ตอนที่ 364 บริษัททะเลสี่ทิศกรุ๊ป
ในแง่ของรูปลักษณ์นั้นเย่เชียนก็ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่ผู้บริการที่เพียบพร้อมอย่างเธอต้องการและในแง่ของความมั่งคั่งและภูมิหลังนั้นซูเหว๋ยก็รู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังตกงาน ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จหรือสามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้เลยกลับกันเย่เชียนนั้นเหมือนกับพวกอันธพาลเสียมากกว่า และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคนประเภทนี้ไม่สมควรและไม่คู่ควรที่คนอย่างซูเหม๋ยจะมาสนใจได้เลย
เย่เชียนเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดีและเขาก็คิดเพียงแค่ว่าบางทีซูเหว๋ยอาจจะเหงาเกินไปเพราะเธอไม่มีเพื่อนเลยและเธอก็น่าสงสารอย่างมาก
เมื่อไปที่ห้างสรรพสินค้าแล้วซูเหว๋ยก็ซื้อชุดสูทให้เย่เชียนแต่เมื่อเย่เชียนเห็นซูเหว๋ยเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างใจจดใจจ่อและประณีตแล้วจู่ๆ ก็มีภาพลวงตาโผล่ขึ้นมาราวกับว่าซูเหว๋ยที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่ใช่หญิงสาวที่น่ารักและซุกซนอีกต่อไปแต่เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและงดงามอย่างมากและในทางตรงกันข้ามมันเผยให้เห็นถึงนิสัยใจคอที่แสนดีของเธอราวกับว่าเธอกำลังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อชุดให้กับแฟนของเธออย่างตั้งใจ
การเลือกซื้อเสื้อผ้าของเธอเองนั้นซูเหว๋ยก็ดูสบายๆ อย่างมากแต่เมื่อเธอเลือกเสื้อผ้าให้กับเย่เชียนเธอกลับดูจริงจังขึ้นมาในทันทีและเธอก็บอกให้เย่เชียนไปลองทีละชุดซึ่งเย่เชียนก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่รู้สึกรำคาญเขาเลย เธอกลับดูอย่างละเอียดทุกครั้งที่เย่เชียนสวมพวกมัน ซึ่งหลังจากที่เย่เชียนลองใส่ดูแล้วเธอก็เห็นว่าไม่เหมาะเธอถึงให้เย่เชียนลองอีกชุดไปเรื่อยๆ
หลังจากที่เลือกกันมานานกว่าครึ่งชั่วโมงในที่สุดซูเหว๋ยก็เลือกซื้อชุดที่เธอพอใจได้มาสองชุดหลังจากนั้นเธอก็รูดบัตรเพื่อจ่ายบิล ซึ่งพนักงานแคชเชียร์ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยท่าทางแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเธอเคยเห็นผู้คนมามากมายแต่เธอกลับไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเลยที่คบกับหญิงสาวที่ร่ำรวยและสวยงามเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเย่เชียนเห็นแววตาแบบนั้นเขาก็ไม่รู้สึกละอายใจใดๆ กับการจ้องมองของพนักงานแคชเชียร์แต่กลับจ้องมองกลับไปที่พนักงานแคชเชียร์ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายจนหนักแคชเชียร์สูญเสียอาการไปเล็กน้อย
แน่นอนว่าฉากเหล่านี้ทั้งหมดนั้นไม่สามารถพ้นไปจากสายตาของซูเหว๋ยได้ดังนั้นเธอจึงจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและเธอก็รีบเดินออกจากร้านไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มให้กับพนักงานแคชเชียร์อีกครั้งและหยิบชุดเสื้อผ้าและชุดที่เขาเพิ่งเปลี่ยนแล้วรีบตามซูเหว๋ยไป
ระหว่างทางนั้นซูเหว๋ยก็ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทางซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้คิดที่จะไปรบกวนเธอเพราะใบหน้าของซูเหว่ยนั้นดูไม่สบอารมณ์อย่างมากเขาจึงไม่อยากไปรบกวนเธอ ซึ่งในตอนนี้เย่เชียนก็รู้สึกเพียงว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนประเภทตีสองหน้าเพราะถ้าเธอถอดชุดสูทผู้บริหารของเธอออกเธอก็จะเป็นเหมือนสาวน้อยน่ารักและซุกซนแต่เมื่อเธอสวมชุดสูทผู้บริหารของเธอนั้นเธอก็จะเป็นผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งและสง่างามอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานรถก็หยุดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งและหลังจากลงจากรถแล้วซูเหว๋ยก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ทันทีแต่เธอเห็นเย่เชียนกำลังจะขนถุงเสื้อผ้าของเธอที่เธอซื้อมาเธอก็พูดอย่างเย็นชาว่า “วางเอาไว้ตรงนั้นแหละ..รีบเข้ามา!”
เย่เชียนก็ผงะไปเล็กน้อยและรู้สึกราวกับว่าเขานั้นได้กลายเป็นคนรับใช้ของเธอไปจริงๆ เสียแล้วหลังจากนั้นเขาก็รีบเกินเข้าไปในลิฟต์และเมื่อมองไปที่ซูเหว๋ยก็ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่ต้องการกดลิฟต์เอง ซึ่งเมื่อซูเหว๋ยเห็นเย่เชียนมองเธออย่างงุนงงเธอก็พูดว่า “ชั้นที่สิบแปด!” หลังจากนั้นเย่เชียนก็เอื้อมมือออกและกดหมายเลขชั้นให้เธอ
ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากลิฟต์เย่เชียนก็เห็นตัวอักษรสีทองสี่ตัวก็ปรากฏขึ้น “บริษัททะเลที่ทิศกรุ๊ป” และข้างหน้าของลิฟต์ก็คือแผนกต้อนรับ ซึ่งในขณะนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่แผนกต้อนรับที่กำลังถือกระจกพกพาและกำลังแต่งหน้าอยู่แต่เมื่อเธอเห็นซูเหว๋ยเดินเข้ามาเธอก็รีบเก็บกระจกใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างร้อนรนทันที
ซูเหว๋ยก็เดินตรงเข้ามาและเมื่อเธอไปถึงแผนกต้อนรับเธอก็หยุดเดินแต่ทว่าเธอก็ไม่ได้แม้แต่จะหันไปมองที่พนักงานต้อนรับเลยแต่เธอกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปที่แผนกการเงินซะ..ไปรับเงินเดือนสุดท้ายของเธอ..เธอถูกไล่ออก!”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็แอบถอนหายใจอย่างลับๆ เพราะเรื่องแบบนี้ค่อนข้างที่จะรุนแรงไปหน่อย ส่วนหญิงสาวแผนกต้อนรับก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเกรี้ยวและพูดอย่างเดือดดาลว่า “หึ! ..คิดว่าฉันอยากอยู่นักเหรอไง!”
ซูเหว๋ยดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับคำพูดของหญิงสาวแผนกต้อนรับเลยเธอเพียงเดินต่อไปโดยไม่แยแสสิ่งใดจนเย่เชียนที่เห้นเช่นนั้นก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและรีบตามเธอไป ฉากนี้ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนจริงจังมากในหน้าที่การงาน ดังนั้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในบริษัทเธอก็ต้องเพียบพร้อมและจริงจังไปกับทุกอย่าง ซึ่งสายตาของพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องไปที่เย่เชียนที่กำลังเดินตามซูเหว๋ยไปอย่างเงียบๆ และสุขุมอย่างมาก ซึ่งพวกเธอต่างก็งุนงงและสับสนไปกับการปรากฏตัวของเย่เชียนกันอย่างมาก
ซูเหว๋ยก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ มากนักเธอเพียงเดินตรงไปที่ห้องทำงานออฟฟิศของเธอและเธอก็พูดขณะที่เธอเดินว่า “หัวหน้าแผนกเซียวนำแผนธุรกิจของคุณมาให้ฉันที..ฉันต้องการข้อมูลไปประชุม” หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เลขาผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “คณะกรรมการมาถึงแล้วหรือยัง?”
“ยังเลยค่ะ..ฉันเพิ่งโทรไปพวกเขาบอกว่าอาจจะมาหลังประธานซูน่ะค่ะ..คุณต้องการให้ฉันโทรหาพวกเขาเลยไหมคะ?” เลขาถามอย่างระมัดระวัง
“หึ!” ซูเหว๋ยอุทานด้วยความไม่สบอารมณ์และพูดว่า “คนพวกนี้นับวันยิ่งได้ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ..โทรไปบอกพวกเขาว่าถ้าไม่เข้ามาภายใน 20 นาทีก็อย่าโทษว่าฉันหยาบคายกับพวกเขาก็แล้วกัน..และหลังจากนี้พวกเขาก็ถูกลดตำแหน่งไปอยู่ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป!”
เลขาก็ตอบครั้งแล้วครั้งเล่าและหลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มให้เธออย่างสุภาพเช่นกัน “เดี๋ยวมานั่งข้างๆ ฉันนะ..และก็จำเอาไว้ด้วยนะว่าถ้าพวกคณะกรรมการมาก็อย่าพูดอะไร” ซูเหว๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนและหลังจากนั้นเธอก็หันไปและเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธอ
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ อย่างเชื่อฟังและหลังจากนั้นเขาก็หันมองไปที่เลขาแล้วถามว่า “เอ่อคุณซูมักจะจริงจังกับบริษัทแบบนี้น่ะหรอ?”
“เอ่อคือ..ประธานซูก็แค่จริงจังกับงานของเธอน่ะ..แต่เธอเป็นคนดีมากเลยนะ” เลขากระซิบเบาๆ “อาจเป็นเพราะหลายๆ อย่างในบริษัทเมื่อเร็วๆ ที่ทำให้ประธานซูเครียดน่ะค่ะ..เธอจึงไม่สบอารมณ์แบบนี้”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน