เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดนักรบจอมราชัน นิยาย บท 757

ตอนที่ 757 ตรงกันข้าม

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เย่เชียนมักจะมักใช้คำว่า “ตระกูลเย่ของพวกคุณ” เพื่อแยกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหล่าสมาชิกตระกูลเย่และนี่ก็ไม่ได้หมายความเย่เชียนหยิ่งผยองหรืออะไรแต่เขาแค่ไม่เห็นด้วยกับตัวตนเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถือตัวเองให้เป็นสมาชิกของตระกูลเย่ไม่งั้นมันก็เหมือนกับว่าเขาต้องการเป็นมังกรและนกฟีนิกซ์ใช่หรือไม่?

บางทีพลังและอำนาจที่เขามีอยู่ในปัจจุบันนี้อาจจะไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับพลังของตระกูลเย่ก็เป็นได้แต่เย่เชียนนั้นรู้สึกว่าไม่ว่าพลังและอำนาจของตระกูลเย่จะแข็งแกร่งเพียงใดถึงยังไงมันก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขาและเขาก็ไม่เคยคิดที่จะยึดติดกับพลังของตระกูลเย่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นพลังที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าครอบครองอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่ทำให้โลกทั้งใบสั่นคลอนได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้ทำมันไปตลอดทั้งชีวิตแต่เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินและการใช้ชีวิตและจะอยู่อย่างสบายไปทั้งชีวิต ดังนั้นทำไมเขาจะต้องดิ้นรนเพื่ออำนาจของผู้อื่นด้วย?

เย่เชียนมาที่ตระกูลเย่ก็เพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้นและนั่นคือการค้นหาประวัติและชีวิตความเป็นมาของเขาเอง อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องยอมให้ผู้อื่นดูถูกได้ ดังนั้นหากคำพูดของเย่เจิ้งเซียงรุนแรงเกินไปล่ะก็แน่นอนว่าเย่เชียนจะต้องโกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นถึงแม้ว่าพลังและอำนาจของตระกูลเย่จะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ถ้าหากองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าไม่สนใจวิธีการและต่อสู้ด้วยกำลังรบสูงสุดล่ะก็มันก็เพียงพอแล้วที่ทำลายตระกูลเย่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เย่เจีบอู๋นั้นโปรดปรานเย่เชียนตั้งแต่แรกที่เขาเห็นหน้าเย่เชียนเช่นเดียวกันกับเมื่อถังซูหยานพบเย่เชียนเป็นครั้งแรก ซึ่งเขาเห็นเงาของเย่เจิ้งหรานลูกชายที่ภาคภูมิใจที่สุดของเขาจากร่างของเย่เชียน ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ชอบเย่เชียนและนี่อาจจะเป็นความรู้สึกที่บางครั้งมันก็สำคัญกว่าเหตุผลและไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมานานเพราะแค่ใช้ความรู้สึกมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเลย ดังนั้นหากรู้สึกว่าใช่มันก็คือใช่

เย่เจียอู๋ก็หันไปมองเย่เจิ้งเซียงแล้วพูดว่า “ว่าไงเจิ้งเซียง..แกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?..การที่เสี่ยวเชียนพูดมาถึงขนาดนี้ฉันก็คิดว่าแกไม่ควรที่จะพูดอะไรเลย..เอาเถอะถึงยังไงเรื่องนี้ก็ได้รับการตัดสินใจแล้ว..เจิ้งเฟิง!..เรื่องนี้ฉันจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแกก็แล้วกันเพราะงั้นแกก็นำดีเอ็นเอของฉันกับของเสี่ยวเชียนไปตรวจแล้วก็รีบแจ้งให้พวกเราทราบเมื่อผลตรวจออกมาด้วย” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เจียอู๋ก็พูดต่อ “เอาล่ะๆมากินข้าวกันเถอะเดี๋ยวอาหารมันจะเย็นเสียก่อน..อย่าลืมสิพวกเรายังมีสิ่งที่ต้องทำหลังงานเลี้ยงจบลง!”

จากนั้นเย่เจียอู๋ก็เหลือบมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “เอ็งก็ต้องเข้าร่วมเหมือนกัน..ฉันคิดว่าทักษะการต่อสู้ของเอ็งก็ไม่น่าจะธรรมดาหรอกใช่ไหม?..ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างในร่างกายของเอ็งซึ่งมันน่าทึ่งมาก”

เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงหันไปเหลือบมองเยาเจียอู๋และยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไรใดๆแต่ในใจเย่เชียนนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆเพราะเย่เจียอู๋นั้นเป็นผู้บุกเบิกและมีพรสวรรค์สูงที่สุดในตระกูลเย่ ยิ่งไปกว่านั้นตามคำกล่าวของอันซือแล้วในตอนนี้เย่เชียนนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณที่บรรลุถึงระดับสูงสุดแล้วและถึงแม้ว่าเย่เชียนเพิ่งจะก้าวข้ามขอบเขตศิลปะการต่อสู้งโบราณระดับสูงก็ตามแต่แน่นอนว่าเย่เจียอู๋ก็สามารถมองและรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทักษะการสังเกตเหล่านี้ไม่ธรรมดาเลย

“ท่านพ่อนี่คือการแข่งขันศิลปะการต่อสู้สำหรับทายาทของตระกูลเย่เท่านั้นและจุดประสงค์ก็คือเพื่อค้นหาทายาทและลูกหลานที่มีพรสวรรค์มากที่สุดและนำพาตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์..แต่เขาไม่ใช่สมาชิกของตระกูลเย่เพราะงั้นเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ได้ยังไง?” เย่เจิ้งเซียงตกตะลึงเล็กน้อยและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็คัดค้าน

เย่เชียนนั้นก็ไม่สบอารมณ์อย่างมากต่อการยั่วยุซ้ำๆของเย่เจิ้งเซียง ด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ในใจเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นสมาชิกของตระกูลเย่จริงๆล่ะก็เขาก็ไม่อยากที่จะอยู่ในครอบครัวแบบนี้ในอนาคตเลย ซึ่งเขาเคยเห็นครอบครัวและตระกูลใหญ่ๆมามากมายและมีทั้งทายาทของตระกูลที่มักจะใส่ร้ายและหักหลังกันเองเพื่อแย่งชิงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและตระกูล ซึ่งในตอนนี้เขาได้เห็นกับตาของตัวเองแล้ว หากเขาอยู่ในครอบครัวหรือตระกูลแบบนี้เขาจะยังจะอยู่อยากสบายใจได้ไหม? เขาจะยังคงได้รับความรักจากครอบครัวที่ได้มาอย่างยากลำบากอยู่หรือไม่? ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย

เมื่อได้ยินเช่นนั้นคิ้วของเย่เจียอู๋ก็ขมวดเข้าหากันและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยพอใจและเขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยต่อทัศนคติของเย่เชียน แน่นอนว่าการเสนอการตรวจ DNA นั้นมันเต็มไปด้วยการดูถูกเย่เชียนและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้คัดค้านและเขาบอกว่ามันสมเหตุสมผลก็ตามแต่ที่หลานชายที่หายสาบสูญไปนานเช่นนี้ปรากฏตัวออกมาเย่เจียอู๋ก็ไม่อยากพลัดพรากไปจากเขาอีก เย่เจียอู๋นั้นรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องภายในของตระกูลเย่และรู้จักเหล่าลูกหลานเป็นอย่างดีและแน่นอนว่ามันไม่มีใครในบรรดาลูกหลานที่กล้าโต้แย้งกับเขาดังนั้นการที่เย่เจิ้งเซียงขัดขวางและพยายามโต้แย้งอย่างทุกวิถีทางเช่นนั้นทำให้เย่เจียอู๋รู้สึกอึดอัดและไม่สบอารมณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากนั้นเย่เจียอู๋ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แกพิสูจน์ได้หรือเปล่าว่าเขาไม่ใช่ทายาทของตระกูลเย่?..เนื่องจากแกไม่สามารถยืนยันได้ทันทีว่าเขาเป็นทายาทของตระกูลเย่หรือไม่ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้..นี่คือคำพูดของฉันแกมีอะไรจะคัดค้านมั้ย?” ถึงแม้ว่าผู้นำตระกูลเย่คนปัจจุบันจะเป็นเย่เจิ้งเซียงก็ตามแต่อำนาจของเย่เจียอู๋ในตระกูลเย่นั้นก็อยู่สูงสุดเสมอและนอกจากนี้เย่เจียอู๋ก็เป็นพ่อของเย่เจิ้งเซียงอีก ดังนั้นในฐานะตระกูลที่สืบทอดกันมานับพันปีก็มักจะยึดลำดับชั้นในการตัดสินใจและในแง่ของคำพูดนั้นแน่นอนว่าคำพูดของผู้เป็นพ่อก็ย่อมมีบารมีและอำนาจมากกว่าโดยธรรมชาติ ดังนั้นถึงแม้ว่าการตรวจสอบ DNA ที่เย่เจิ้งเซียงเสนอมาจะมีผลลัพธ์เช่นไรแต่ตอนนี้เมื่อไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเย่เชียนนั้นไม่ใช่ลูกหลานและทายาทของตระกูลเย่แล้วเย่เจิ้งเซียงก็ไม่สามารถคัดค้านไม่ให้เย่เชียนเข้าร่วมการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้เมื่อเย่เจียอู๋เห็นเย่เชียนในแวบแรกเขาก็มองเย่เชียนว่าเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานทันทีและนี่เป็นความรู้สึกโปรดปรานส่วนตัว

ตอนที่ 757 ตรงกันข้าม 1

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน