ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องโถงหลัก แต่อยู่ในห้องข้างขนาดสามห้องกั้นที่ทำเป็นห้องเก็บของซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของห้องโถงหลัก
แสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาวอาบไล้อยู่บน**บไม้จันทน์สีแดงม่วงเลี่ยมมุมด้วยทองแดงลายเมฆมงคล ดูเรียบง่าย เคร่งขรึม ทว่าก็หรูหรามีราคา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยืนอยู่ด้านหน้า**บที่เปิดคาเอาไว้พลางหันมากวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “เจ้าลองมาดูสักหน่อยว่าแจกันใบนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ผิวกระเบื้องสีครามเคลือบมันเงา มีรอยแตกลายงาทีเสมือนกับลายบนกระดองของเต่า ตัวท้องแจกันกลมมน คอขวดยื่นยาว รูปทรงงดงามอ่อนช้อยเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้คนนึกถึงลำคอยาวของหงส์ที่งามสง่า
เป็นแจกันเกอเหยาของรัชสมัยก่อนหน้าที่ทัดเทียมกันได้กับแจกัน ‘คนงามใต้จันทรา’ ใบนั้น
โจวเสาจิ่นข่มกลั้นความประหลาดใจที่เกิดขึ้นภายในใจเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “งดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นสินติดตัวเจ้าสาวของท่านแม่ของข้า เวลานั้นเกิดความไม่สงบเนื่องด้วยสงคราม ครอบครัวของท่านตาของข้าเป็นตระกูลชั้นสูงประจำท้องถิ่น จึงเป็นตระกูลแรกสุดที่ถูกโจรปล้นชิงทรัพย์ก่อนคนอื่นๆ สิ่งของมีค่ามากมายภายในบ้านล้วนไม่มีเหลือ มีเพียงแจกันใบนี้เท่านั้นที่เหลือรอดมาได้เนื่องจากท่านยายของข้าซ่อนมันเอาไว้ในบ่อน้ำหลังบ้าน ต่อมาเมื่อข้าแต่งงานออกเรือน ท่านแม่ของข้านำมันมามอบให้ข้า ข้าอยากจะนำไปมันประดับไว้บนชั้นวางของมีค่าของน้าฉือของเจ้า เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“น่าจะเข้ากันเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงสั่งการเฝ่ยชุ่ยที่รับใช้อยู่ข้างกายว่า “หยิบใบนี้ออกมา”
เฝ่ยชุ่ยขานรับ แล้วนำแจกันไปวางบนโต๊ะตัวยาวที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็จดบันทึกรายการลงในสมุดบัญชีทรัพย์สิน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าข้ามีหม้อทรงกีบม้าเกอเหยาแตกลายงาลายก้ามปูอยู่ใบหนึ่ง…เฝ่ยชุ่ย เจ้าลองหาให้ละเอียดดูสักหน่อย แล้วนำมันไปวางคู่กับแจกันเกอเหยาแตกลายงาลายกระดองเต่าใบนั้น คงจะน่าดูน่าชมไม่น้อย”
เฝ่ยชุ่ยยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็หาสมุดบัญชีรายการทรัพย์สินที่เขียนเอาไว้ว่า ‘เครื่องลายคราม’ ออกมาได้สิบเล่มจาก**บที่มีสมุดบัญชีเก็บเอาไว้จนเต็ม แล้วก็เริ่มพลิกดูหน้าแล้วหน้าเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถอนหายใจกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “อายุมากแล้ว ข้าวของก็มากเหลือเกิน ข้าเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมีของอะไรเก็บไว้บ้าง”
เช่นนี้ง่ายต่อการถูกลักขโมยของมีค่ายิ่งนัก
ในตอนนั้นที่สร้อยคอประดับด้วยไข่มุกและหยกอันล้ำค่าของไทเฮาหายไป ก็เป็นขันทีผู้ดูแลห้องเก็บสมบัติเป็นผู้ยักยอกเอาไป หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงใหญ่จะออกเรือน ทำให้ไทเฮานึกถึงของชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วล่ะก็ เกรงว่าหากไทเฮาทรงสวรรคตไปแล้วก็คงไม่มีผู้ใดรู้แล้วว่าของชิ้นนี้ได้ถูกขโมยออกจากวังไปขายตั้งนานแล้ว
แต่สาวใช้หลายคนที่รับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวนี้ ดูลักษณะนิสัยแล้วล้วนเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว จึงไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ
ภายใต้ดวงตะวันอบอุ่นของฤดูหนาว นางดูราวกับดอกดารารัตน์ที่กำลังเบ่งบาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดทอดถอนหายใจอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้
ไม่แปลกที่เจียซ่านจะเฝ้าคะนึงหานางไม่ลืมเลือน เพียงแค่ใบหน้านี้ ก็ทำให้ผู้คนมองได้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ในส่วนอื่นๆ กลับเป็นรองเสียแล้ว…เมื่อเปรียบเทียบจวงซื่อผู้นั้นกับโจวเสาจิ่นแล้ว ก็ยังโดดเด่นกว่าอยู่หลายส่วน นี่นับว่าอธิบายถึงคำกล่าวที่ว่าความรักลึกซึ้งไม่ยืนยาวได้ดีจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบบนหลังมือของโจวเสาจิ่นเบาๆ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิด**บที่แปะเอาไว้ด้วยกระดาษความว่า ‘ปีเจี๋ยจื่อ’ ออก หยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาเปิด มีปิ่นทองลายดอกเบญจมาศฝังสลักด้วยขนนกกระเต็นสีฟ้าชิ้นหนึ่งวางนิ่งอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีม่วงแดง
ดอกเบญจมาศขนาดเท่าจอกเหล้า ฝังสลักเอาไว้ด้วยขนนกระเต็นสีฟ้า กลีบดอกเรียวยาวและหยักโค้ง เกสรสีทองอร่ามกวัดแกว่งไปมา ทั้งหมดดูมีชีวิตชีวาประหนึ่งมีชีวิตจริง
ฮูหยินผู้ฒ่ากัวปิดฝากล่องลง แล้วยื่นมันส่งไปให้โจวเสาจิ่น พลางกล่าว “ใกล้จะปีใหม่แล้ว นำไปสวมใส่เถิด!”
“ล้ำค่าเกินกว่าที่ข้าควรจะรับไว้เจ้าค่ะ” ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะไม่รู้ที่มาของมัน ทว่าเพียงแค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นของที่ไม่ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง นางจึงพยายามปฏิเสธอย่างถึงที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าช่วยข้าคัดลอกพระธรรมอยู่หรอกหรือ รับเอาไว้เสีย! หากว่ายังรู้สึกไม่สบายใจ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ ก็ทำผ้าคลุมไหล่ให้ข้าสักผืนก็แล้วกัน ตอนที่ข้าคลอดน้าฉือของเจ้านั้นไหล่ของข้าต้องลมหนาว ในฤดูหนาวยังดีหน่อยที่มีกระถางไฟ แต่เมื่อถึงฤดูใบไหม้ผลิก็มักจะปวดอยู่เนืองๆ ต้องมีอะไรมาคลุมหัวไหล่เอาไว้ถึงจะรู้สึกดีขึ้น เช่นนั้นผ้าคลุมไหล่ของปีนี้ก็มอบหมายให้เจ้าเลยก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นรีบขานรับปากอย่างตะลีตะลาน แล้วรับกล่องมาจากมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางมองออกว่าภายในห้องเก็บของของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นไม่มีสักชิ้นที่ไม่ใช่ของดี นางกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะให้ของนางตามอำเภอใจอีก จึงลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้ ยังคงค้นหาของอยู่ในห้องเก็บของกับเฝ่ยชุ่ยต่อไป
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะคัดพระธรรมอยู่ในห้องพระได้เพียงสองหน้า จี๋อิ๋งก็เข้ามาหา
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากไปดูเรือนหลีอินสักหน่อยหรือไม่”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เรือนหลีอินมีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ”
ก่อนหน้านี้ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่เรือนหานปี้ซานจะมีเรือนหลีอินอยู่ด้วยอีกหลังหนึ่ง
จี๋อิ๋งยิ้มพลางกล่าวขึ้นอย่างมีเลศนัยอยู่หลายส่วนว่า “ด้านนอกของเรือนหลีอินมีสนามฝึกการต่อสู้ที่วางแนวเป็นผังแปดทิศอยู่แห่งหนึ่ง หากคนทั่วไปเข้าไปคงจะหลงทางอย่างแน่นอน ข้าจะพาเจ้าไปเปิดประสบการณ์สักครั้งหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก
หรือว่าจะเป็นป่าไผ่ที่ตนหลงเข้าไปเมื่อคราวก่อนแห่งนั้น?
นางยังจำได้ว่าทางทิศตะวันออกของป่าไผ่แห่งนั้นเหมือนจะมีเรือนอยู่หลังหนึ่ง ดอกทับทิมสีแดงเพลิงหลายดอกชูช่อยื่นตัวออกมาจากด้านหลังของกำแพงดอกไม้
โจวเสาจิ่นกล่าว “เจ้ารู้เรื่องการวางกลยุทธ์การต่อสู้ด้วยหรือ”
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน