ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีใครที่อยากจะไปต่อต้านบริษัทใหญ่ๆ อย่างตงเซียงกรุ๊ปหรอกแต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไปพวกเขาจะต้องไปอยู่ที่ไหนกัน นั่นก็เพราะว่าราคาที่ดินและบ้านในปัจจุบันนั้นก็ค่อนข้างที่จะแพงอย่างมากซึ่งค่ารื้อถอนและค่าชดเชยที่พวกเขาจะได้รับนั้นกลับต่ำอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ในอนาคตต่อๆ ไป?
ถึงแม้ว่าตงเซียงกรุ๊ปจะสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ของเขตเทศบาลและรัฐบาลมาให้ความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่คนเหล่านั้นซึ่งว่ากันว่าเป็นการรับมือและช่วยเหลือเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้แต่ทว่ามันกลับเป็นเหมือนภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในนั้นเสียมากกว่า
พ่อของเย่เชียนก็มีบ้านอยู่ที่นั่นเช่นกันและตราบใดที่เย่เชียนไม่เห็นด้วยล่ะก็นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีใครที่สามารถรื้อถอนที่นั่นได้ทั้งสิ้น เช้าวันต่อมาเย่เชียนได้รับโทรศัพท์จากพ่อของเขาโดยบอกว่าคนจากรัฐบาลและบริษัทก่อสร้างในโครงการบูรณะเมืองมาที่เมืองเก่าอีกครั้งและทำร้ายชาวบ้านในละแวกนั้นๆ ซึ่งเมื่อเย่เชียนได้ฟังเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้วพลางคิดว่าหน่วยงานของรัฐบาลเหล่านี้ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เพราะกลับปล่อยให้พวกตงเซียงกรุ๊ปใช้อันธพาลใต้ดินเหล่านั้นไปทำร้ายผู้คน ซึ่งพวกตงเซียงกรุ๊ปก็ควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและชาวบ้านเหล่านั้นแต่เหตุใดพวกนั้นจึงต้องทำเช่นนี้
เย่เชียนไม่เชื่อว่าสิ่งที่พวกตงเซียงกรุ๊ปทำไปนั้นก็เพื่อการบูรณะเมืองหรือการพัฒนาเมืองเลยเพราะตงเซียงกรุ๊ปเพียงจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
หลังจากวางสายของพ่อแล้วเย่เชียนก็เรียกชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วรีบไปที่เขตเมืองเก่า
ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาก็ไปถึงที่นั่นและพบผู้ชายสองสามคนในชุดสูทพร้อมกระเป๋าหนังที่ถือเอาไว้และถ้วยน้ำชาในมือซึ่งพวกเขากำลังเทศนากับชาวเมืองเก่าอยู่และด้านหลังพวกเขาก็มีคนหนุ่มสาวอยู่หลายคนในชุดวิศวกรสร้างเมือง ชาวบ้านของเมืองเก่านั้นไม่มีทาทีที่ต่อด้านใดๆ พวกเขาเพียงฟังกันอย่างเงียบๆ เพราะพวกเขาจะกล้าต่อต้านคนพวกนี้ได้อย่างไร พวกเขาจึงฟังกันอย่างเงียบๆ และก้มหน้าลงอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่เย่เชียนลงจากรถแล้วเขาก็เดินตรงไปยังฝูงชนและพบว่ามีชายชราคนหนึ่งที่มีบาดแผลไม่ลึกมากเพียงแค่มีรอยถลอกซึ่งคิดว่าน่าจะเกิดจากการล้มลงกับพื้น และเย่เชียนก็เดินเข้าไปถามว่า “ลุงเป็นอะไรมั้ย”
ชายชราคนนี้และพ่อของเย่เชียนนั้นเป็นเพื่อนกันซึ่งพวกเขามักจะเล่นหมากรุกด้วยกันเสมอและแน่นอนว่าเย่เชียนนั้นก็รู้จักเขาดีและชายชราเองก็รู้จักลูกชายคนที่สองของเพื่อนเขาดีเช่นกัน จากนั้นชายชราก็พูดว่า “ฉันไม่เป็นไรๆ ..ฉันแค่ถูกหมาบางตัววิ่งชนเฉยๆ”
“ไอ้แก่..เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ!” ผู้บริหารของโครงการตะคอกชายชราอย่างไม่สบอารมณ์ และเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหยุดหรือห้ามปรามเขาเลยซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาต้องการใช้พลังของสมาชิกผู้บริหารเมืองเหล่านี้เพื่อยับยั้งและสยบชาวบ้านเหล่านี้
เย่เชียนหันกลับมามองผู้บริหารโครงการสร้างเมืองและเหล่าเจ้าหน้าที่ของเขตเทศบาลอย่างเย็นชาและถามว่า “เมื่อกี้ใครทำเขา”
“แกเป็นใคร? ..รัฐบาลกำลังทำงานกันอยู่แล้วมันใช่เวลาที่จะเข้ามาแทรกแซงหรือเปล่า?” เลขาธิการพรรคการเมืองเขตเทศบาลเจียงปินหยางเหลือบมองไปที่เย่เฉียนและกล่าว
“ไอ้พวกเสแสร้งแกล้งทำ..หน้าไหว้หลังหลอก” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างเกรี้ยวกราดเพราะเขารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นคนของรัฐเหล่านี้ทำตัวโออ่าวางท่าและยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าที่คอยข่มเหงคนไม่มีทางสู้
“แกกล้าด่าฉันงั้นเหรอ?” เจียงปินหยางตกตะลึงเล็กน้อยเพราะไม่เคยมีใครกล้าด่าเขาเช่นนี้มาก่อนเพราะเขาเป็นถึงเลขาธิการของพรรคเทศบาลเมือง
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ! ..พวกแกทำแบบนี้กับชาวบ้านได้ยังไง!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
เย่เชียนหันหน้าไปมองชายชราแล้วถามว่า “เมื่อกี้ใครทำลุง?”
ชายชราชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ของโครงการบูรณะเมืองคนหนึ่งและเย่เชียนก็หันไปอย่างช้าๆ และก้าวไปข้างหน้าจากนั้นก็ถามว่า “คุณทำหรือเปล่า..ใช้มือข้างไหน?”
ดวงตาที่เย็นยะเยือกของเย่เชียนได้จ้องมองไปที่เจ้าหน้าที่ของโครงการและทำให้ร่างกายของชายคนนั้นสั่นสะท้านและมีความหวาดกลัวผุดขึ้นมาในใจหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “แล้วแกเป็นใคร..ทำไมเราถึงต้องรายงานสิ่งต่างๆ ให้แกด้วย?” น้ำเสียงดูหยิ่งยโสอย่างมากแต่เห็นได้ชัดเลยว่าปากของเขาสั่นเพราะขาดความมั่นใจเล็กน้อย
เย่เชียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้างั้นผมจะแจ้งให้พวกคุณทราบในวันนี้ซะ” หลังจากพูดแบบนั้นเย่เชียนก็เตะออกไปอย่างแรงและทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ของโครงการก็กระเด็นและล้มลงไปกับพื้น ส่วนผู้บริหารโครงการที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะเย่เชียนคนนี้เป็นคนแรกเลยที่กล้าท้าทายพวกเขา
ชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นที่ปรารถนาให้โลกตกอยู่ในความวุ่นวายมาเสมอก็ตื่นเต้นในทันทีและฉีกยิ้มอย่างชั่วร้ายและเมื่อเจ้าหน้าที่จากเทศบาลเมืองและผู้บริหารของโครงการบูรณะเมืองเห็นฉากนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเพราะเจ้าหน้าที่รัฐเช่นพวกเขาถูกทำร้ายร่างกายอย่างโจ่งแจ้งและเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดหมายเลข 110 เพื่อแจ้งไปยังสถานีตำรวจให้ส่งตำรวจมาจัดการ
เย่เชียนก็เดินตรงไปที่เจ้าหน้าที่โครงการคนนั้นแล้วกระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมาและพูดว่า “ในเมื่อคุณไม่บอกว่าเป็นมือข้างไหน..เพราะงั้นผมจะถือว่าเป็นมือทั้งสองข้างก็แล้วกัน!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็คว้าแขนทั้งสองข้างของเจ้าหน้าที่โครงการคนนั้นและบิดแขนของเขาข้างหนึ่งอย่างแรงและทันใดนั้นก็มีเสียง “กรึก! ..” กระดูกของแขนทั้งสองข้างก็หักในทันทีและเจ้าหน้าที่โครงการก็กรีดร้องและเป็นลมไป
เหล่าชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเพราะนี่เป็นภาพที่น่าตกใจที่สุดที่พวกเขาได้เห็นในรอบหลายปีที่ผ่านมาเพราะไม่เคยมีใครเลยที่กล้าลงไม้ลงมือกับคนของรัฐบาลต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองเช่นนี้มาก่อนเลย อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็มีความยินดีอยู่ในใจของพวกเขาและพวกเขาต่างก็ให้กำลังใจเย่เชียนอยู่อย่างลับๆ
เย่เชียนก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้เพราะเขาคว้ามืออีกข้างของเจ้าหน้าที่โครงการบริหารเมืองและบิดมันอย่างแรงและทำให้เจ้าหน้าที่เฉิงกวนที่เป็นลมอยู่สะดุ้งขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดและกรีดร้องอย่างโหยหวนจากนั้นก็เป็นลมไปอีกครั้งอย่างน่าสมเพช ในเวลาเดียวกันเหล่าเจ้าหน้าที่ของโครงบริหารเมืองที่เหลือก็ถูกชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยจัดการและหลังจากนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ของโครงการทั้งหมดก็นอนโอดครวญอยู่บนพื้น
หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินไปหาเจียงปินหยางเลขาธิการของพรรคเทศบาลเมืองอย่างช้าๆ และมองดูเขาขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและถามว่า “คุณเป็นหัวหน้าของพวกเขาใช่มั้ย?”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน