แต่จะมั่นใจหรือไม่มั่นใจก็คงไม่อาจอาศัยเพียงลมปากพูดเท่านั้น
โจวเสาจิ่นคิดว่าตนทำได้เพียงต้องลงมือทำให้ดี ถึงจะโต้แย้งให้ตัวเองได้
นางเดินออกจากเรือนเจียซู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับว้าวุ่นประหนึ่งน้ำในมหาสมุทรที่ม้วนตลบพลิกคว่ำลงสู่ทะเล
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยืนอยู่ข้างหน้าหน้าต่าง มองดูร่างของโจวเสาจิ่นที่ค่อยๆ ลับหายเข้าไปทางข้างหลังกำแพง จากนั้นเรียกหวังมามาเข้ามา กระซิบกล่าวว่า “เจ้าคิดหาทางให้คนไปลอบสอบถามอนุเหลียงดูว่าสุขภาพของท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นอย่างไรบ้าง”
หวังมามาตื่นตกใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเล่าเรื่องที่โจวเสาจิ่นพูดกับนางเมื่อครู่ให้หวังมามาฟังทั้งหมด ในตอนท้ายก็ยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าใกล้จะต้องเลือกข้างแล้ว พวกเราจึงไม่อาจไม่เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ ได้!”
หวังมามาเป็นบ่าวอาวุโสในจวน เรื่องราวของตระกูลเฉิงนางอาจจะรู้ดียิ่งกว่าเฉิงเหมี่ยนด้วยซ้ำ หลังจากผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ ตระกูลเฉิงก็ไม่เหลือสง่าราศีหรืออภิสิทธิ์ใดๆ ของตระกูลสูงศักดิ์อีก หนำซ้ำยังถูกตราหน้าว่าเป็นกากเดนที่หลงเหลือมาจากราชวงศ์ก่อน ขุนนางน้อยใหญ่ล้วนกล้าที่จะเอาเปรียบอย่างไม่เกรงกลัว ต้องผ่านวันเวลาไปอย่างลำเค็ญ แม้แต่ยามที่นางติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่แต่งงานเข้าจวนมาก็ยังไม่อาจหายใจหายคอได้อย่างสะดวกนัก หากไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถของท่านผู้นำตระกูลจวนรองที่สอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อละก็ ตระกูลเฉิงคงจะสูญสิ้นไปนานแล้ว กล่าวได้ว่า การที่ซอยจิ่วหรูมีทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะคุณงามความดีของเฉิงซวี่ เป็นเฉิงซวี่ที่ทำให้ตระกูลเฉิงรุ่งเรืองขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย พวกนางไม่เพียงเห็นมากับตา แต่ยังประสบมาด้วยตัวเอง ในดวงใจของพวกนางผู้เป็นบ่าวอาวุโสเหล่านี้ เฉิงซวี่ก็ไม่ต่างจาก ‘องค์จักรพรรดิผู้ฟื้นฟูความรุ่งโรจน์’ ของราชวงศ์ผู้หนึ่งเลย การให้พวกนางไปท้าทายอำนาจของเฉิงซวี่นั้น…พวกนางย่อมไม่กล้า!
ฉะนั้นเมื่อหวังมามาได้ยินจึงอดไม่ได้เอ่ยถามด้วยความเกรงกลัวว่า “ท่าน…ท่านแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะ อย่าไปล่วงเกินท่านผู้นำตระกูลเลย…แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเก่งกาจเพียงใด แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงอิสตรีผู้หนึ่ง หากนามไม่เที่ยงตรง วาจาย่อมไม่ราบรื่น…นายท่านสี่ฉือก็ช่วยอะไรไม่ได้ไปกว่ากัน ร้านตั๋วแลกเงินอะไรเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงดั่งจันทราในวารีและบุปผาในคันฉ่อง เกรงว่าเพียงจดหมายหนึ่งฉบับของท่านผู้นำตระกูลก็ล้มกิจการร้านตั๋วแลกเงินเหล่านั้นได้เลยเจ้าค่ะ…”
“เรื่องราวไหนเลยจะง่ายดายอย่างที่เจ้ากล่าวมา!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บรรดาสหายร่วมราชสำนักและร่วมสำนักศึกษาของท่านผู้นำตระกูลเหล่านั้นต่างก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากตามกันไปแล้ว มิหนำซ้ำบรรดาผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง หากไม่ใช่เพราะมีนายท่านใหญ่ของจวนหลักคอยค้ำจุนอยู่ บางทีคนเหล่านั้นอาจจะไม่ไว้หน้าท่านผู้นำตระกูลแล้วก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นท่านผู้นำตระกูลคงจะไม่พยายามเอาชนะใจบุตรเขยเพื่อโหย่วอี๋หรอก แต่ข้าไม่ได้คิดจะติดตามจวนหลักเพื่อต่อกรกับจวนรองให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์…เจ้ายังจำเมื่อครั้งที่นายท่านสี่ฉือต้องการเปิดกิจการร้านตั๋วแลกเงินแล้วต้องการให้พวกเราร่วมหุ้นด้วยได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าข่มตานอนไม่หลับถึงสามวันสามคืน หากไม่ร่วมหุ้นด้วย รายได้ภายในจวนจะไม่เพียงพอสำหรับส่งเก้าเกอเอ๋อร์กับอี้เกอเอ๋อร์เล่าเรียนในภายหลัง แต่หากร่วมหุ้นส่วนด้วย พวกเราก็ถือว่าขึ้นเรือลำเดียวกับจวนหลักแล้ว ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ข้าคิดว่าน่าเกรงกลัวยิ่งกว่าก็คือ ในปีนั้นนายท่านสี่ฉืออายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น! หากว่าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างราบรื่นปลอดภัย ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องร้ายกาจอะไรได้อีก! ตอนนี้เจ้าคงจะทราบวัตถุประสงค์ที่นายท่านสี่ฉือก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินแล้วกระมัง จวนรองอดทนที่จะไม่แตกคอกับจวนหลัก แต่ถ้าแตกคอกันแล้ว เจ้าก็คอยดูเถอะ ผู้ที่จะกระโจนออกมานำทัพจะต้องเป็นจวนห้าอย่างแน่นอน!”
สิ่งที่จวนห้าขาดแคลนคือเงิน
เงินคือชีวิตของคนทั้งครอบครัว
หากจวนรองต้องการพรากชีวิตของจวนห้า จวนห้าก็พร้อมที่จะสละชีวิตไปต่อสู้กับจวนรองให้ตายกันไปข้างหนึ่ง กล่าวคือหากมัจฉาไม่ตาย ก็ต้องเป็นตาข่ายที่จะต้องเสียหายพังทลายลงไป
หวังมามาเงียบงัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนี้ทำได้เพียงดูว่าสุขภาพของท่านผู้นำตระกูลเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นแล้ว…”
หวังมามาเข้าใจ พยักหน้าตอบว่า “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป
***
โจวเสาจิ่นวาดรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่ในเรือนไปหนึ่งวัน ความอัดอั้นตันใจนั้นจึงค่อยๆ สลายหายไปจนหมดสิ้น นับวันแล้ว ก็ถึงเวลาที่นางต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานแล้ว นางนึกถึงเฉิงฉือที่พำนักอยู่ในเรือนหานปี้ซาน ทั้งครุ่นคิดว่าเพิ่งจะเฉลิมฉลองตรุษจีนไปไม่นาน จึงเข้าครัวไปทำขนมเปี๊ยะกรอบเพื่อนำไปมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับพวกปี้อวี้ได้ลองชิมดู
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าไม่หยุด พลางกล่าวว่า “ขนมนี้ทำได้ไม่เลว” จากนั้นก็กล่าวอย่างสงสัยว่า “แป้งข้างนอกคล้ายโรยผงเครื่องเทศห้าชนิดเอาไว้แต่พอกินเข้าไปแล้วกลับรู้สึกไม่คล้ายนัก”
โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าใส่พริกเสฉวนเพิ่มเข้าไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลองชิมอีกคำ แล้วกล่าวว่า “เหมือนยังมีเครื่องเทศอื่นอีกด้วย”
“ท่านมีลิ้นขององค์ฮ่องเต้จริงๆ เลยนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าบดพริกเสฉวนจนเป็นผง จากนั้นก็ผัดกับเกลือ โรยผงเครื่องเทศห้าชนิดเพิ่มบนแป้งชั้นนอก รสชาติของพริกเสฉวนนั้นจึงต่างจากปกติเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“ข้าก็ว่า ขนมเปี๊ยะกรอบนี้ถึงได้ไม่ค่อยเหมือนอันที่เคยกินทั่วไปนัก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นยิ้มๆ อย่างหายข้องใจแล้ว จากนั้นบอกปี้อวี้ว่า “ส่งไปให้คุณชายสี่ลองชิมดูสักสองสามชิ้น”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าทำเผื่อท่านน้าฉือด้วยหนึ่งกล่องเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ในเมื่อข้าทำให้ท่าน ย่อมไม่อาจละเลยท่านน้าฉือได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าวว่า “เห็นทีว่าชายสี่จะได้ลาภปากเพราะข้าเสียแล้ว ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเขาแล้ว นำขนมสองสามชิ้นนี้ไปให้หลี่ว์มามาก็แล้วกัน” ประโยคสุดท้ายเป็นการกล่าวกับปี้อวี้
ปี้อวี้คลี่ยิ้มพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นจึงขอตัวไปที่ห้องพระ
ไม่ได้คัดพระธรรมมาหลายวัน กลิ่นหมึกจางๆ เหล่านั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เริ่มฝนหมึก
ทว่าทางด้านเฉิงฉือนั้น ครั้นได้รับขนมเปี๊ยะกรอบที่ปี้อวี้นำมามอบให้แล้ว ก็มองสำรวจอยู่นาน ก่อนจะมอบกล่องขนมนั้นแก่ไหวซาน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนทางตอนเหนือ คงจะชอบกินขนมเช่นนี้ เจ้านำกลับไปกินเถอะ!”
ไหวซานรับกล่องขนมมา
เฉิงฉือคุยธุระที่ค้างไว้กับเขาต่อว่า “…ถ้าเซียวเจิ้นไห่ตามมาหาข้าจนถึงที่เมืองจินหลิงได้ คนอื่นก็ตามมาได้เช่นกัน ข้าไม่สะดวกจะปรากฏตัวในเมืองจินหลิงอีก ต่อไปตระกูลเฉิงคงต้องบอกคนข้างนอกไปว่าข้าป่วยเสียแล้วกระมัง! เช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าเหตุใดข้าถึงไม่รับราชการ รอให้ผ่านไปสักสองปีข้าก็แสร้งล้มป่วยสิ้นใจตายไปเสีย ตระกูลเฉิงก็จะสงบสุขด้วย”
ไหวซานส่งเสียง “อืม” ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เห็นจี๋ิอิ๋งเดินเข้ามาในลานบ้าน ก้มหน้าก้มตาพูดคุยกับสาวใช้เด็กที่คุ้นหน้าคนหนึ่งอยู่สักพัก สาวใช้เด็กผู้นั้นหยิบกล่องขนมกล่องหนึ่งที่คล้ายกล่องที่เฉิงฉือมอบให้เขาเมื่อครู่ออกมามอบให้จี๋อิ่ง จี๋อิ๋งรับกล่องขนมมา แล้วตกรางวัลให้สาวใช้เด็กผู้นั้นสองสามเหรียญทองแดง จากนั้นก็เดินกลับไปอย่างมีความสุข
“นายท่านสี่!” เขาอดกล่าวไม่ได้ “ดูเหมือนว่าคุณหนูรองตระกูลโจวจะมอบขนมให้จี๋อิ๋งด้วยเช่นกันขอรับ”
“อ้อ!” เฉิงฉือตอบเสียงบางเบา “คาดว่าคงทำเอาไว้มาก ก็เลยมอบให้คนละเล็กละน้อย เป็นธรรมดาที่มีของขวัญมามากผู้คนย่อมไม่กล่าวตำหนิ! นางคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน หากผูกมิตรกับพวกสาวใช้เหล่านั้นได้ เวลาจะทำอะไรก็ย่อมง่ายขึ้นมาก”
ไหวซานเห็นด้วย แล้วหยิบกล่องขนมกลับไป
จี๋อิ๋งวิ่งไปหาโจวเสาจิ่น ยิ้มกล่าวอย่างเริงร่าว่า “คุณหนูรอง ขนมเปี๊ยะกรอบที่เจ้าทำมาอร่อยมากจริงๆ! ขอบคุณเจ้ามาก! ที่ยังนึกถึงข้าอยู่”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน