โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ อดประหลาดใจไม่ได้
ฉินจื่อผิงกลับยากที่จะปกปิดความยินดีเอาไว้ได้ กล่าวเสียงดังด้วยใบหน้ายินดีว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านสี่ ข่าวดี ข่าวดีขอรับ! นายท่านใหญ่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการ และที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งเหวินหวาขอรับ!”
“จริงหรือ!” ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคยประสบกับเรื่องต่างๆ มาไม่รู้กี่เรื่อง ทว่าเมื่อได้ยินข่าวคราวนี้ก็ยังคงตกใจไปครั้งใหญ่ ถามขึ้นอย่างเก็บอาการไม่อยู่ว่า “เป็นเรื่องจริงหรือ เจ้าได้ยินใครพูดมา”
ฉินจื่อผิงยกกระดาษในมือขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ส่งมาจากจินหลิงขอรับฮูหยินผู้เฒ่า ที่เมืองจินหลิงต่างทราบข่าวกันหมดแล้ว ท่านผู้นำตระกูลจวนรองได้เปิดหอบรรพชนทำการกราบไหว้เรียบร้อยแล้วขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “เขาช่างแสดงละครเก่งยิ่งนัก บุตรชายของข้ายังติดตามข้าอยู่ที่เมืองหังโจว เขามีสิทธิ์อะไรไปออกหน้า!”
ฉินจื่อผิงไม่กล้าตอบถ้อยคำนี้
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านจะโมโหเขาด้วยเรื่องนี้ไปเพื่ออันใด ในสายตาของผู้อื่น พวกเราถือเป็นครอบครัวเดียวกัน วันนี้พี่ชายใหญ่ได้รับการแต่งตั้งเข้าไปในสภา เขานำคนในตระกูลไปกราบไหว้เพื่อบอกกล่าวบรรพบุรุษก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร ไม่ว่าอย่างไร คนที่ได้รับการเชิดหน้าชูตาก็คือจวนหลักของพวกเรา ต่อให้เขาจะทำเรื่องไม่สำคัญพวกนี้อีกเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ ต่อไปยังมีเรื่องน่าสนุกของจวนรองให้ดูอีกขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้สงบลงมา
เฉิงฉือเหลือบมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
เฉิงจิงได้รับการแต่งตั้งเข้าไปในสภาก่อนกำหนด ก็ถือได้ว่าชะตาของตระกูลเฉิงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปแล้วใช่หรือไม่
ต่อไปนางเพียงแค่ต้องทำให้ท่านน้าฉือไว้วางใจนาง หรือไม่ก็ให้คำพูดของนางมีน้ำหนักต่อหน้าเฉิงฉือ หรือไม่ก็นำเอาคำพูดของนางไปบอกเฉิงจิง ตระกูลเฉิงก็จะหลีกพ้นจากชะตาที่จะถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างตระกูลได้ นางเองก็จะได้ช่วยจวนสี่ให้รอดพ้นจากหายนะ ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่นางได้มาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว!
โจวเสาจิ่นพนมมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วหันไปทางทิศตะวันตกพลางสวดคำว่า “อมิตาภพุทธ”
เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
เห็นได้ชัดว่า ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เด็กผู้นี้ดีใจมากเช่นกัน
พี่ชายใหญ่ได้รับแต่งตั้งเข้าไปในสภาอย่างราบรื่นในครั้งนี้ ถือว่าเด็กผู้นี้ช่วยเหลือเอาไว้ไม่น้อย
ถึงแม้พวกเขากังวลว่าเซินหมิ่นจือจะช่วยพูดให้หวงหลี่ แต่ตระกูลหยวนกับตระกูลเฉิงร่วมทุกข์และสุขด้วยกันมาตลอด โอกาสเช่นนี้มีน้อยยิ่งนัก นอกจากนี้การที่เฉิงจิงได้เข้าสภามีแต่ผลดีต่อหยวนเหวยชางไม่มีผลเสียเลย พวกเขาคิดว่าต่อให้ตระกูลหยวนจะไม่ช่วยตระกูลเฉิง แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ก็น่าจะทำเป็นเงียบๆ เอาไว้ คิดไม่ถึงว่าหยวนเหวยชางกลับตั้งหน้าตั้งตาอยากจะตอบแทนเซินหมิ่นจือ ยอมให้หวงหลี่ขึ้นดำรงตำแหน่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่านางไปได้ข้อมูลมาจากที่ใด
หากเป็นโจวเจิ้น บุญคุณครั้งนี้จวนหลักของพวกเขาย่อมต้องตอบแทนอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นผู้อื่น…เช่นนั้นก็ให้เด็กผู้นี้ไปตอบแทนน้ำใจแทนก็แล้วกัน!
เนื่องจากได้รับข่าวดีอย่างกะทันหัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจยิ่งนัก จึงตกรางวัลให้บ่าวรับใช้ข้างกายทุกคน รวมถึงฮูหยินหวังด้วย ทุกคนต่างได้รับลิ่มทองคนละสองก้อน
ฮูหยินหวังดีใจยิ่งนัก กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ลิ่มทองสองก้อนนี้ข้าจะเก็บรักษาเอาไว้ รอให้หลานชายของข้าไปสอบขุนนาง ข้าจะใส่ไว้ในหีบตำราติดตัวไปสอบเป็นเครื่องนำโชค”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม หยิบลิ่มทองสองก้อนที่ตนได้รับจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกมา กล่าวขึ้นว่า “หากท่านไม่รังเกียจ ถือเสียว่าข้าอาศัยของขวัญของฮูหยินผู้เฒ่า มอบเป็นของขวัญให้หลานชายของท่าน”
ฮูหยินหวังดีใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ถือโอกาสนี้ชวนโจวเสาจิ่นคุย “…ตระกูลของคุณหนูรองก็เป็นขุนนางหรือเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นจะมีกิริยามารยาทงดงามเช่นนี้ได้อย่างไร”
อาจเป็นเพราะอาศัยอยู่ในตระกูลเฉิงมานาน โจวเสาจิ่นจึงไม่เคยรู้สึกว่าตระกูลของตัวเองมีอะไรให้น่าอัศจรรย์ใจ
ชุนหว่านที่ยกของว่างเข้ามากลับกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านของพวกข้าเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง และเจ้าเมืองขั้นสี่ ได้ยินนายหญิงผู้เฒ่ากล่าวว่า นายท่านของพวกข้าไม่ช้าก็เร็วจะได้ไปเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ท่านเคยได้ยินตระกูลเลี่ยวของเจิ้นเจียงมาก่อนหรือไม่เจ้าคะ บุตรเขยคนโตของพวกข้าก็คือหลานชายคนโตจากจวนหลักของตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง นั่นก็เป็นตระกูลขุนนางที่สืบทอดต่อกันมาเช่นกัน…”
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยชอบที่ชุนหว่านไปพูดเรื่องภายในครอบครัวกับคนที่ไม่สนิทเช่นนี้ เรียกชื่อ “ชุนหว่าน” ยิ้มๆ ครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่างพูดมากเสียจริง! ยังไม่รีบไปยกน้ำชาเข้ามาอีก พวกข้าคุยกันมาครึ่งค่อนวันจนคอแห้งไปหมดแล้ว!”
ชุนหว่านหัวเราะอย่างขัดเขิน แล้วรีบไปยกน้ำชามาให้ทั้งสอง
โจวเสาจิ่นจึงถามฮูหยินหวังว่ามาหานางด้วยธุระอะไร
ฮูหยินหวังเพียงเห็นว่าโจวเสาจิ่นอยู่คนเดียว จึงอยากมาทำความรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยด้วยเท่านั้น ไหนเลยจะมีธุระอะไรได้ แต่เมื่อโจวเสาจิ่นถามขึ้นมาแล้ว นางเองก็ไม่อาจบอกไปตามตรงได้ พยายามขบคิดครู่หนึ่ง ถึงได้กล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองต้องกลับเมืองจินหลิงภายในไม่กี่วันนี้แล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ หลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าตั้งใจไปเขาเทียนมู่มาครั้งหนึ่ง ช่วยคุณหนูรองซื้อดอกเบญจมาศสีหมึกหนึ่งกระถาง ดอกกล้วยไม้สีเขียวต้าอีผิ่นหนึ่งกระถาง และดอกซานฉาหกแฉกสีแดงอีกหนึ่งกระถาง ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับดอกซานฉากลีบสิบแปดชั้น ทว่าก็พบเห็นได้ยากยิ่งนัก เพียงแต่ว่าอาจารย์เหมียวห้าเลี้ยงดอกไม้เหล่านี้ไว้ในเรือนเพาะชำมาโดยตลอด หลงจู๊ใหญ่เกรงว่าหากย้ายเข้ามาปลูกทันทีทันใด ดินและน้ำไม่เหมาะสมจะปลูกได้ไม่ดีนัก จึงให้อาจารย์เหมียวห้าย้ายออกมาข้างนอกก่อน รอให้ดอกไม้เหล่านั้นแข็งแรงขึ้นสักหน่อยแล้วค่อยส่งมาที่นี่…ไม่รู้ว่าจะทันเวลาหรือไม่”
โจวเสาจิ่นแอบทึ่งในความเก่งกาจของหลงจู๊ใหญ่ผู้นี้ เพียงแต่ว่าตอนอยู่ที่บ้านสวนต้าชิ่งนางก็เคยปลูกต้นไม้ดอกไม้มาก่อน ถึงแม้ว่าดอกไม้ดังกล่าวนี้จะเป็นพันธุ์ไม้มีชื่อ แต่นางล้วนเคยเห็นมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะดอกกล้วยไม้สีเขียวต้าอีผิ่นนั้นเป็นพันธุ์ไม้มีชื่อที่คนรักกล้วยไม้จะต้องลองหามาปลูก หากนางอยากจะเริ่มต้นปลูกดอกไม้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจปลูกไม่สำเร็จก็เป็นได้
“กำหนดการได้ถูกกำหนดออกมาแล้วจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “คงได้แต่ขอให้ท่านช่วยกล่าวขอบคุณหลงจู๊ใหญ่แทนข้าด้วย หากมีโอกาสได้มาหังโจวอีกในภายภาคหน้าค่อยรบกวนเขาช่วยหาดอกไม้ดีๆ มาให้ข้าก็แล้วกัน”
ฮูหยินหวังเองก็ได้แต่กล่าวเช่นนี้เช่นกัน
เนื่องจากได้ดอกไม้มาแล้ว พวกเขาจึงเพียงทำตามคำสั่งจากเบื้องบนเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าดอกไม้นี้จะอยู่หรือตายนั้น ในเมื่อความปรารถนาดีของพวกเขาได้ส่งไปถึงแล้ว นั่นจึงไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน