เฉิงฉือไม่ได้ตอบสิ่งใด ทว่าถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
มารดาอายุมากแล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่อยากแต่งงาน แต่สองปีมานี้ก็เริ่มที่จะเร่งเร้าเขา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกผิดหวังกับปฏิกิริยาตอบกลับของเฉิงฉือยิ่งนัก แต่นางก็ไม่กล้าที่จะกล่าวให้มากความอีก กลัวว่าหากบีบบังคับมากๆ แล้ว บุตรชายจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความขุ่นเคืองอีก
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะมาหาสักครั้งหนึ่ง จึงไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปรับอารมณ์ของตัวเอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าจะอยู่รับมื้อเที่ยงด้วยกันหรือไม่”
ในแววตาซ่อนความคาดหวังเอาไว้หลายส่วน
เฉิงฉือเห็นแล้วก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่ง กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ไม่ได้กินตีนห่านต้มสุรามานานแล้ว ท่านให้ในครัวทำให้ข้าสักอย่างก็แล้วกันขอรับ!”
“ได้ๆๆ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ นางตะโกนสั่งการเจินจูเสียงดังว่า “เที่ยงวันนี้นายท่านสี่จะอยู่รับมื้อเที่ยงด้วย เจ้าไปบอกในครัว ให้พวกนางทำตีนห่านต้มสุรามาหนึ่งจาน แล้วก็ทำยำวุ้นเส้นอีกหนึ่ง อย่าใส่น้ำมันงาเยอะ แล้วก็ทอดเต้าหู้แข็งอีกหนึ่ง ใส่พริกของซื่อชวนลงไปด้วยเล็กน้อย แล้วก็ทำต้มจืดหมูสับก้อนอีกหนึ่ง ใส่แห้วลงไปให้มากหน่อย แล้วก็ทำแม่นกทอดหนังกรอบอีกหนึ่ง รับประทานคู่กับเครื่องเทศห้าสหายที่พวกเราทำขึ้นมาเอง แล้วก็ใช้เนื้อแพะที่ตระกูลเซินส่งมาให้ทำหม้อไฟรวมมิตรอีกหนึ่ง รับประทานคู่กับผักเครื่องเคียงต่างๆ ส่วนอาหารอื่นๆ ก็ให้พวกนางทำตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน”
มากมายหลากหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของที่เฉิงฉือชอบทั้งสิ้น
เจินจูขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอารมณ์ดียิ่งนัก จึงตั้งใจเอาอกเอาใจนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “แล้วเหล้าเล่าเจ้าคะ จะรับเหล้าอะไรดี หลายวันก่อนนายท่านรองให้คนส่งเหล้าขาวดอกสาลี่กลับมาให้ เห็นบอกว่าเป็นเหล้าที่ได้รับมาเป็นของกำนัลเจ้าค่ะ!”
“เจ้าก็ช่างรู้ความ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า มองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “วันนี้ดื่มเหล้าของเมืองจินหวา ข้าเองก็จะดื่มด้วยสักสองจอก”
สาวใช้ใหญ่หลายคนของเรือนหานปี้ซานล้วนทราบดีว่า คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ไม่ต้องพูดถึงในซอยจิ่วหรูแห่งนี้ แม้แต่ซอยซิ่งหลินที่จิงเฉิง ก็ล้วนแต่เป็นที่น่าเชื่อถือเสมอกัน แต่พอมาถึงตรงหน้านายท่านสี่ ก็กลายเป็นต้องยอมลงให้อย่างช่วยไม่ได้
เจินจูเบี่ยงสายตามองไปที่เฉิงฉือครั้งหนึ่ง
เฉิงฉืออดที่จะถอนหายใจอยู่ในใจอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ใบหน้ายังคงประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่หลายส่วน กล่าวขึ้นว่า “ทำตามที่ท่านแม่ของข้าบอก วันนี้พวกเราดื่มเหล้าของเมืองจินหวาก็แล้วกัน เจ้าไปบอกหนานผิงที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยสักหน่อย ให้นางนำชุดจอกเหล้าภาพคนงามสำหรับอุ่นเหล้าที่ข้านำกลับมาจากเฉวียนโจวเมื่อคราวก่อนชุดนั้นมาที่นี่”
ในตอนนี้เองที่ทุกคนต่างก็รู้สึกยินดีขึ้นมาจริงๆ
เจินจูยิ่งแล้วใหญ่รู้สึกโล่งใจราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไปจากอก และเดินออกไปด้วยความยินดีปรีดา
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้ไม่อยู่บ้าน ความจริงแล้วควรจะรับท่านไปฉลองวันปีใหม่กับข้า แต่ท่านก็ทราบดี ว่าถนนของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเดินไม่สะดวกนัก และอากาศก็หนาวเย็น เช่นนั้นในปีนี้ข้าจะมาขอข้าวกินกับท่านที่นี่ก็แล้วกัน”
“จริงหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี ขอบตารื้นชื้น ดึงมือของเขาเอาไว้ ทั้งดีใจและประหลาดใจ พลางถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เจ้าพูดจริงๆ หรือ”
บุตรของผู้อื่นต่างต้องมองสีหน้าของบิดามารดา มีเพียงมารดาของเขาที่มองสีหน้าของเขาแทน
เฉิงฉือเกือบจะถูกความรู้สึกผิดในใจฟาดให้หงายคว่ำลงไปบนพื้น กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวออกมาได้ว่า “จริงแน่นอนขอรับ ข้าเคยหลอกท่านด้วยหรือ”
“ข้ากลับอยากให้เจ้าหลอกข้าบ่อยๆ” นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแวววาวไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ใบหน้ากลับประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติ “เจ้านี่น้า นิสัยดื้อรั้นไปสักหน่อยเท่านั้น! อย่างไรก็ตาม ที่พ่อของเจ้าพูดมาก็ถูก หากนิสัยไม่ดื้อรั้น จะเรียนหนังสือได้ดีได้อย่างไร เจ้ายังจำตอนที่เจ้าเป็นเด็กได้หรือไม่ เจ้าทำหมึกของพ่อเจ้าหก แต่ก็ยังยืนยันว่าตัวเองกำลังวาดภาพอยู่ พ่อของเจ้าตั้งใจจะปราบความอวดดีของเจ้า จึงหยิบพู่กันวาดภาพมาให้เจ้าด้ามหนึ่ง แล้วกล่าวว่า เช่นนั้นก็วาดภาพๆ นี้ให้เสร็จ ในเวลานั้นเจ้าเพิ่งจะห้าขวบ ยังอยู่ในช่วงหัดเขียนอักษร ไม่รู้ว่าเจ้าไปหาภาพวาดทิวทัศน์ของฉิวยิงมาจากที่ใดได้หนึ่งรูป แล้วก็วาดภาพทิวเขาสูงตระหง่านตามภาพทิวทัศน์ในภาพนั้น จากนั้นก็กลัวว่าจะยุ่งยาก ก็เลยวาดลูกเจี๊ยบเอาไว้ที่ตีนเขาอีกสองสามตัวก็ถือเป็นอันเสร็จ พ่อของเจ้าถามเจ้าว่า อยู่ในหุบเขาลึกเช่นนี้ ไปเอาลูกเจี๊ยบมาจากที่ใดกัน เจ้าตอบว่า กลัวว่าจะถูกจับกิน ก็เลยเลือกเอามาจากที่บ้าน พ่อของเจ้าฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เดิมทีคิดจะลงโทษเจ้าให้หนักสักครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จบด้วยการทำอะไรไม่ได้” ขณะที่กล่าว นางก็ถอนหายใจไปด้วยครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “ถ้าหากพ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ปีนี้ก็คงมีอายุได้หกสิบแปดปีแล้ว ได้เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะดีใจขนาดไหน! เมื่อก่อนเขามักจะพูดอยู่เสมอว่า ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่บิดามารดาให้ท้ายบุตรชายคนเล็ก ตอนเป็นเด็กหากว่าพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองของเจ้ากล้าดื้อรั้นเช่นนั้น คงจะถูกลงโทษให้ไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่โถงทางเดินตั้งนานแล้ว แต่กับเจ้า เขากลับไม่อาจแข็งใจทำเช่นนั้นได้ กลัวว่าจะให้ท้ายเจ้าจนเสียคน แต่ก็กล่าวว่า ให้ท้ายจนเสียคนก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีพี่ชายของเจ้าทั้งสองคนคอยดูแลอยู่ ปกป้องเจ้าให้สบายไปทั้งชีวิตโดยไม่ต้องเป็นกังวลถึงเสื้อผ้าหรืออาหาร จะทำตามใจปรารถนาก็ไม่มีปัญหา แต่คิดไม่ถึงว่าถึงตอนนี้กลับเป็นพี่ชายทั้งสองคนของเจ้าที่ต้องขอบคุณและติดค้างเจ้า…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดไปด้วย ก็เช็ดหางตาไปด้วยอย่างเจ็บปวดใจ
เรื่องต่างๆ ที่เคยกระทำร่วมกับบิดานั้น เฉิงฉือจำไม่ค่อยได้แล้ว
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มารดาเสียใจ ส่งสัญญาณให้เฝ่ยชุ่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้มารดา กล่าวปลอบโยนมารดาเสียงนุ่มว่า “ข้าเป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ จะดีจะร้ายก็ไม่ใช่คนเสเพลไม่เอาไหน ท่านแม่ควรจะยินดีกับข้าถึงจะถูก ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่เวลาจะทำอะไรยังต้องคอยดูสีหน้าของข้าก่อน!”
แต่นั่นก็ดีไม่เท่ากับการรับราชการเป็นขุนนาง!
ประโยคนี้ตีตื้นขึ้นมาวนเวียนอยู่บริเวณริมฝีปากของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่ก็ถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง
นางพยายามระงับความโทมนัสเอาไว้ ยิ้มพลางดึงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าเจ้าให้พวกหนานผิงย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนลี่เสวี่ยหรือ หรือไม่เจ้าย้ายมาอยู่กับข้าที่นี่ดีหรือไม่ ห้องข้างที่อยู่ด้านหลังของข้ายังว่างอยู่ หากเจ้าต้องการเข้าออก ก็เข้าออกจากประตูที่อยู่ทางทิศเหนือได้ ไม่เป็นอุปสรรคอะไรกับธุระของเจ้าแน่นอน ทุกคนมาอยู่ด้วยกันก็คึกคักดี!”
เฉิงฉือลังเลกว่าครู่ใหญ่ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะลองคิดดูขอรับ!”
ที่ผ่านมาบุตรชายจะปฏิเสธอย่างไม่มีอาการลังเลเลยสักนิด ครั้งนี้ยังมีครุ่นคิดสักพัก เท่านี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็พึงพอใจมากแล้ว รีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คิดทบทวนให้ละเอียด เจียซ่านจะไม่กลับมาตลอดสองปีนี้ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า หลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยได้อยู่กับพี่ชายใหญ่ของเจ้า ข้าพูดกับนางแล้ว ให้นางอยู่ที่นั่นสักปีแล้วค่อยกลับมา ทีนี้จวนหลักก็เหลือเพียงพวกเราสองคน เจ้าเองในหนึ่งปีสี่ฤดูก็ไม่เจอใครสักคน…”
“ข้าทราบแล้วขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ครุ่นคิด แล้วกล่าวเสริมขึ้นว่า “ช่วงนี้ทางด้านโน้นข้ากำลังง่วนอยู่กับการตรวจนับรายการทรัพย์สิน ณ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาว่างขบคิดเรื่องนี้ รอข้าเสร็จเรื่องยุ่งๆ แล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล้าคะยั้นคะยออีก ยิ้มตาหยีขณะมองเฉิงฉือ แล้วให้เฝ่ยชุ่ยเปลี่ยนน้ำชาจอกใหม่ให้บุตรชาย
แสงแดดของฤดูหนาวลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างเฉียงๆ สาดส่องอยู่บนร่างของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เกิดแสงจรัสแวววาวยามสบประสานเข้ากับเส้นผมสีเงินที่สอดแทรกอยู่ท่ามกลางเส้นผมสีดำ ส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูแก่ชราขึ้นมาหลายส่วน
เฉิงฉือมองแล้ว ก็ให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ
มารดาอายุมากแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสงบด้วยต้องคอยเป็นกังวลเรื่องของเขา


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน