เพียงเพราะอยากคุยกับเขาเท่านั้นอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือเผยรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
กล่าวปลอบโยนนางว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะให้คนจับตาดูหอซื่ออี๋เอาไว้ หากมีคนเข้าออกที่นั่นบ่อยๆ ข้าจะให้พวกเขามาบอกเจ้า ดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า พลางพยักหน้าหงึกๆ
ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือรู้สึกว่าเวลาที่นางยิ้มเช่นนี้ช่างงดงามนัก ทำให้เขามองแล้วพลอยอารมณ์ดีขึ้นมาตามไปด้วย
หากเขาบอกนางเรื่องที่จะพานางไปดูแข่งเรือมังกรที่ทะเลสาบโม่โฉวในวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง นางต้องดีใจมากกว่านี้เป็นแน่กระมัง
ถ้อยคำปริ่มอยู่ตรงริมฝีปากแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะกลืนมันลงไปได้
เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า รออีกสักสองสามวันค่อยบอกนาง อาการดีใจของนางอาจจะมากกว่าตอนนี้ก็เป็นได้!
เนื่องจากเขายังมีข่าวดีอีกหนึ่งเรื่องต้องการจะบอกโจวเสาจิ่น
“พรุ่งนี้เจียซ่านก็จะย้ายไปอยู่เจ่าหยวนแล้ว” เฉิงฉือกล่าวเสียงอบอุ่น “เขาจะต้องเข้ามาคารวะท่านแม่ของข้า พรุ่งนี้ไม่สู้เจ้าไปเล่นกับเฉิงเจียจะดีกว่า แล้วค่อยกลับมาตอนเวลาอาหารเที่ยง”
เฉิงเจียซ่านจะเข้ามากล่าวอำลามารดา ด้วยหลักและเหตุผลแล้วเขาไม่อาจขัดขวางเอาไว้ได้
แต่เขาสือฮุยอยู่ห่างจากเมืองไปสามสิบกว่าหลี่ พรุ่งนี้ตนจะไม่ออกไปไหน จนกว่าเขาจะย้ายออกไป อย่างมากเขาก็คงจะอยู่กินมื้อเที่ยงและดื่มชาสักจอกที่เรือนหานปี้ซาน จากนั้นไม่ว่าอย่างไรช่วงบ่ายก็ต้องมุ่งหน้าเดินทางไปเจ่าหยวนแล้ว
หากเฉิงเจียซ่านกล้าต่อต้านเขาอย่างเปิดเผย เฉิงฉือตัดสินใจว่าจะส่งเฉิงเจียซ่านกลับไปอยู่จิงเฉิง
แล้วก็ถือโอกาสนี้ทำให้เฉิงจิงได้รู้ว่าหยวนซื่อเลี้ยงเฉิงเจียซ่านจนเสียนิสัยไปถึงระดับไหนแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าปีนี้จะสอบผ่านได้รับการอวยยศตำแหน่งหรือไม่นั้น เฉิงฉือมองว่านี่ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
บางครั้งการได้รับตำแหน่งช้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสียเปรียบผู้ที่ได้รับตำแหน่งก่อน การได้ฝึกปรือการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ให้มากขึ้น มีแต่จะเป็นผลดีต่อเฉิงเจียซ่านทั้งเรื่องว่าควรจะเป็นคนอย่างไร กระทำเรื่องต่างๆ อย่างไร รวมทั้งดีต่อเส้นทางการรับราชการของเขาอีกด้วย
นอกจากนี้ หากปีนี้เฉิงเจียซ่านสอบไม่ผ่าน คนจากจวนรองและจวนสามก็จะได้หวั่นกลัวเขาน้อยลง ดึงเวลาให้ล่าช้าไปอีกสักสามปี ไม่แน่ว่าก็จะเป็นผลดีต่อโจวเสาจิ่นมากขึ้นด้วย
ด้วยเหตุนี้เฉิงฉือจึงคิดเพียงส่งเฉิงเจียซ่านไปอ่านตำราที่เจ่าหยวนเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าเฉิงเจียซ่านจะอ่านตำราได้ถึงระดับไหน ผลสอบที่สอบออกมาจะเป็นอย่างไรนั้น ล้วนไม่อยู่ในขอบข่ายความเป็นกังวลใจของเขาทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตะลึงงัน จากนั้นดวงหน้าก็เอิบอาบไปด้วยความรู้สึกยินดีปรีดาอย่างข่มกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
เฉิงฉือมองแล้วก็ยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นนั้น ขอเพียงไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก ก็จะยิ้มกว้างออกมาเสมือนกับดอกทานตะวัน
ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกปวดที่นัยน์ตาขึ้นมาเล็กน้อย
ชาติก่อน เฉิงเจียซ่านรังแกนาง นางผ่านมันมาอย่างไร?
ในห้วงความคิดของเฉิงฉือมีภาพของเด็กสาวตัวผอมบางผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวพระจันทร์เนื้อบาง ซ่อนตัวอยู่บนเตียงด้วยท่าทางสั่นกลัวในบรรยากาศมืดสลัวปรากฏขึ้นมา
ชุดสีขาวสะดุดตาตัวนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
เขาก้าวออกไปอย่างไม่คาดคิด ค่อยๆ ดึงตัวโจวเสาจิ่นมากอด กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ต้องกลัว จะไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น ข้าจะคอยมองดูเจ้าอยู่ตรงนี้!”
ใช้ชีวิตมาสองชาติภพ นอกจากเรื่องที่สวนดอกไม้ในชาติก่อนแล้ว นางก็ยังไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษที่โตเต็มวัยแล้วมากเท่านี้มาก่อน
ด้วยอารามตกใจ ร่างของนางสั่นสะท้านขึ้นโดยสัญชาตญาณ มือเท้าเย็นและแข็งทื่อไปหมด
แต่เพียงไม่นาน ก็มีเสียงอบอุ่นราวแสงแดดของเฉิงฉือดังขึ้นที่ข้างหูของนาง จมูกได้กลิ่นหอมของน้ำหอมดั่งที่ได้ยินมา
นางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจยาวครั้งหนึ่ง ร่างกายสงบลงมา
เป็นท่านน้าฉือ!
เป็นท่านน้าฉือที่กำลังกอดนางอยู่!
ขณะที่โจวเสาจิ่นคิดอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะวางศีรษะแนบกับอกของเขา
ร่างบอบบางของเด็กสาวแนบติดกับเขาอย่างว่าง่าย เส้นผมดำสลวยลื่นอยู่ใต้คางของเขา เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย จึงเห็นได้ว่านางมีใบหน้าแดงปลั่งจนคล้ายจะปริแตก ขนตางอนยาวและหน้าอกที่เริ่มนูนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
เฉิงฉือหน้าแดงเล็กน้อย
เด็กน้อยโตเป็นสาวแล้วจริงๆ มิใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่เขามองเห็นผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว
การกอดนางเอาไว้เช่นนี้นับเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแล้ว!
หัวสมองขบคิดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับรู้สึกแสนเสียดายที่จะปล่อยนางออกจากอ้อมกอดไป
ต่อจากนี้ไปก็ไม่อาจกอดนางได้อีกแล้ว ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย เช่นนั้นเขาขอกอดต่ออีกครู่หนึ่งก็แล้วกัน…
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉิงฉือปล่อยโจวเสาจิ่นออกอย่างนึกเสียดายเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อ้อมกอดของท่านน้าฉือทั้งอบอุ่นและให้ความรู้สึกปลอดภัย อ้อมกอดของท่านแม่ก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกันกระมัง
แต่ปีหน้านางก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ต่อไปคงไม่อาจใกล้ชิดกับท่านน้าฉือเช่นนี้อีก
นอกจากนี้ท่านน้าฉือก็ได้พูดเอาไว้แล้วว่าเขาจะแต่งงานแล้ว
รอให้มีท่านอาสะใภ้คนใหม่แล้ว นางก็ยิ่งต้องอยู่ให้ไกลจากท่านน้าฉือมากขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ขอบตาของนางก็รื้นชื้นขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ จนน้ำตาเกือบจะไหลออกมาจากขอบตา
เฉิงฉือตกตะลึง ทันใดนั้นก็ขยับถอยออกไปสองสามก้าว รีบกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้า…ข้าเพียงเห็นว่า…เห็นเจ้าเติบโตมาตั้งแต่เด็ก เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเจ้า…”
โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้าไม่หยุด
นางทราบดีอยู่แล้ว!
ท่านน้าฉือปฏิบัติกับนางเสมือนนางเป็นญาติแท้ๆ
นางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา
ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจู่ๆ นางถึงร้องไห้ออกมา

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน