ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็หัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “บุตรชายของข้ามีบุตรกันตั้งนานแล้ว หลานชายก็ยังไม่ได้แต่งงาน คงได้แต่รอให้วันข้างหน้าหากมีโอกาสค่อยกลับมาขอบุตรที่เจดีย์เหลยเฟิงใหม่แล้ว!”
ฮูหยินหวังเห็นว่าประจบประแจงไม่ขึ้น จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนมีวาสนา ย่อมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ไหนเลยจะต้องไปขอบุตรที่เจดีย์เหลยเฟิงกันเจ้าคะ!”
โจวเสาจิ่นอยากไป
นางอยากไปอุ้มอิฐกลับไปให้พี่สาวสักก้อน
แต่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่สนใจ นางที่เป็นหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ได้ออกเรือนผู้หนึ่ง จึงไม่กล้าเอ่ยปาก
เรือเข้าจอดเทียบท่าใกล้กับตลิ่งที่อยู่ข้างๆ เจดีย์เหลยเฟิง
รอบๆ ยังมีเรือที่เหมือนกับเรือสำราญของพวกนางจอดอยู่อีกหลายลำ มุมเรือแขวนโคมไฟเอาไว้ มีแสงนวลลอดผ่านมาสลัวๆ สะท้อนแสงไปยังกิ่งต้นหลิวที่ห้อยตัวลงมาถึงผิวน้ำทั้งสองฟากฝั่ง เกิดเป็นเงาดำตะคุ่มๆ
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หันไปมองบนฝั่ง
เรือสำราญที่จอดอยู่ข้างๆ บ้างก็มีเสียงหัวเราะยามขับขานโคลงกลอนของบุรุษดังออกมาซ้ำๆ บ้างก็เป็นเสียงนุ่มละมุนละไมของสตรีดังเข้ามาให้ได้ยินไม่ขาดสาย มีเรือบางลำที่เพียงแล่นผ่านทะเลสาบมาเหมือนกับพวกนางเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่พึงใจก็รีบหลบออกไปในทันที
เนื่องจากพวกนางต้องรอเฉิงฉือ จึงจำต้องจอดเรือเทียบท่าเอาไว้
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่ออย่างช่วยไม่ได้
มีเรือลำเล็กแล่นตรงมาทางพวกนาง
โจวเสาจิ่นเพ่งตามอง ที่แท้ก็เป็นเฉิงฉือกับไหวซาน
ไม่ใช่บอกว่าจะรออยู่ที่เจดีย์เหลยเฟิงหรอกหรือ
เหตุใดถึงมาจากที่อื่นได้เล่า
ยังไม่ทันที่โจวเสาจิ่นจะได้ครุ่นคิดอะไร เฉิงฉือก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนเรือสำราญแล้วอย่างรวดเร็ว
นางอดไม่ได้กะพริบตามองปริบๆ
ไม่ว่าจะมองอย่างไรเรือเล็กๆ ลำนั้นก็อยู่ห่างจากเรือสำราญไปประมาณสามฉื่อ…จะกระโดดข้ามมาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นเลยหรือ
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ไหวซานกลับแล่นเรือจากไป
นี่มันเหตุการณ์อะไรกัน
โจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง
จากนั้นเห็นนิ้วมือนิ้วหนึ่งสะบัดไปมาอยู่ตรงหน้านาง
เฉิงฉือกำลังยืนอยู่เบื้องหน้านางด้วยมุมปากยกยิ้ม
“มองอะไรอยู่หรือ” เขากล่าวเสียงอบอุ่น “ดูจนแน่นิ่งไปหมดแล้ว!”
“ไม่…ไม่ได้ดูอะไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นมีเรื่องอยากถามเฉิงฉือมากมาย ทว่ากลับไม่รู้จะเริ่มถามจากอะไรดี
เฉิงฉือกลับทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าในห้องโดยสาร ออกมานอกเรือทำไมหรือ ตรงนี้น้ำลึกยิ่งนัก ระวังจะตกลงไปในน้ำได้”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและเป็นกันเอง ราวกับเพิ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารที่อยู่ข้างๆ ทำให้โจวเสาจิ่นบังเกิดภาพลวงตาบางอย่าง ประหนึ่งว่าพวกเขายังอยู่บนเรือสำเภา แล้วเมื่อครู่เขาก็เพียงเดินเลี้ยวผ่านมาก็เท่านั้น
นางกล่าวขึ้นอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกังวลว่าเหตุใดท่านยังมาไม่ถึง ข้าก็เลยออกมาดูสักหน่อยเจ้าค่ะ…ในเมื่อท่านมาถึงแล้ว พวกเราก็รีบกลับเข้าไปในห้องโดยสารเถิด! วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซื้อขนมไหว้พระจันทร์มาเป็นจำนวนมาก กล่าวว่าต้องการรอท่านน้าฉือกลับมากินด้วยกันเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พลางเดินเข้าไปในห้องโดยสารพร้อมนาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นบุตรชายแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “รีบเข้ามานั่ง รอเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
เฉิงฉือยิ้มให้อย่างอ่อนโยน นั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเขาอย่างรักใคร่ว่ากินข้าวเย็นมาแล้วหรือยัง กินข้าวกลางวันที่ไหน กินอะไรบ้าง ได้เจอสหายหรือยัง เหตุใดถึงไม่นัดสหายมานั่งล่องเรือด้วยกัน
เฉิงฉือตอบคำถามทีละข้อ “กินข้าวที่หอฟู่หยวนทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ก็เป็นเพียงอาหารที่พบเห็นกันบ่อยๆ เท่านั้น อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ประมุขของหอฟู่หยวนมอบขนมไหว้พระจันทร์ให้แขกทุกคนที่ไปกินข้าวที่นั่นคนละหนึ่งจานเล็ก เดิมทีก็คิดจะชวนพวกเขามาร่วมด้วย แต่พอคิดว่าวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ นัดคนมาร่วมด้วยเกรงว่าคงไม่ค่อยดีนัก หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จพวกเราก็เลยต่างคนต่างแยกย้ายกันไปขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ สั่งให้ปี้อวี้ช่วยเฉิงฉือเปลี่ยนชุด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าเฉิงฉือไม่ได้กล่าวความจริง
หลังจากที่เฉิงฉือเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงมาใหม่ เรือสำราญได้แล่นออกมาจากเจดีย์เหลยเฟิงแล้ว
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนแปด เป็นเวลาที่พระจันทร์เต็มดวงและสว่างที่สุด พวกเราจึงได้ไปดูพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์อันเลื่องชื่อของทะเลสาบซีหูพอดี”
ฮูหยินหวังที่อยู่ข้างๆ กล่าวเห็นด้วยไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “พระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์นี้ไม่ใช่ว่าจะดูเมื่อไรก็ดูได้ โดยปกติแล้วเทศกาลเช่น เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง วันสารทจีน และวันที่สิบห้าเดือนแปด ทางการถึงจะจุดตะเกียงในเจดีย์ที่อยู่กลางน้ำ ปิดปากโพลงด้วยกระดาษบาง ให้ช่องโพลงนั้นสะท้อนแสงลงบนผิวน้ำ เกิดเป็นภาพทิวทัศน์ของพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่มาเมืองหังโจวหลายครั้งหลายหนแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ชมพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ ฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงก็ได้ดูแล้ว พวกเราเองก็ได้อาศัยวาสนาของฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางเดินออกจากห้องโดยสาร
เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิททั้งหมดแล้ว ตะเกียงของเรือสำราญช่วยให้มองเห็นผิวน้ำได้ชัดแจ๋ว ทั้งสองริมฝั่งก็มีคนปล่อยโคมไฟ ชวนให้เด็กๆ ได้มองดูความครึกครื้น เสียงหัวเราะดังๆ ดับๆ ลอยไปตามผิวน้ำ
เฉิงฉือเชิญให้ฮูหยินหวังเล่าประวัติของพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง ส่วนตัวเองกลับถอยออกมาสองสามก้าว ยืนอยู่ด้านหลังของพวกนาง
โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกประหลาดอย่างช่วยไม่ได้ มองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียด
ก็เห็นเรือสำราญหลังคาสีเขียวหน้าต่างสีแดงใหม่ลำหนึ่งแล่นมาจากที่ๆ ไม่ไกลจากพวกนางไปทางทิศตะวันออก ภายในหน้าต่างกระจกใสนั้น มีคนรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกับอ้วนท้วมอีกผู้หนึ่งกำลังนั่งหันหน้าเข้ากันและดื่มกันอยู่
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หันกลับไปชำเลืองมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือก็กำลังหันมามองนางพอดี
สายตาของทั้งสองสบประสานกันพอดีกลางอากาศ
สีหน้าของเฉิงฉือดูใจดี หันมายิ้มให้นางพลางพยักหน้าน้อยๆ
โจวเสาจิ่นกลับหน้าแดงเถือกขึ้นมาเสมือนกับคนสอดรู้สอดเห็นที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ก้มหน้าลงแล้วหมุนกายกลับไป
เฉิงฉืออดยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากไม่ได้
ตอนเห็นโจวเสาจิ่นที่วัดหลิงอิ่นนั้น เขาตกใจมากจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้กลับดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ไม่ปาน ไม่เพียงแสร้งทำเป็นไม่คยรู้จักเขาเท่านั้น ยังหันไปเรียกสตรีขายผลหลี่เพื่อซื้อผลหลี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น
เซียวเจิ้นไห่!
อยู่ที่กวนวั่ยอวดดีจนเคยตัว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน