ผู้หญิงหัวใจโลเลที่มักจะโหยหาความสุขนั้นพวกเธอไม่ได้ผิดอะไรใดๆ เลยในการแสวงหาความสุขของตัวเอง! ถึงยังไงแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าสงสารมาตลอดทั้งชีวิตและเธอเองก็อดทนกับความเงียบเหงามาตลอด ชีวิตของเธอนั้นถูกลิขิตมาให้ต้องทุกข์และสิ่งที่เธอต้องการนั้นก็คือความรัก ซึ่งเธอก็โหยหาความรักเพราะความเหงาของเธอเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดและก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ใครๆ ต้องเกลียดเธอ
เมื่อเธอเห็นเย่เชียนแล้วใบหน้าของจีเมิงฉิงก็ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและรอยยิ้มอย่างขมขื่นก็เผยออกมา “คุณมาที่นี่หรอ?” จีเมิงฉิงพูดอย่างหวั่นเกรงและประหม่าอย่างมาก
เย่เชียนยิ้มเจื่อนๆ อย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ผมเพิ่งมาจากสนามบินแล้วแวะมาหาเบงเบ็งเฉยๆ!” ในใจของเย่เชียนนั้นไม่ได้มีความรักต่อจีเมิงฉิงเลยและอาจพูดได้ว่าเขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกดีใดๆ เลย ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ความเห็นอกเห็นใจและความสงสารเพียงเท่านั้น แต่สำหรับเบงเบ็งแล้วเย่เชียนนั้นชอบเธอมากและเอ็นดูเธออย่างใจจริงเพราะเด็กน้อยคนนี้น่ารักสำหรับเขาอย่างมาก
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของจีเมิงฉิงนั้นมีร่องรอยของความโกรธเคืองและไม่สบอารมณ์อย่างมากและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนแล้วใบหน้าของชายวัยกลางคนก็แสดงถึงความไม่พอใจอย่างมากและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จากนั้นเขาก็มองไปที่จีเมิงฉิงและเมื่อจีเมิงฉิงสัมผัสกับแววตาของชายวัยกลางคนแล้วเห็นได้ชัดเลยว่าเธอตัวสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
เย่เชียนเองก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่ ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะจีเมิงฉิงนั้นหลงรักเขาจริงๆ และกลัวที่จะสูญเสียเขาไป อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็คิดว่าสำหรับผู้หญิงอย่างจีเมิงฉิงแล้วบางทีเธออาจจะไม่รู้ว่าความรักที่แท้จริงคืออะไรเลยด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดเลยว่าจีเมิงฉิงนั้นไม่ได้คาดหวังสถานการณ์เช่นนี้เลย และเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และหันกลับไปพร้อมพูดว่า “งั้นผมขอตัวไปก่อน”
“ลาก่อน!” จีเมิงฉิงพูดด้วยความงุนงง แต่ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนล่ะก็เธอจะไม่ตัดสินใจแบบนี้อย่างแน่นอน เมื่อเย่เชียนกำลังจะเดินออกไปเบงเบ็งก็ดึงเสื้อของเย่เชียนเอาไว้โดยไม่อยากที่จะให้เย่เชียนจากเธอไป ทว่าจีเมิงฉิงก็ได้ดึงแขนของเบงเบ็งไปข้างๆ เธอและเย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้เบงเบ็งจากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกไป
ทันทีที่เย่เชียนเดินออกไปจีเมิงฉิงก็รีบอธิบายว่า “ซื่อไห่ฟังฉันก่อน…”
“เพลี้ยะ!” เซินซื่อไห่ตบหน้าของจีเมิงฉิงอย่างรุนแรงและพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “แม่งเอ๊ย! ..เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ! ..พวกเธอแอบเล่นชู้กันตอนฉันไม่อยู่ใช่มั้ย?”
จีเมิงฉิงจับแก้มของเธอด้วยความเสียใจและพูดว่า “ซื่อไห่ฟังฉันก่อน..ฉันไม่ได้มีอะไรกับเขาจริงๆ ..คุณต้องเชื่อฉัน”
เบงเบ็งก็เริ่มร้องไห้อยู่ข้างๆ เพราะเธอเป็นเด็กที่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อนแล้วหลายครั้งซึ่งเธอก็ร้องไห้ด้วยความตกใจและกลัวอย่างมากและในใจของเบงเบ็งก็คิดว่าเป็นเธอเองที่คอยเฝ้าปรารถนามาเสมอว่าเธออยากให้เย่เชียนเป็นพ่อของเธอและถ้าหากว่าเธอไม่ทำแบบนั้นแล้วล่ะก็แม่ของเธอก็คงจะไม่ต้องถูกทุบตีเช่นนี้
“ลองร้องไห้สิ..ถ้าเธอร้องไห้ออกมาฉันจะฆ่าเธอ!” เซินซื่อไห่ยกฝ่ามือขึ้นและโน้มไปหาจีเมิงฉิง ซึ่งจีเมิงฉิงก็กลัวอย่างมากแต่เธอก็ไม่กล้าที่จะร้องไห้ออกมาเธอเพียงทำได้แค่สะอึกสะอื้นอย่างหมดหนทาง
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของชายวัยกลางคนและการวิงวอนของจีเมิงฉิงที่ดังออกมาข้างนอกบ้านแล้วเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งมวลนี้มันก็เป็นเรื่องของครอบครัวและมันก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย ซึ่งครั้งก่อนที่จีเมิงฉิงและอดีตสามีของเธอทะเลาะกันแต่ทว่าจีเมิงฉิงนั้นก็ได้ปฏิเสธและไม่เต็มใจที่จะเกี่ยวพันอะไรกับอดีตสามีของเธอคนนั้นอีก ดังนั้นเย่เชียนจึงเต็มใจที่จะช่วยเหลือเธอแต่ทว่าในครั้งนี้จีเมิงฉิงกลับเต็มใจที่จะอยู่กินกับอันธพาลคนนี้และเธอก็ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยตัวของเธอเองเพราะเธอได้ตัดสินใจเลือกแล้วและมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่เย่เชียนจะต้องเข้าไปแทรกแซงเลย
เย่เชียนนั้นรู้ดีว่าความเห็นอกเห็นใจและความสงสารนั้นมันไม่ใช่ความรักเลย ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับการกระทำดังกล่าวของจีเมิงฉิงเลยและเย่เชียนก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธออีกด้วย หลังจากออกจากบ้านของจีเมิงฉิงแล้วเย่เชียนก็ไม่รู้จะทำอะไรดีเขาจึงตัดสินใจขับรถไปที่สำนักงานของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขาเซี่ยงไฮ้
เป็นความจริงที่ว่าเย่เชียนเป็นเหมือน CEO ใหญ่ของบริษัทแต่ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าวิสัยทัศน์และการทำงานในองค์กรนั้นเป็นอย่างไร แต่โชคดีที่เย่เชียนมีซ่งหลันเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถอย่างมากไม่เช่นนั้นเย่เชียนก็คงจะไม่รู้ว่าจะต้องบริหารอย่างไร ซึ่งเย่เชียนก็มีความสุขและดีใจอย่างมากกับเรื่องนี้เพราะเขาสุดท้ายแล้วเขาก็มีผู้ช่วยที่มากคงามสามารถโดยไม่คาดคิดไม่คาดฝันมาก่อน เย่เชียนนั้นยอมรับมาเสมอว่าในวันวานที่ผ่านมานั้นเขารู้สึกประหลาดใจไปกับความงดงามของซ่งหลันอย่างแท้จริง เขาจึงเลือกที่จะไม่ฆ่าเธอและเมตตาปรานีเธอจนเธอกลายมาเป็นซ่งหลันผู้งดงามจวบจนทุกวันนี้
เครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นได้โยกย้ายออกจากอาคารเช่าแห่งเดิมและทำการซื้ออาคารสำนักงานพาณิชย์ขนาดใหญ่เพื่อตั้งเป็นสำนักงานใหญ่ของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในประเทศจีน ซึ่งพนักงานและบุคลากรทั้งหมดก็ได้ย้ายเข้ามาเช่นกันและก็มีการคัดเลือกพนักงานใหม่เป็นจำนวนมากเพราะธุรกิจของบริษัทนั้นได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว
เมื่อเย่เชียนมาถึงด้านหน้าของสำนักงานใหญ่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วเย่เชียนก็มองขึ้นไปและเห็นว่าด้านบนนั้นมีป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า เครือน่านฟ้ากรุ๊ป ซึ่งเป็นสิ่งที่รุ่งโรจน์อย่างแท้จริง ซึ่งทำให้เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อยเพราะเขารู้สึกเหมือนกับฝันไปเพราะไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่ไม่มีอะไรเลย แต่ทว่าตอนนี้เขาได้ครอบครองกิจการและธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มันจึงทำให้เย่เชียนรู้สึกเหมือนกับความฝันอย่างไงอย่างงั้น
เย่เชียนยังคงจำได้ดีว่าเมื่อสมัยก่อนที่เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมต้นแล้วเขาเคยไปทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงานแห่งหนึ่งและได้ค่าจ้างรายวันเพียงน้อยนิดเท่านั้น ซึ่งในเวลานั้นโรงงานก็ยังมีขนาดไม่ใหญ่มากและมีเพียงสามชั้นเท่านั้นซึ่งรวมไปด้วยสำนักงานและคลังสินค้าและธุรกิจหลักก็คือการค้าระหว่างต่างประเทศและส่งออกผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องเกมคอนโซล และลูกจ้างอย่างเย่เชียนก็ต้องพึ่งพาการทำงานล่วงเวลาอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อหาเงินแต่ทว่าเขาก็ได้รับเงินแค่ขั้นต่ำเพียงเท่านั้น และเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ และค่าใช้จ่ายประจำวันแล้วเขาก็ไม่แม้แต่จะเหลือเงินและไม่สามารถมีเงินเก็บได้เลย
ในเวลานั้นหัวหน้าของบริษัทก็เป็นคนหลอกลวงและขี้เหนียวอย่างมากซึ่งมักจะเอาเปรียบจากนายทุนและหักส่วนเกินต่างๆ ไปครอบครองเพียงคนเดียวและไม่เคยเฉลี่ยให้คนงานเลยสักคน เย่เชียนยังจำได้ว่าหัวหน้าคนนั้นขับรถ Volkswagen Skoda และเมื่อใดก็ตามที่เขามาจอดรถในโรงงานแล้วเย่เชียนก็จะคิดอย่างโกรธเคืองว่า “เมื่อไหร่ที่ฉันรวยฉันจะขับรถ BMW ไปจอดแทนรถของเขา”
คำพูดในใจของเย่เชียนในวันนั้นก็ไม่ได้ทำจนถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับเย่เชียนแล้วสิ่งเหล่านี้ที่เขามีอยู่ในทุกวันนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะลบล้างความขุ่นเคืองในวัยเด็กของเขาออกไป
เมื่อเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วสิ่งแรกที่เราต้องเห็นเลยก็คือแผนกต้อนรับซึ่งบริเวณนี้ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรามากซึ่งมีหญิงสาวที่สวยงามและสง่างามนั่งอยู่ที่นั่นและเมื่อเธอเห็นเย่เชียนเดินเข้ามาเธอก็ถึงกับผงะไปเล็กน้อยและพึมพำว่า “เอ้า..ไม่ใช่พวกป้าๆ หรอกเหรอ..ทำไมถึงเป็นพวกหนุ่มๆ แทนล่ะ?”
ถัดจากส่วนของแผนกต้อนรับไปก็จะเป็นห้องล็อบบี้ซึ่งคอยรองรับผู้ที่มาสมัครงานหรือทำธุระชั่วคราว และเมื่อเย่เชียนเดินเข้าไปเขาก็เห็นชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างในอายุราวๆ สี่สิบกว่าๆ และเย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยเพราะถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้เห็นหน้าเขามานานกว่าแปดปีแล้วแต่เย่เชียนก็ยังจำเขาได้เพราะการปรากฏตัวของเขานั้นอยู่ลึกลงไปในความทรงจำของเย่เชียนเสมอมา
“สวัสดีครับ..คือผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย…” เย่เชียนเดินไปที่แผนกต้อนรับและยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กับพนักงานต้อนรับและพูด



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน