ตอนที่ 558 โครงการดินแดนแอนนิเมชั่น
อันที่จริงแล้วคูลอฟส์อังเดรนั้นไม่ได้โง่เลยและถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมเกินใครแต่เขาก็มีไหวพริบเกินพอที่จะเป็นผู้นำได้และแม้ว่าเย่เชียนกับคูลอฟส์อังเดรจะติดต่อกันเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เย่เชียนก็ยังสามารถมองเห็นความสามารถของคูลอฟส์อังเดรได้ หากไม่เป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็จะไม่เลือกที่จะร่วมมือกับคูลอฟส์อังเดรตั้งแต่แรกและเลือกที่จะไปหาคูลอฟส์อาสเชฟเพื่อร่วมมือกับเขาแทน
ในเวลานั้นคูลอฟส์อาสเชฟก็แข็งแกร่งกว่าคูลอฟส์อังเดรและถ้าหากเย่เชียนไม่เปลี่ยนสถานการณ์ในเมืองมูรส์มันคส์ล่ะก็แน่นอนว่าตำแหน่งในตระกูลคูลอฟส์ของคูลอฟส์อังเดรจะสูงจนมีอำนาจแบบทุกวันนี้ได้อย่างไร
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าทางเลือกของเย่เชียนนั้นถูกต้องที่ช่วยสนับสนุนคูลอฟส์อังเดรให้ยืนหยัดเพื่อที่คูลอฟส์อังเดรจะทำประโยชน์ให้กับตัวเองในภายหลัง
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “มิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรเป็นนักคำนวณที่ชาญฉลาดจริงๆ ..คุณเดาสถานการณ์ทั้งหมดได้ในคราวเดียวกัน..ใช่แล้วผมพบตัวมือปืนแล้วจริงๆ ”
คูลอฟส์อังเดรก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า “แล้วเขาอยู่ที่ไหน..สรุปแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังใช่คูลอฟส์อาสเชฟหรือเปล่า? ”
เมื่อเห็นการแสดงออกของคูลอฟส์อังเดรแล้วเย่เชียนก็ตกตะลึงเพราะดูเหมือนว่าคูลอฟส์อังเดรยังไม่คิดที่จะกำจัดคูลอฟส์อาสเชฟและดูเหมือนว่ายังมีความผูกพันระหว่างลุงและหลานชายอยู่ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความคิดที่แท้จริงของคูลอฟส์อังเดรได้ซึ่งมันไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคิดถูกหรือผิด
“ผมจัดการเขาไปแล้ว” เย่เชียนพูด “เขาเป็นสมาชิกขององค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะและเขาก็ได้รับคำสั่งจากคูลอฟส์อาสเชฟให้ลอบสังหารคุณ..ผมรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับความจริงเพราะท้ายที่สุดคุณกับอาสเชฟก็เป็นลุงและหลานชาย..แต่ความจริงก็คือพวกคุณแค่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้..เพราะต้องมีเพียงใครสักคนเท่านั้นที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้..มีคำพูดในประเทศจีนที่ว่าเสือสองตัวไม่สามารถอยู่ในถ้ำเดียวกันได้..ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคูลอฟส์อังเดรก็ถอนหายใจและพูดว่า “ผมเข้าใจที่คุณพูด..เพราะคูลอฟส์อาสเชฟกำลังคิดที่จะจัดการผม..และไม่ว่าผมจะพยายามเลี่ยงสักแค่ไหนมันก็ไร้ผลอยู่ดีเพราะเขาไม่ได้เพิกเฉยเลย..เพราะงั้นถ้าเขาต้องการที่จะฆ่าผมจริงๆล่ะก็ผมคงจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“ลูกผู้ชายเมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วก็ควรจะลงมือทำเมื่อทันที” เย่เชียนพูด “ในโลกนี้ไม่มีอะไรถูกหรือผิดหรอก..เพราะงั้นก็ไม่ต้องกังวลไปถ้าคุณทำไม่ได้ผมจะทำให้คุณเอง”
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่เขาพูดแต่เย่เชียนก็ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้นเลยเพราะในความคิดของเขาคนที่ทำการใหญ่จะไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เพราะมันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวจะถูกตัดทิ้งออกไปแล้วก็ตามแต่ถึงยังไงถ้าหากไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนเลยต่อให้เราจะประสบความสำเร็จแค่ไหนก็ตามแต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะรับและทนได้ ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ต้องการผลลัพธ์เช่นนั้น
เพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างลุงและหลานชายนั้นสามารถพูดได้ว่ามันมีแค่ในนามเท่านั้นไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ระหว่างพวกเขาเพราะพวกเขามาถึงจุดที่ผลประโยชน์คือที่สุดและผลที่ตามมาก็คือความตายของอีกฝ่ายเท่านั้น
คูลอฟส์อังเดรก็พยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณมากมิสเตอร์เย่”
“อืม! ” เย่เชียนตอบและพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “มากินข้าวกันเถอะ” เมื่อเย่เชียนก้มหน้าลงไปทานอาหารสักพักหนึ่งและเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่คูลอฟส์อังเดรเขาก็เห็นจานอาหารบนโต๊ะว่างเปล่าและไม่มีอาหารเหลืออยู่เลย จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองลูกน้องของคูลอฟส์อังเดรทั้งสองคนกับชิงเฟิงและพบว่าทุกคนกำลังกินกันอย่างมูมมามและแก้มของพวกเขาก็พองเหมือนคางคก
เมื่อเห็นเย่เชียนมองมาทางเขาชิงเฟิงก็หัวเราะ ส่วนมาเฟียทั้งสองก็ดูลำบากใจเช่นกันเพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยกินอาหารมื้อเช้าของประเทศจีนมาแล้วก็ตามตอนที่พวกเขาอยู่ที่มอสโกแต่ถึงยังไงพวกมันก็ไม่ใช่ของต้นตำรับแท้ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงอดใจไม่ไหวจนพวกเขารีบกินอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และยื่นมือออกไปเรียกบริกรและสั่งอาหารเพิ่มเติมและถามลูกน้องของคูลอฟส์อังเดรทั้งสองว่าพวกเขาต้องการสั่งอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่าแต่มาเฟียทั้งสองนั้นอายที่จะพูดและเขาก็ยังคงเงียบอยู่นาน ซึ่งเย่เชียนก็รู้ถึงความคิดของพวกเขาดังนั้นเย่เชียนจึงฉีกยิ้มและสั่งอาหารให้พวกเขาแทน
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วเมื่อทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันไปจู่ๆ โทรศัพท์ของเย่เชียนก็ดังขึ้น ซึ่งเย่เชียนที่เพิ่งจะยืนขึ้นก็ต้องนั่งลงอีกครั้งและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูและปรากฏว่าหลี่จื้อเทียนโทรเข้ามา ซึ่งก่อนหน้านี้หลี่จื้อเทียนแทบจะไม่โทรหาเย่เชียนเลย ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะมาอยู่ที่เจิ้งโจวสักพักแล้วก็ตามแต่หลี่จื้อเทียนก็แค่โทรมาทักทายเขาเพียงสองครั้ง โดยปกติแล้วเขาจะไม่รบกวนเย่เชียนเว้นแต่จะเป็นเรื่องสำคัญเท่านั้น
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่เย่เชียนคุยกับหลี่จื้อเทียนและหลังจากนั้นมาหลี่จื้อเทียนก็ไม่เคยโทรหาเย่เชียนอีกเลยเพราะเขายุ่งอยู่กับแผนการพัฒนาเมืองเจิ้งโจว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหลี่จื้อเทียนต้องการสร้างอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและส่งเสริมธุรกิจแอนนิเมชั่นและเกมของประเทศจีนให้พัฒนาต่อไปในอีกระดับ ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็สนใจโปรเจ็กต์นี้มากเช่นกันเพราะในต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่นที่มีเกมและแอนนิเมชั่นที่กำลังพัฒนาไปได้ดีมากและประเทศจีนเองก็อุดมไปด้วยทรัพยากรมากมายและมันจะเหนือกว่าประเทศแถบยุโรปและประเทศญี่ปุ่นอย่างมากในด้านนี้
ถ้าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ๆ ในครั้งนี้หลี่จื้อเทียนก็คงจะไม่รบกวนเย่เชียน ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่มีปัญหากับอุตสาหกรรมแอนนิเมชั่นเลยเพราะเมื่อเขาที่เมืองเจิ้งโจวหลี่จื้อเทียนก็ได้ซื้อที่ดินจำนวนมากแล้วคราวนี้แผนผังการพัฒนาแอนนิเมชั่นก็มีรายละเอียดมากและรัฐบาลก็สนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะสิ่งนี้ไม่เพียงแค่สามารถส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมแต่ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากซึ่งเหมือนกับดิสนีย์ในประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง
แต่เมื่ออุตสาหกรรมเมืองแอนิเมชั่นเพิ่งเริ่มต้นโครงการจู่ๆ ก็มีผู้คนที่ต้องการลงทุนเข้ามาเพื่อสร้างรายได้และกำไร ซึ่งในความเป็นจริงถ้าเป็นพวกอันธพาลหรือองค์กรใต้ดินเข้ามาหลี่จี้เทียนก็จะต่อต้านพวกเขาเพราะท้ายที่สุดหลังจากทำธุรกิจมานานแม้ว่าหลี่จื้อเทียนจะไม่มีอิทธิพลในการต่อต้านพวกเขาแต่หลี่จื้อเทียนก็มีเพื่อนมากมายและเส้นสายมากมายดังนั้นหลี่จื้อเทียนก็อาจจะแค่ให้อั่งเปาและเงินใต้โต๊ะอย่างเป็นมิตร แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายร้องขอมากเกินไปเพราะอีกฝ่ายขอส่วนแบ่ง 20% ของหุ้นทั้งหมดและถึงแม้ว่าจะบอกด้วยปากเปล่าว่าพวกเขาสามารถช่วยหลี่จื้อเทียนได้ในอนาคตก็ตามแต่ด้วยไหวพริบทางธุรกิจของหลี่จื้อเทียนและการสนับสนุนของเย่เชียนแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบและแบ่งรายได้ให้ผู้อื่นใช่ไหม?


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน