หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการต่าง ๆ แล้ว เหว่ยเฉินหลงก็กลับไปยังงานราตรี เขายังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นฉินหยูนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง เขาก็รีบเดินเข้าไปหาเธอ
เมื่อเหว่ยเฉินหลงไปถึงด้านข้างของฉินหยู เขาก็มองเย่เชียนด้วยสายตาเดือดดาล จากนั้นก็ถามว่า “ฉินหยู… ทำไมคุณไม่ไปเต้นรำล่ะ ?”
เย่เชียนไม่ได้ใส่ใจเหว่ยเฉินหลงเลย เขาแค่นั่งจิบไวน์แดงแก้วหนึ่งในมือของเขาช้า ๆ อย่างสบายใจ และเม้มริมฝีปากลิ้มรสไวน์เป็นครั้งคราว
“ฉันไม่อยากเต้น” ฉินหยูตอบอย่างเย็นชา
“นายน้อยเหว่ยต้องการขอเจ๊หยูเต้นรำเหรอ ? ฮิ ๆ ๆ ฉันขอให้โชคดีละกัน” จ้าวหยาพูด เธอฉีกยิ้มร้ายกาจใส่ชายตรงหน้า
ฉินหยูรีบหันไปส่งสายตาดุร้ายใส่จ้าวหยาและพยายามจะบอกใบ้เป็นนัย ๆ ให้เธอเลิกพูดอะไรเหลวไหล แต่อย่างไรก็ตาม จ้าวหยาก็เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เหว่ยเฉินหลงนั้นรู้ว่าจ้าวหยาเป็นใคร ไม่ใช่แค่เพียงผิวเผินเหมือนกับคนในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ แต่เขายังรู้ด้วยว่าเธอเป็นน้องสาวคนสนิทของฉินหยู และถ้าหากเขาตั้งใจที่จะเดินหน้าจีบฉินหยูแล้ว การได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากจ้าวหยาอีกทางมันก็คงจะดีไม่น้อย
เหว่ยเฉินหลงยิ้มให้เธออย่างเสแสร้งและพูดว่า “ดูเหมือนว่า… เธอคงจะช่วยให้คำแนะนำฉันได้นะจ้าวหยา”
จ้าวหยาไม่ได้เป็นคนใจดีหรือใจกว้างมากขนาดนั้น ใจจริงเธอไม่ได้อยากที่จะช่วยเหลือเหว่ยเฉินหลงเพื่อจีบฉินหยูเลยสักนิด เธอแค่ต้องการหลอกใช้เหว่ยเฉินหลงเพื่อเอาคืนเย่เชียนเท่านั้น เธอเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเป็นตุเป็นตะ
“ถ้าอย่างงั้น… คุณตั้งใจฟังฉันให้ดีก็แล้วกัน เจ๊หยูน่ะไม่เพียงแต่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งในเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ แต่เจ๊ยังเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถไม่เป็นสองรองใคร เจ๊หยูมีทักษะศิลปะทั้งสี่ด้านและเพียบพร้อมในทุกด้าน ทั้งการเล่นเปียโน หมากรุก อักษรศาสตร์และภาษาศาสตร์… ดังนั้นถ้าหากคุณต้องการที่จะขอให้เธอเต้นรำกับคุณล่ะก็ คุณก็ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองว่ามีค่าคู่ควรหรือไม่ โอ้…! นั่นไง! เปียโนที่อยู่ตรงนั้นน่ะ ทำไมคุณไม่ลองแข่งกับไอ้… เอ้ย! ผู้ชายคนนี้ดูล่ะ ? ใครที่เล่นได้ดีกว่าก็จะได้รับเกียรติเป็นคู่เต้นรำกับเจ๊หยู ฮิ ๆ ๆ”
รอยยิ้มซุกซนและชั่วร้ายผสมอยู่บนใบหน้าของจ้าวหยา เธอมองเย่เชียนไปด้วยในขณะที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้ ดูแล้วเธอคงจะมั่นใจมากว่าเย่เชียนจอมขี้โกงและฉวยโอกาสคนนี้จะไม่สามารถเล่นเปียโนได้
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่จ้าวหยาพูดแล้ว เย่เชียนก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาได้แต่ตอบกลับไปว่า “นี่เธอน่ะ… เธอคิดว่าสารรูปอย่างฉันจะเล่นเปียโนได้หรือไง ?”
ถึงแม้ว่าเหว่ยเฉินหลงจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเปียโนเท่าไหร่นัก แต่เขาก็สามารถเล่นเพลงที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ และยิ่งตอนที่เขาอยู่ในระหว่างการศึกษา เขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเปียโน ดังนั้นเขาจึงมั่นใจเป็นอย่างมาก และเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนเมื่อครู่นี้อีก เหว่ยเฉินหลงก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
เขาพูดอย่างเหยียดหยามว่า “อะไรนะ ? นายกลัวเหรอ ? ถ้านายกลัวก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเถอะ… จะได้ไม่ต้องมานั่งแข่งกันให้เสียเวลา”
เย่เชียนแอบคาดหวังอยู่ในใจให้ฉินหยูเข้ามาหาเขาและหยุดเขา แต่เธอกลับไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว เย่เชียนคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่สิ่งที่เขารู้แน่ ๆ ก็คือ ต่อให้เหว่ยเฉินหลงจะชนะการแข่งขันในครั้งนี้ เธอก็จะไม่เต้นรำกับเหว่ยเฉินหลงอยู่ดี แต่ถ้าเป็นตัวของเขาเองล่ะ ? เย่เชียนไม่รู้ว่าฉินหยูนั้นรู้สึกอย่างไรกับเขาบ้าง
“ฮิ ๆ ๆ ฉันว่ามีคนอยากหดหัวเข้ากระดองซะล่ะมั้ง…” จ้าวหยากำลังเติมเชื้อไฟเข้าไปในกองไฟ
“อย่ามายั่วยุฉันหน่า… มันไม่มีประโยชน์หรอก ฉันไม่สนใจว่าใครจะชนะหรือแพ้หรือจะแข่งอะไรกันก็ตาม… ฉันจะไม่ร่วมด้วยเพราะถึงยังไงหยูหยู่ก็จะเต้นรำกับฉันอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องให้ฉันทำอะไรเพื่อพิสูจน์ ใช่มั้ยหยูหยู่ ?” หลังจากที่เย่เชียนพูด เขาก็รีบยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ หูของฉินหยูและกระซิบว่า “ช่วยผมที… ผมไม่อยากอับอายขายหน้า”
ฉินหยูยิ้มแหย ๆ และพูดว่า “วันนี้ฉันไม่ค่อยรู้สึกอยากเต้นรำเท่าไหร่… ฉันไม่สนใจว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้ ฉันจะไม่เต้นรำกับใครทั้งนั้นแหละ!”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน