“แล้วท่านตอบตกลงไปหรือไม่เจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถาม
“ตอบตกลงไปแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจ “ที่นางกล่าวมาก็มีเหตุผล การขยับไม่สู้อยู่นิ่งๆ เสียยังจะดีกว่า หากเปลี่ยนเจ้าเมืองจินหลิงคนใหม่ สำหรับจวนสี่แล้ว อาจไม่ได้ดีไปกว่าใต้เท้าอู๋ก็เป็นได้”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวกับนางอีกสองสามประโยคอย่างเหม่อลอย แล้วให้นางกลับเรือนไป
หวังมามาเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ท่านจะไม่ให้คุณหนูรองไปเป็นเพื่อนท่านหรือเจ้าคะ”
“ยังไม่รู้เลยว่าจวนหลักคิดเห็นอย่างไร!” ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาขณะที่กล่าว “อย่าเพิ่งลากเสาจิ่นเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
หวังมามายิ้มพลางตอบว่า “เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีวาสนาดีผู้หนึ่งนะเจ้าคะ ได้รับความโปรดปรานจากท่าน!”
“นางได้รับความโปรดปรานจากข้านับว่าเป็นวาสนาอะไรได้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอย่างถ่อมตน “การที่นางได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างหาก นั่นถึงจะนับว่ามีวาสนาดีจริงๆ!”
“การได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโส ล้วนถือว่าเป็นวาสนาดีทั้งหมดเจ้าค่ะ!” หวังมามายิ้มน้อยๆ พลางกล่าวยกยอฮูหยินผู้เฒ่ากวนอีกสองสามประโยค
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า แล้วกล่าวว่า “เจ้าช่วยนำบัตรเทียบขอเข้าพบไปส่งที่เรือนหานปี้ซานให้ข้าที!”
หวังมามายิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วไปที่จวนหลัก
เฉิงฉือกำลังเอนกายอิงหมอนใบใหญ่อยู่บนตั่งหลัวฮั่นอย่างเกียจคร้านพลางอ่านบันทึกการเดินทางอย่างสนอกสนใจ ขณะรอรับประทานมื้อเย็น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินเข้ามาพลางกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “นี่เป็นนิสัยเสียที่ได้มาจากที่ใดกัน เดินไปที่ใดก็นอนลงที่นั่น หากข้าไม่วางตั่งหลัวฮั่นตัวหนึ่งเอาไว้ในห้อง ข้าว่าเจ้าจะต้องนำเข้ามาวางเองสักตัวหนึ่งเป็นแน่!”
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง!” เฉิงฉือหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ พลางวางบันทึกการเดินทางในมือลง แล้วเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เย็นนี้รับประทานอะไรขอรับ”
“รับประทานขาแพะย่างที่เจ้าชอบ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคลี่ยิ้มตอบ “เจ้าอยากรับประทานอะไรเพิ่มอีกหรือไม่”
“ฉลองปีใหม่เสร็จแล้ว ก็ต้องเพลาๆ เรื่องอาหารการกินลงหน่อยนะขอรับ” เฉิงฉือตอบ “พรุ่งนี้ข้าจะไปเอาของที่เจ่าหยวนสักหน่อย พรุ่งนี้เย็นก็กลับมาแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วนัยน์ตาพลันฉายแววสงสัยสายหนึ่ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เจือการหยั่งเชิงอยู่หลายส่วน “ปีก่อนๆ หลังวันที่สามเจ้าก็ออกไปทำธุระข้างนอกแล้ว ทำไมหรือ ปีนี้ว่างมากหรือ”
เฉิงฉือยิ้มพลางตอบ “ท่านช่างเอาใจยากจริงๆ! ข้าออกไปทำงาน ท่านก็บ่นว่าวันๆ ข้าไม่ยอมอยู่บ้าน พอข้าอยู่แต่ในบ้าน ท่านก็บ่นอีกว่าข้าไม่ไปทำงานหาเงินมาให้ท่านใช้ ข้าล่ะรู้สึกจะซ้ายก็ลำบากจะขวาก็ลำบากจริงๆ เลยขอรับ…”
“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวอย่างเคืองๆ “ข้ากลัวว่าเจ้าอยู่บ้านแล้วจะรู้สึกเบื่อหน่ายก็เท่านั้นเอง!”
เฉิงฉือยกยิ้มแต่ไม่เอ่ยคำใด
มีสาวใช้เด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเผือด เอ่ยรายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านสี่ มี…มีจดหมายส่งมาจากจิงเฉิงเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นท่าทางของสาวใช้เด็กคนนั้นแล้วในใจมีลางสังหรณ์บางอย่างรางๆ ครั้นเปิดจดหมายอ่านแล้ว ขาก็อ่อนแรง จนแทบล้มลงกับพื้น
เฉิงฉือตกใจเป็นอย่างมาก ลุกพรวดขึ้นมาประหนึ่งกระต่ายที่กระโจนตัวหนี ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้อย่างมั่นคง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “เกิดอะไรขึ้นขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอ้ำๆ อึ้งๆ กล่าวอะไรไม่ออกแล้ว มือที่ถือจดหมายอยู่นั้นสั่นเทิ้มราวกับกำลังร่อนแกลบอยู่ก็ไม่ปาน
เฉิงฉือรับจดหมายจากมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมา เพียงอ่านไปครั้งเดียว สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
เฉิงเฝินบุตรชายคนเดียวของนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก ล้มป่วยกะทันหันและจากไปเมื่อสิบหกวันก่อน
เฉิงฉือตัวสั่นสะท้านไปครั้งหนึ่ง
น้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไหลริน
“หรือว่าสวรรค์ต้องการล้มล้างตระกูลเฉิงของข้ากันแน่!” เพียงครู่เดียวนางราวกับแก่ชราลงไปอีกสิบปี สีหน้าไม่เหลือความเข้มแข็งเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว “เจ้าไม่ยอมแต่งงาน ชายใหญ่กับชายรองต่างก็มีบุตรชายเพียงคนเดียว หนำซ้ำตอนนี้ชายสามยังเสียชีวิตไปอีก…แม้พวกเจ้ามีความสามารถเพียงใด แต่สองมือหรือจะสู้สี่หมัด จะประสบความสำเร็จอะไรได้” นางกล่าวพลางจับเฉิงฉือไว้ “เจ้าต้องไปจิงเฉิงสักครั้งหนึ่ง ข้ากลัวว่าอารองของเจ้าอาจจะทนรับแรงกระแทกนี้ไม่ไหว”
แววตาเฉิงฉือดำดิ่งลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ข้าจะรีบเร่งไปจิงเฉิงเดี๋ยวนี้ขอรับ”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย แล้วให้เฉิงฉือประคองนางนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่น
ภายในห้องเงียบกริบ สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรงๆ
เฉิงฉือรินน้ำชาให้มารดาจอกหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ ดื่มน้ำชาจนหมดจอก แล้วจึงกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ชายสี่ ทางด้านของท่านผู้นำตระกูลจวนรอง เจ้าไปด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง นำข่าวการจากไปของชายสามไปบอกเขา จากนั้นบอกเขาว่า ข้าต้องการพบเขา”
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วขึ้น พลางกล่าวว่า “ท่านแม่ หากท่านมีอะไรจะพูดก็ฝากข้าไปบอกเขาเถิด ท่านอายุมากแล้ว โมโหเกรี้ยวกราดมากจะไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดีถึงจะถูกนะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “การที่เขาให้เจ้ารับช่วงดูแลกิจการภายในของจวน ก็เท่ากับหักแขนข้างหนึ่งของจวนหลักของพวกเราแล้ว เจ้ายังจะไม่ให้ข้าโกรธแค้นเขาได้อยู่หรือ แม้แต่นักปราชญ์ผู้หนึ่งก็ยังทำไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับข้า หากว่าเจ้าไม่บอกเขา เช่นนั้นข้าจะไปพูดกับเขาเอง”
“ท่านแม่!” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ร้อนรนทว่าก็ไม่เย็นชาว่า “ไม่ว่าท่านจะว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยอมให้ท่านไปพบหน้าเขา หากท่านไม่ให้ข้านำความไปแจ้ง ก็เก็บซ่อนถ้อยคำเหล่านั้นเอาไว้ในใจ ท่านเลือกเอาว่าจะทำอย่างไร”
“เจ้าลูกอกตัญญูคนนี้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธขึ้ง แต่พอเห็นร่างสูงโปร่งงามสง่าของบุตรชายที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ก็โยนเพลิงโทสะนั้นทิ้งไปยังดินแดนแห่งเกาะชวาไปเสียอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างเถอะ เจ้านำความไปแจ้งให้ข้าก็แล้วกัน เจ้าบอกเขาว่า ข้าอยากจะรับอวิ๋นเกอเอ๋อร์มาเป็นบุตรบุญธรรมในนามของหลานชายซวิ่นของเจ้า ข้าจะช่วยเลี้ยงดูเขาเอง”
เฉิงสือของจวนรองมีบุตรชายสองคน บุตรคนโตมีนามว่าเฉิงเกิง บุตรคนรองมีนามว่าเฉิงอวิ๋น ส่วนหลานชายซวิ่นที่ว่านั้นหมายถึงหลานชายของนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก ซึ่งก็คือเฉิงซวิ่นผู้เป็นบุตรชายของเฉิงเฝิน
เฉิงฉือกล่าวขึ้นอย่างเสียไม่ได้ว่า “ท่านแม่ นี่มันเป็นไปไม่ได้ขอรับ…”
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระโดดพรวดขึ้นมาโดยพลัน พลางกล่าวว่า “ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้! ในปีนั้นเขากล่าวอะไรเอาไว้บ้าง แม้เขาจะลืมไปแล้ว แต่ข้ายังจำได้ดี! ทำไมหรือ อยากกระทำตัวไร้ศีลธรรมอย่างโสเภณีด้วย และยังต้องการเรียกร้องสิทธิ์ให้บุตรชายไปด้วยอย่างนั้นหรือ ไหนเลยจะมีเรื่องที่ดีขนาดนั้นได้ เจ้าไปบอกเขาตามนี้ อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ข้าอยากดูนักว่า เขาจะมีหน้าอะไรมากล่าวปฏิเสธคำว่า ‘ไม่’ กับข้า!”
เฉิงฉือเห็นดวงหน้าของมารดาขึ้นสีแดงก่ำไปทั้งหน้า ภายในใจเต้นตึกตักรัวๆ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอย่าได้กังวล ข้าจะบอกเขาตามที่ท่านได้กล่าวมาก็แล้วกันขอรับ”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน