เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดนักรบจอมราชัน นิยาย บท 233

บางครั้งการแข่งขันทางธุรกิจมันก็เปรียบได้ดั่งสนามรบของนักธุรกิจ เวลาที่ผ่านเลยไปในแต่ละวินาทีนั้นมีค่ามาก ซึ่งมันสามารถที่จะตัดสินได้เลยทีเดียวว่าใครที่จะเป็นฝ่ายแพ้ และใครที่จะเป็นฝ่ายชนะ แม้ว่าการต่อสู้กับทางธุรกิจนั้นจะเป็นการต้องสู้กันโดยปราศจากอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการต่อสู้กันทางธุรกิจก็ดุเดือดไม่แพ้กันกับการต่อสู้กันจริง ๆ ในสนามรบเลย

หลังจากการโจมตีในตลาดหุ้นของซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเมื่อวานนี้ได้ทำให้หุ้นของเย่เชียนราคาตกลงไปอย่างฮวบฮาบ ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นทั้งรายเล็กและรายใหญ่เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจในบริษัท แม้ว่าทางฝ่ายผู้บริหารจะพยายามจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหยุดแนวโน้มดัชนีที่ตกลงของราคาหุ้นได้เลย

ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อตลาดหุ้นเปิดในเช้าวันนี้ มันจะต้องมีการต่อสู้อย่างดุเดือดอีกครั้งสำหรับดัชนีและราคาหุ้นต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ซึ่งผู้ที่แพ้นั้นคงจะไม่ได้อะไรกลับไปแต่ผู้ที่ชนะจะได้ครอบครองโลกธุรกิจไปโดยปริยาย!

ทว่าในความคิดของซ่งหลันนั้นไม่เหมือนกัน เธอคิดว่าผู้แพ้ก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่ายแพ้เสมอไป และผู้ชนะก็อาจจะไม่ได้ชนะและครอบโลกแห่งธุรกิจเสมอไป ซึ่งก่อนที่เธอจะเดินทางมาเมืองหนานจิงนั้น ซ่งหลันได้คอยเฝ้าดูสงครามในตลาดหุ้นของเมื่อวานนี้อย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์บนใบหน้า

ตลาดหุ้นไม่ใช่พื้นที่ที่เหมาะสำหรับคนทุกคน เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในการเล่นหุ้นได้ แต่สำหรับซ่งหลันนั้นเธอเป็นคนที่สามารถคาดคะเนตลาดหุ้นได้อย่างแม่นยำ ด้วยประสบการณ์ของเธอที่เธอเคยได้มีโอกาสไปร่วมมือกับนักธุรกิจรายใหญ่เพื่อร่วมมือกันปราบปรามเศรษฐกิจและธุรกิจของแถบอเมริกาใต้ ทำให้อเมริกาใต้เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจไปช่วงหนึ่ง ทำให้สามารถเข้าไปลงทุนและทำกำไรได้อย่างมหาศาลมาแล้วนั้น การต่อสู้ในตลาดหุ้นในครั้งนี้นั้นมันก็เป็นเรื่องง่ายและไร้ซึ่งความท้าทายไปเลย

……

ในห้องประชุมใหญ่ของสโมสร

ผู้บริหารทั้งเจ็ดกำลังนั่งรอเย่เชียนอยู่ตรงที่นั่งประจำตำแหน่งของพวกเขา ทุกคนล้วนแล้วแต่มีสีหน้าที่บึ้งตึงและขมวดคิ้วกันแน่น พวกเขารู้ดีว่ามันจะจ้องมีศึกครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากวันนี้เป็นต้นไปอย่างแน่นอน พวกเขาก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กน้อยว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของจู้ซานและซูเจี้ยนจุนได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาสงสัยและประหลาดใจอย่างมากก็คือเย่เชียน ผู้ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ เลย เพราะเขาเพียงแค่ให้เลขาเฉิงเหวินโทรไปนัดผู้บริหารแต่ละคนให้มาประชุมกันในเช้าวันนี้เท่านั้น

แม้ว่าจะเลยเวลานัดการประชุมไปหลายนาทีแล้ว แต่ทว่าเย่เชียนก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น ทำให้เหล่าบรรดาผู้บริหารชักจะเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา แต่หลังจากที่พวกเขาเคยเห็นกับตาตัวเองมาจากกรณีของกู๋หมิงเซียงแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรนอกไปเสียจากนั่งรอต่อไปอย่างไร้จุดหมายและไม่กล้าที่จะต่อต้านเย่เชียนอีก

ในที่สุดเย่เชียนก็เดินเข้ามาในห้องประชุม เมื่อเหล่าผู้บริหารเห็นเขาเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพอย่างนอบน้อมและพูดทักทายเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านประธาน!”

ที่ด้านหลังของเย่เชียนนั้นมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยเดินตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง เธอคนนั้นคือซ่งหลันนั่นเอง ซึ่งในอดีตเธอนั้นเคยเป็นถึงนักฆ่ามือฉมังขององค์กรดาร์คลิลลี่ แต่ปัจจุบันเธอได้ผันตัวเองมาเป็นประธานของน่านฟ้ากรุ๊ปและช่วยสนับสนุนเย่เชียนอย่างเต็มตัว เธอเดินตามเย่เชียนมาด้วยความมั่นใจเต็มร้อยพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเจืออยู่บนใบหน้า ทุกคนในห้องจ้องมองเธอเดินเข้ามาอย่างกับถูกมนตร์สะกดไว้ให้แน่นิ่งยังไงยังงั้น

ต่อจากซ่งหลัน คนที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายก็คืออู๋หวนเฟิง ผู้ที่ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เห็น เขาเพียงแค่เดินตามหลังมาด้วยความสงบเสงี่ยม

“ทุกคนนั่งลงได้… ผมต้องขอโทษด้วยที่ปล่อยให้ทุกคนต้องรอนานเลย” เย่เชียนพูดเสียงดังให้ได้ยินกันไปทั่วทั้งห้อง ขณะเดียวกันเขาเองก็ขยับเก้าอี้ข้าง ๆ เขาให้ซ่งหลันนั่ง

เหล่าผู้บริหารนั่งลงทีละคนอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรใด ๆ ออกมา พวกเขาเพียงแค่รอการตัดสินใจของเย่เชียนเพียงคนเดียวเท่านั้นว่าจะดำเนินการประชุมอย่างไรต่อไป

“เอาล่ะ… เรามาเริ่มกันเลย” เย่เชียนเริ่ม “ผมคิดว่าพูดคุณทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วเรื่องของกู๋หมิงเซียงที่เขาตัดสินใจขายอสังหาริมทรัพย์และหุ้นของธุรกิจในส่วนของเขาให้กับจู้ซานและซูเจี้ยนจุน… พวกคุณมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?”

พูดจบเย่เชียนก็กวาดสายตามองไปที่ผู้บริหารแต่ละคนและรอคำตอบ ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าเย่เชียนคิดหรือรู้สึกยังไงในตอนนี้ มีเพียงความเย็นยะเยือกที่ล่องลอยอยู่ในห้องเท่านั้นที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้

ท้ายที่สุดเมื่อไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมาสักคนเดียว หม่าชานเหอจึงตัดสินใจพูดขึ้นมาก่อน “สำหรับผม… ผมคิดว่าคนที่ทรยศหักหลังพวกพ้องนั้นสมควรที่จะต้องตาย!”

คำพูดที่ออกมาจากปากของหม่าชานเหอนั้นไม่ได้ทำให้เย่เชียนรู้สึกแปลกใจอะไรเลย เพราะหม่าชานเหอเป็นถึงหนึ่งในรุ่นบุกเบิกที่คอยติดตามและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันมากับเฉินฟู่เฉิง พวกเขาล้วนต้องผ่านความยากลำบากต่าง ๆ นานากว่าที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่างในวันนี้ได้ ในความคิดของหม่าชานเหอนั้น ถึงแม้ว่าเฉินฟู่เฉิงจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม แต่ธุรกิจต่าง ๆ ที่พวกเขาพยายามสร้างมันขึ้นมากับมือจะต้องไม่มีวันถูกขายให้กับศัตรูแบบนี้

การทรยศของกู๋หมิงเซียงไม่ได้ทำให้หม่าชานเหอไม่พอใจเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ผู้บริหารคนอื่น ๆ เองก็รู้สึกไม่พอใจไม่แพ้กัน ทุกคนต่างเริ่มพากันพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้และพากันก่นด่าสาปแช่งกู๋หมิงเซียงอย่างเดือดดาล พวกเขาทั้งหมดเห็นด้วยกับหม่าชานเหอที่ว่าคนอย่างกู๋หมิงเซียงนั้นไม่สมคววรที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้อีกแล้ว

ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าบรรดาผู้บริหารที่ยังคงสาปแช่งกู๋หมิงเซียงจนเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ไปทั่วห้องทำให้เย่เชียนรู้สึกพอใจ เพราะมันเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดในห้องนี้ล้วนมีความเห็นที่ตรงกันจนก่อให้เกิดเป็นความสามัคคี

เย่เชียนชูมือขึ้นเป็นสัญญาณเตือนให้พวกเขาเงียบเสียงลง ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ผมเข้าใจดีว่าการกระทำของกู๋หมิงเซียงนั้นมันเป็นความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ และผมเองก็ไม่ได้คิดที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เช่นกัน แต่ตัวผมอาจจะยังใหม่อยู่สำหรับที่นี่ และเรื่องนี้มันก็อาจจะทำให้พวกคุณทุกคนรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อมั่นในตัวผม ผมอยากบอกทุกคนในที่นี้ว่าผมนั้นรู้สึกละอายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก”

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน