านั้น โดยลืมเรื่องของพยานไปเสียสนิท เขาคิดแค่เพียงว่าถ้าเขาเอาตัวเองออกจากไปที่นี่ได้เมื่อไหร่ เขาจะรีบไปเปิดโปงเรื่องนี้ให้แก่สาธารณชนได้รู้โดยทันที
“แต่…” เสี่ยวโม่เริ่ม แต่เขาก็ต้องชะงักไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ทว่าเย่เชียนนั้นยังคงยืนยิ้มอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าขั้นตอนแรกในการโจมตีจิตใจด้านจิตวิทยาจะเสร็จสมบูรณ์แล้วสินะ
“คุณเสี่ยว… คุณไม่คิดเหรอว่างานของคุณน่ะมันทั้งยากลำบาก แถมเงินเดือนก็น้อยอีก ไม่พอคุณยังต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอยู่เรื่อยเลย” เย่เชียนพูดอย่างสุภาพและเห็นอกเห็นใจ
เสี่ยวโม่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้ มันก็จริงอย่างที่เย่เชียนพูด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอาชีพนักข่าวของเขาไม่ได้ง่ายขึ้นเลย ทั้งที่เขาก็ทำงานมานานแล้ว ทุกอย่างมันก็ยังคงเหมือนเดิม เงินน้อยและเสี่ยงอันตราย วินาทีนั้นเองที่เสี่ยวโม่เหลือบตาไปมองที่เย่เชียน จู่ ๆ มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขานั้นกำลังจ้องมองใครบางคนที่มีความสนิทสนมกับเขามานานอยู่
“ถึงผมเพิ่งมาอยู่ที่เมืองหนานจิงได้ไม่นาน แต่ผมก็พอที่จะได้ยินชื่อเสียงของคุณมาอยู่บ้าง คุณน่ะมักจะต้องทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อเปิดโปงความมืดให้สังคมได้รับรู้ ผมว่ามันเป็นงานที่น่ายกย่องมากนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันก็อันตรายมากด้วยเช่นกัน คุณรู้มั้ยว่าสมัยนี้คนที่ทำงานเพื่อสังคมแบบคุณมันหาได้ยากมาก” เย่เชียนยังคงพูดชมเชยเสี่ยวโม่ต่อไปเพื่อให้เขาคล้อยตาม
เสี่ยวโม่นั้นเป็นลูกชาวนา หลังจากที่เขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้วเขาก็มาที่เมืองหนานจิงแห่งนี้เพื่อทำงานเป็นนักข่าว หัวใจของเขายึดมั่นอยู่เสมอว่าเขานั้นจะทุ่มเททุกหยาดเหงื่อแรงกายทำงานหนักเพื่อตอบแทนสังคม ถือได้ว่านี่เป็นสิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำมันให้ได้เสมอมา แต่ตลอดการทำงานหลายปีที่ผ่านมา เขาเองก็ต้องผ่านเรื่องราวทั้งร้ายและดีมามากมายจนนับไม่ถ้วน ซึ่งมากยากยิ่งที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดหรือข้อความสั้น ๆ หลายต่อหลายครั้งเขาแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เพียงเพื่อแค่ต้องการที่จะเปิดเผยความจริงบางอย่างให้โลกได้รู้
ยิ่งเย่เชียนพูด เสี่ยวโม่ก็ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้นั้นเป็นคนที่ช่างเข้าใจหัวอกหัวใจคนอย่างเขาอย่างลึกซึ้ง…
เสี่ยวโม่รู้ดีว่าคนที่มีอิทธิพลอย่างเย่เชียน ถ้าเย่เชียนคิดที่จะกำจัดคนอย่างเขา มันก็เป็นเรื่องง่ายมาก ซึ่งโดยทั่วไปผู้มีอิทธิพลคนอื่น ๆ ก็มักจะทำเช่นนั้นกับเขา ไม่ว่าการเป็นการข่มขู่หรือกดดันด้วยความรุนแรง แต่เย่เชียนนั้นกลับไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้น เย่เชียนกลับเลือกที่เจรจากับเขาอย่างสลบเสงี่ยมและมีจรรยาบรรณ การกระทำนี้เองที่ทำให้เสี่ยวโม่รู้สึกว่าเขานั้นต้องคิดใหม่เสียแล้วกับชายผู้นี้
“คุณเสี่ยว… คุณไม่คิดเหรอว่าผมน่ะอาจจะถูกใครสักคนโจมตีและใส่ร้ายป้ายสีน่ะ ?” เย่เชียนเริ่มเข้าประเด็น
“นี่คุณกำลังจะบอกฉันว่า ฉันถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดคุณทางอ้อมงั้นเหรอ ?” เสี่ยวโม่ถามขึ้น อย่างที่บอกว่าเขานั้นทำงานเป็นนักข่าวมากนานหลายปี และเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือใหม่อะไรเลย เพราะเพื่อน ๆ ในสายงานของเขาหลายคนก็เต็มใจที่จะทำหน้าที่เป็นหมารับใช้ให้กับผู้มีอิทธิพลบางคนโดยแลกกับเงินสินบนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น บางคนถึงขั้นจงใจเขียนข่าวเพื่อวิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มีมูลอย่างเสีย ๆ หาย ๆ เลยทีเดียว
เย่เชียนพยักหน้าเบา ๆ ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “ในเมื่อคุณเสี่ยวเองก็อยู่ในวงการนี้มาตั้งนานแล้ว คุณก็คงจะเคยเห็นเรื่องพวกนี้มาเยอะแยะแล้วล่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยนี่”
“มันก็จริงของคุณ ฉันน่ะได้ยินมาว่าซูเจี้ยนจุนกับจู้ซาน สองคนนั้นน่ะกำลังจัดตั้งพันธมิตรขึ้นมาเพื่อจัดการกับคุณแล้วล่ะ” เสี่ยวโม่พูด
“บางครั้งมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครเป็นมิตรแท้และใครที่เป็นศัตรู ทุกอย่างมันไม่แน่ไม่นอนหรอกคุณเสี่ยว ผมว่าที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับผลกำไรในตอนนั้นล้วน ๆ นั่นแหละ ดูอย่างเช้านี้สิ เลขาของผมบอกว่าราคาหุ้นของบริษัทกำลังร่วงลงอย่างมาก หลังจากนั้นแป๊บเดียวคุณหยูซิงก็โทรเข้ามารายงานผมว่ามีเรื่องที่สโมสรนี่อีก ที่จริงตอนแรกผมน่ะคิดว่าคุณเป็นนักข่าวที่ทางซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานส่งมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของผมซะอีก แต่พอผมได้มาเจอกับคุณเสี่ยว ผมก็รู้ได้ทันทีว่าคนอย่างคุณคงไม่มีทางไปร่วมมือกับสองคนนั้นแน่ ๆ ” เย่เชียนพูด
“ประ… ประธานเย่!” เสี่ยวโม่สำลักเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างเร่งรีบว่า “ฉันรู้แล้วว่าฉันต้องทำอะไร” หลังจากนั้นเขาก็กำลังจะลบรูปถ่ายและคลิปวิดีโอในกล้องและโทรศัพท์ของเขา



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน