โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่านางกับฝานฉีถูกเฉิงฉือจับตาดูอยู่ ช่วงเทศกาลโคมไฟ เดิมทีนางกับเฉิงเจียวางแผนกันว่าจะออกไปเดินชมโคมไฟด้วยกัน ผลปรากฏว่านายหญิงผู้เฒ่าถังของจวนรองจัดงานเลี้ยงและเชิญนายหญิงผู้เฒ่าที่ครองตัวเป็นหม้ายหลายคนมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน โจวชูจิ่นต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนนายหญิงของจวนสี่อยู่ที่บ้าน จึงต้องให้โจวเสาจิ่นไปร่วมงานเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวน
เฉิงเจียคนเดียวก็เลยไม่มีความสนใจจะไปเดินชมงานโคมไฟแล้วเช่นเดียวกัน จึงไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนรองเป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็นท่านย่าของตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน
งานเลี้ยงของจวนรองจัดขึ้นที่เรือนฉางโซ่วซึ่งเป็นเรือนที่นายหญิงผู้เฒ่าถังอาศัยอยู่ เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้มาที่นี่ พอเดินเข้าประตูมาก็เห็นรูปหล่อนกกระเรียนทำด้วยทองแดงมีขนาดสูงยิ่งกว่าความสูงของคนเสียอีกตั้งอยู่สองตัว ทั้งสี่ด้านประดับตกแต่งเอาไว้ด้วยกระถางเผิงจิ่งต้นสนที่ออกแบบให้มีรูปทรงที่หลากหลายแตกต่างกันไป และทั้งหมดก็พันเกี่ยวเคี้ยวคดขึ้นไปจนสูงกว่าความสูงของคนด้วยเช่นเดียวกัน
สาวใช้ที่มาต้อนรับนางอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี มีใบหน้าขาวดุจหิมะทรงเมล็ดแตงโม ตรงมุมปากมีไฝสีแดงขนาดเท่าเม็ดข้าวอยู่หนึ่งเม็ด พอเห็นโจวเสาจิ่นมองสำรวจกระถางเผิงจิ่งเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นอย่างหยิ่งทะนงว่า “นี่คงเป็นครั้งแรกที่คุณหนูรองได้เห็นกระถางเผิงจิ่งที่สูงยิ่งกว่าความสูงของคนวางรวมกันมากมายขนาดนี้กระมัง กระถางเผิงจิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้าเป็นคนปลูกขึ้นมาเองเจ้าค่ะ”
ในวันสรงน้ำพระพุทธองค์เมื่อวันที่แปดเดือนสี่ของปีที่แล้ว ก็เป็นสาวใช้ผู้นี้ที่รับใช้อยู่ข้างกายนายหญิงผู้เฒ่าถัง ดูเหมือนว่าจะชื่อ ‘อวี๋เอ๋อร์’ อะไรสักอย่าง ยามอยู่ต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าถัง นางค่อนข้างจะมีหน้ามีตาได้รับความเชื่อถืออยู่หลายส่วน
โจวเสาจิ่นเห็นนางชายตามองผู้อื่นด้วยหางตา รู้สึกไม่ชอบใจนัก ยิ้มบางๆ พลางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ข้าได้เห็นกระถางเผิงจิ่งที่สูงยิ่งกว่าความสูงของคนวางรวมกันมากมายขนาดนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่วางไว้ที่เรือนเพาะชำดอกไม้หรือ กระถางเผิงจิ่งนี้เป็นของที่เอาไว้เพื่อประดับตกแต่งให้คนได้ชื่นชม การที่เอาทั้งหมดวางกองรวมกันเช่นนี้ ข้านึกว่าไม่มีที่ให้จัดวางเสียอีก กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจวนรองมีพี่ชายสือเพียงครอบครัวเดียว อีกทั้งยังครอบครองสวนชุนเจ๋อ และหอถงฮวาที่อยู่ด้านนอกอีก ในขณะที่จวนสี่ของพวกเรานั้นนอกจากพี่ชายเก้ากับพี่ชายอี้แล้ว ยังมีพวกข้าสองพี่น้องมาอาศัยอยู่ด้วยอีก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่แล้วแออัดแต่อย่างใด…”
หรือความหมายอีกนัยหนึ่งของคำกล่าวนี้ก็คือต้องการจะบอกว่าจวนรองนั้นไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ แม้แต่กระถางเผิงจิ่งก็ไม่รู้ว่าควรต้องจัดวางอย่างไรบ้าง
อวี๋เอ๋อร์ทั้งอับอายและขุ่นเคือง ทันใดนั้นใบหน้าก็บึ้งตึงจนแดงก่ำ
เดิมทีที่นี่ก็ประดับกระถางเผิงจิ่งที่มีรูปทรงแปลกตาทว่างดงามเหล่านี้เพียงไม่กี่กระถางเท่านั้น แต่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนล้วนกล่าวชมว่ากระถางเผิงจิ่งเหล่านี้ปลูกได้ดีและดูแลได้งดงามยิ่ง ทำให้นายหญิงผู้เฒ่าถังมีความสุขเหลือแสน นางจึงตัดสินใจด้วยตัวเอง ค่อยๆ ย้ายกระถางเผิงจิ่งที่อยู่ในเรือนเพาะชำดอกไม้เอามาวางไว้ที่นี่ ผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนต่างก็มักจะมองสำรวจกระถางเผิงจิ่งเหล่านี้หลายครั้งเช่นเดียวกับโจวเสาจิ่น นายหญิงผู้เฒ่าถังเองก็ไม่ว่าอะไร นางจึงรู้สึกภาคภูมิใจมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่ากลับถูกโจวเสาจิ่นดูแคลนเช่นนี้ได้
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของคุณหนูรองยิ่งนักเจ้าค่ะ” เสียงพูดของโจวเสาจิ่นเพิ่งจะจบลง ก็มีสาวใช้รูปร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งเลิกผ้าม่านขึ้นและเดินออกมา กล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าบอกนางหลายหนแล้ว แต่นางก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ตอนนี้ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญแล้ว คงรู้สึกแล้วกระมัง”
ประโยคสุดท้ายนั้น เป็นการพูดกับอวี๋เอ๋อร์
สาวใช้ผู้นี้โจวเสาจิ่นเองก็เคยเจอมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน
นางคือชิ่งเอ๋อร์ สาวใช้ข้างกายลำดับที่หนึ่งของนายหญิงผู้เฒ่าถัง
อวี๋เอ๋อร์ได้ยินชิ่งเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ ก็เหลือบมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ให้รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ
ในสายตาของอวี๋เอ๋อร์ผู้นั้นถึงกับมีแววเกลียดชังสายหนึ่งวาบผ่าน
โจวเสาจิ่นจึงยิ่งรู้สึกไม่ชอบจวนรอง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสุดท้ายแล้วจวนรองกับจวนหลักก็จะต้องเป็นอริต่อกัน และตอนนี้นางช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดพระธรรมอยู่ที่จวนหลัก ต่อให้นางไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยท่ามกลางเรื่องนี้ แต่ในสายตาของผู้อื่นนางก็คงถูกตีตราว่าอยู่ข้างจวนหลักไปเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้นางก้มศีรษะร้องขอความเมตตาก็เกรงว่าจวนรองคงไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นอกจากนี้ การที่นางไม่มีจุดยืนยังอาจเป็นเหตุให้จวนหลักต้องเสียหน้าอีกด้วย
อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงหลานสาวฝั่งมารดาของจวนสี่ผู้หนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังแซ่โจวไม่ได้แซ่เฉิง อย่างมากที่สุดก็แค่ออกจากที่นี่ไปก็ได้แล้ว เหตุใดถึงกับต้องดูแม้แต่สีหน้าของสาวใช้เหล่านี้ด้วย บิดาปฏิบัติต่อนางดั่งนางเป็นแก้วตาดวงใจของเขา ไม่ใช่เพื่อให้คนเหล่านี้มาดูถูกเหยียดหยามนาง
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าตัวข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญ” โจวเสาจิ่นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับไม่อ่อนข้อให้เลยสักนิด “เป็นเพียงผู้ที่ชื่นชอบการจัดตกแต่งต้นไม้ดอกไม้ก็เท่านั้น เมื่อเห็นแล้วตัวข้าก็ให้รู้สึกอึดอัดใจนัก จึงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจอีกสักหลายๆ ครั้ง ทำให้แม่นางทั้งสองได้เห็นเรื่องขำขันเสียแล้ว”
ชิ่งเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย
นางเคยได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าคุณหนูรองตระกูลโจวของจวนสี่นั้นนิสัยขี้อายและหัวอ่อน คิดไม่ถึงว่าข่าวลือจะผิดพลาด ทำให้นางคำนวณผิดพลาดไปได้
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของคุณหนูรองยิ่งนัก!” นางรีบเปลี่ยนท่าทีโดยพลัน ก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างนอบน้อม กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้ากำลังรอท่านอยู่ในห้องโถงเจ้าค่ะ! อีกสักครู่ข้าค่อยพาอวี๋เอ๋อร์ไปกล่าวขอโทษคุณหนูรองอีกครั้งนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็หัวเราะร่าพลางกล่าว “เพียงเรื่องซุบซิบหยุมหยิมของพวกสาวใช้เด็กไม่รู้ความก็เท่านั้น เจ้ากลับไปอบรมสักหน่อยก็พอแล้ว ให้นางไปขอโทษเสาจิ่น หากเรื่องรู้ไปถึงนายหญิงผู้เฒ่าของพวกเจ้า เกรงว่าวันเวลาของนางจะลำบากไม่น้อย พวกเจ้าก็เป็นเสมือนพี่น้อง เจ้าเองก็ต้องดูแลนางสักหน่อยถึงจะถูก”
นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าขิงแก่ที่แท้จริง!
โจวเสาจิ่นรู้สึกนับถือยิ่งนัก
ชิ่งเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะกล่าวเช่นนี้ออกมา ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้นก็รีบกล่าวขึ้นอย่างยิ้มๆ ว่า “ยังคงเป็นนายหญิงผู้เฒ่าที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา อวี๋เอ๋อร์ ยังไม่รีบมาขอบคุณนายหญิงผู้เฒ่ากับคุณหนูรองอีก”
อวี๋เอ๋อร์เองก็เป็นหนึ่งในตัวละครของฉากนี้ นัยน์ตาทั้งคู่พลันคลอด้วยหยาดน้ำตา ก้าวออกมากล่าวขอโทษฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับโจวเสาจิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มให้อย่างมีเมตตา และเดินเข้าไปในห้องโถงโดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง
แต่พอเข้าไปถึงภายในห้อง รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็มลายหายไป
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งชิ่งเอ๋อร์เอ่ยรายงานเสียงดังว่า “นายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นจึงจำต้องเก็บซ่อนความคิดเอาไว้ในใจก่อน
ถึงแม้ว่าใบหน้าของนายหญิงผู้เฒ่าถังจะเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาเฉียบคมที่แสดงออกมาให้เห็นผ่านดวงตาทั้งคู่นั้นกลับทำให้นางดูเป็นคนดุดันอยู่เช่นเดิมเล็กน้อย
นางเห็นโจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้ามาก็ยิ้มพลางเอ่ยเย้าแหย่ขึ้นว่า “ยังคงเป็นเจ้าที่โชคดียิ่งนักที่มีหลานสาว ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีคนไปเป็นเพื่อน ไม่เหมือนข้า จะเล่นไพ่ครั้งหนึ่งก็หาคนเล่นด้วยไม่ได้สักคน”
โจวเสาจิ่นยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็แตะที่มือของโจวเสาจิ่นเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “หลานสาวผู้นี้ของข้าถือว่าเป็นเด็กดีจริงๆ อย่างไรก็ตาม สะใภ้ใหญ่สือก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
“เป็นเช่นนั้นๆ” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “ไม่กล่าวถึงอย่างอื่น เพียงข้าเห็นเหลนชายทั้งสองคนนั้น ใจข้าก็ละลายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านผู้นำตระกูล ทุกๆ วันต้องให้แม่นมอุ้มไปให้เขาดูสักหน่อยถึงจะพอใจ” ทั้งสองคนสนทนากันไปด้วย เดินเข้าด้านในไปด้วย “ได้ยินมาว่าเก้าเกอเอ๋อร์กับอี้เกอเอ๋อร์ของพวกเจ้าล้วนรั้งอยู่ที่ผูโข่วหรือ สำนักศึกษาของตระกูลพวกเรานั้น เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วก็ถือได้ว่ามีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ ของทั้งเมืองจินหลิง”
ความหมายแฝงภายใต้คำพูดนี้ก็คือต้องการกล่าวว่าจวนสี่นั้นมีของดีอยู่ใกล้ตัวแล้วแท้ๆ กลับยังไปแสวงหาจากที่ห่างไกลอีก
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน