ตอนที่ 40 ขอเข้าพบ
จดหมายเยี่ยมสีแดง กำลังโบกสะบัดโอดอ้างที่มาของผู้มาเยือนว่าเป็นจิ้นซื่อลำดับสอง
แต่ทำไมหงเซ่อถึงต้องการมาขอพบจื่อชวนด้วย?
เขาเป็นพี่ชายของฮูหยินใหญ่อี๋จวนรองและเป็นลุงของเฉิงสือ
โจวเสาจิ่นมองไปที่จื่อชวน
จื่อชวนกลับรับจดหมายมาด้วยอาการนิ่งสงบ
หยวนเปี๋ยอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่นกล่าวกับจื่อชวนว่า “ทำไมหงกั๋วเจินถึงรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” จื่อชวนยิ้มพลางยื่นจดหมายให้ชิงเฟิงที่ยื่นอยู่ข้างๆ “รอพบเขาแล้วเดี๋ยวก็รู้เองไม่ใช่หรือ” จากนั้นสั่งการนักพรตเด็กที่มารายงานว่า “หล่างเยว่ แจ้งไปว่าข้าเชิญเขาดื่มชาก็แล้วกัน!”
หล่างเยว่ยิ้มและวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
หยวนเปี๋ยอวิ๋นยืนขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ดื่มชาไปค่อนข้างมาก ข้าต้องไปห้องสุขาสักหน่อย” จากนั้นตะโกนเรียกชิงเฟิง “เจ้านำทางอยู่ข้างหน้าหน่อย ตระกูลเฉิงออกจะใหญ่โตขนาดนี้ ข้ากลัวจะหลงทาง”
คำพูดนี้ทำไมฟังแล้วดูเหมือนกับว่าไม่อยากพบหน้าหงเซ่อ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลหยวนกับตระกูลหงจะไม่ลงรอยกัน?
โจวเสาจิ่นรู้สึกจิตใจว้าวุ่นเล็กน้อย
การที่ตนสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจนั้นเป็นเพราะหยวนเปี๋ยอวิ๋นและคนอื่นๆ เห็นแก่หน้าของจื่อชวนที่ปิดบังว่าเข้าใจและแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่สำหรับหงเซ่อ…เมื่อดูจากท่าทีของหยวนเปี๋ยอวิ๋นแล้ว นางไม่รู้ว่ายามที่หงเซ่อเห็นนางจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ด้วยหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งเป็นต้นมา ก็เกิดความสงสัยต่อสิ่งที่ตนเคยเผชิญมาในชาติก่อน มักจะรู้สึกว่าเรื่องราวในชาติก่อนไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่ตนมองเห็น ชาติก่อนก็เป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว นางไม่อยากทำให้พี่สาวเจ็บปวดใจ ทำให้บิดาต้องเสียใจ และหลอกตัวเองราวกับคนที่ปิดหูแล้วลักขโมยระฆังอีกแล้ว จุดจบของตระกูลเฉิงในชาติก่อน ไม่ว่าจะเป็นตอนนึกถึงเฉิงสือจวนรองหรือว่าเฉิงเจิ้งจวนสาม ล้วนทำให้นางในชาตินี้รู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้เรียบง่ายและไร้พิษสงอย่างที่แสดงออกมาให้เห็น
นางจึงคอยระแวดระวังจวนรองกับจวนสามตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด
และหงเซ่อก็เป็นคนของจวนรอง กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในภูเขาสำหรับเป็นที่พึ่งพิงของจวนรอง
นางจึงอยากจะหลีกเลี่ยง
นอกจากนี้เฉิงสวี่ก็จากไปแล้ว และที่นี่ก็อยู่ห่างจากเรือนซื่ออี๋ไม่ไกล
เพียงแต่ว่าจะกล่าวประโยคนี้กับจื่อชวนอย่างไรดีนะ?
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังกัดริมฝีปากและครุ่นคิดอยู่ในใจนั้น ก็ได้ยินจื่อชวนหัวเราะพลางสั่งการกับชายอายุสามสิบปีผู้มีรูปร่างราวต้นไผ่บางลีบที่ยืนอยู่ด้านนอกของศาลาผู้นั้นว่า “ไหวซาน เจ้านำสาวน้อยผู้นี้กลับไปส่งที! หงกั๋วเจินอาจจะไม่มีเวลาดื่มชาเถี่ยหลัวฮั่น ให้คนชงชาเขียวปี้หลัวชุนมาก็พอ พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องมีคนมาคอยดูแลเตาไฟแล้ว”
ท้ายประโยคนั้น เขากล่าวกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นชะงักงัน
ไหวซานลังเลเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ ถึงได้ก้มศีรษะลงขานตอบ “ขอรับ” จากนั้นกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เชิญตามข้ามาขอรับ!”
โจวเสาจิ่นไม่รู้แล้วว่าควรจะแสดงความรู้สึกของตนออกมาเช่นไรในเวลานี้
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชีวิตนี้ สิ่งที่นางปรารถนาก็เพียงมีสถานที่หลบภัยสักที่ มีบ้านของตัวเองสักหลัง ให้นางไม่ต้องเร่ล่อนอย่างคนไร้บ้านในยามที่มีลมฝนอันเยือกเย็น ไม่ต้องพะว้าพะวงในยามที่มีความทุกข์ใจอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้…แต่การอดทนอดกลั้น การถอยหนี และการเงียบของนางกลับนำมาซึ่งการทรยศหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่า…ในขณะที่นางเข้าใจว่านับจากนี้เป็นต้นไปนางจำต้องเผชิญหน้ากับทุกความง่ายและยากลำบากไปด้วยตนเองตัวคนเดียวนั้น กลับมีคนแปลกหน้าที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนช่วยเหลือนางจากสถานการณ์ที่ยากลำบากเอาไว้อย่างไม่ไหวหวั่นโดยไม่จำเป็นต้องมีคำวิงวอนหรือร้องขอให้ช่วยจากนาง ไม่แม้กระทั่งร้องขอสิ่งตอบแทนจากนาง…ทำให้นางสามารถรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีอันน้อยนิดเอาไว้จากสาธารณชนได้…สำหรับเขา นี่อาจเป็นเพียงการกระทำโดยบังเอิญ หรืออาจจะเป็นเพียงความมีเมตตาหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับนางแล้ว นี่กลับเพียงพอให้รู้สึกอบอุ่นไปถึงขั้วหัวใจ ทำให้นางยากที่จะลืมเลือนได้ ชาติก่อน จริงอยู่ที่ว่าหลินซื่อเซิ่งปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่นั่นก็เป็นเพราะนางใช้สิทธิ์ของภรรยาแลกมา สำหรับนางแล้ว ตระกูลหลินนั้นถือเป็นที่พำนักอาศัยชั่วคราวมากกว่าที่จะเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากวันใดที่สถานการณ์เปลี่ยน นางที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด และก็ไม่มีความรักฉันท์สามีภรรยากับหลินซื่อเซิ่งนั้น ก็อาจจะเป็นคนแรกที่ถูกทอดทิ้งในอนาคต
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง…ด้วยกลัวว่าน้ำตาจะร่วงลงมา…ย่อเข่าลงทำความเคารพครั้งหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นแล้วติดตามคนผู้นั้นที่ถูกเรียกว่า ‘ไหวซาน’ ออกจากศาลามุงหลังคาด้วยจากนี้ไป
ต้นไม้ยังคงเขียวขจีและสายลมยามเช้าก็ยังคงอ่อนโยนดังเดิม แต่ว่าฝีเท้าของนางกลับไม่ได้ร้อนรนและรุนแรงเท่ากับตอนที่รีบเร่งเข้ามาอีกแล้ว
ด้วยเสียงคนตรีที่ดังมาให้ได้ยินอยู่ข้างหู เพียงพริบตาระเบียงหมู่ตันก็อยู่ตรงหน้า เนื่องจากรู้สึกตื้นตันใจที่จื่อชวนให้ความช่วยเหลือนาง ฉะนั้นตอนที่นางกล่าวขอบคุณ ‘ไหวซาน’ นั้นจึงกระทำด้วยความเคารพนบนอบอย่างยิ่ง “ท่านส่งข้าถึงตรงนี้ก็พอ ข้ากลับไปเองได้แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ได้ขอรับ” ไหวซานยอมรับข้อเสนอ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ ดูจนกว่าเจ้าเดินเข้าไปแล้วค่อยจากไป”
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะสังเกตว่าเสียงของเขาแหบยิ่งนัก ราวกับเครื่องดนตรีหูฉินตัวเก่าที่ล้าสมัยแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หรือไม่ก็อาจเป็นเหตุผลทางด้านอารมณ์ นางไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่น่าฟังเลยแม้แต่น้อย
นางกล่าวขอบคุณไหวซานอีกครั้ง หมุนกายเดินไปทางระเบียงหมู่ตัน ขณะที่เดินไปนั้นก็ครุ่นคิดไปด้วยว่า ดูจากท่าทางของไหวซานแล้ว เขาน่าจะเป็นคนติดตามของจื่อชวน ช่างตรงกับคำกล่าวเก่าแก่ประโยคนั้นที่ว่านายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้นอย่างพอดิบพอดี ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นน้ำแข็งที่เยือกเย็น แต่จริงๆ แล้วเขากับจื่อชวนเหมือนกันอย่างยิ่ง ล้วนมีจิตใจดี อ่อนโยน ใจกว้างและคิดถึงผู้อื่น
นางหันศีรษะกลับไป
เป็นไปตามที่คาด ไหวซานยังคงยืนมองนางอยู่ตรงทางเดินตรงนั้น
นางยิ้มให้ไหวซาน จากนั้นเดินเข้าไปที่ระเบียงหมู่ตัน
บนเวทีกำลังแสดงงิ้วเรื่อง ‘ซื่อหลางทั่นหมู่[1]’
เฝ่ยชุ่ยรอนางอย่างกระวนกระวายอยู่ข้างทางเดินที่ตรงไปยังระเบียงหมู่ตัน
เมื่อมองเห็นนาง ก็วิ่งเข้ามาด้วยความโล่งใจ
โจวเสาจิ่นคิด ต่อไปในภายภาคหน้านางยังคงต้องไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน ยังคงต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเฝ่ยชุ่ยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนางมีหลักฐานอยู่ในมือ แทนที่นางจะหักหน้าเฝ่ยชุ่ยโดยการป่าวประกาศให้ทุกคนทราบ ไม่สู้ใช้โอกาสนี้ซื้อใจเฝ่ยชุ่ย ก็จะเป็นการง่ายสำหรับตนยามมีเรื่องต้องทำอะไรที่จวนหลักในภายภาคหน้า
ดังนั้นนางไม่รอให้เฝ่ยชุ่ยเอ่ยปากก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นมาก่อนว่า “พวกเราไปพบฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกันเถอะ! ธุระของคุณชายใหญ่ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ควรต้องไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วสามารถดึงตราประทับชิ้นนั้นออกมาได้หรือไม่เท่านั้น ข้าเองก็ทำสุดความสามารถแล้ว”
นี่แสดงว่าไม่คิดจะสืบสาวหาความต่อแล้ว!
เฝ่ยชุ่ยมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง โน้มเข่าลงกล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า ‘ขอบคุณคุณหนูรองมากเจ้าค่ะ’ จากนั้นกล่าวขึ้นโดยซ่อนนัยที่แท้จริงเอาไว้ว่า “ต้องยกย่องความคิดของคุณหนูรอง ที่ใช้เชือกแดงเกี่ยวตราประทับชิ้นนั้นออกมาได้ ข้ากำลังคิดว่าจะไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมคุณหนูรองอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ!”
ต่างคนต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไรอยู่
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของระเบียงหมู่ตันพร้อมกับเฝ่ยชุ่ย
“เป็นไปได้ว่าคงจะตอบรับ” นางพึมพำกล่าว “เจ้าเติบโตมาภายใต้การดูแลของท่านยาย หากว่ามีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น ท่านยายกับท่านป้าใหญ่จะไม่รู้ถึงความผิดปกตินี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะของเจ้าดูอ่อนแอ ส่วนเฉิงลู่ผู้นั้นจะดีร้ายยังไงก็เติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ ก็ถือได้ว่าเป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง และเฉิงลู่ผู้นั้นก็ยังเป็นลูกโทน ไม่มีอำนาจอะไร หากว่าเขามีใจอยากเข้ารับราชการ ก็ต้องอาศัยพึ่งพาตระกูลเฉิง ต่อให้วันหนึ่งวันใดเขาประสบความสำเร็จขึ้นมา เพื่อรักษาชื่อเสียงเอาไว้ ก็ไม่กล้าข่มเหงรังแกเจ้าได้”
นี่คงเป็นเหตุผลที่ชาติก่อนท่านยายกับท่านป้าใหญ่ยอมรับเรื่องแต่งงานของนางกับเฉิงลู่อย่างง่ายดายเช่นนั้นสินะ
โจวเสาจิ่นทนต่อไปไม่ได้อีก น้ำตาร่วงหล่นลงมาเป็นสาย กล่าวเสียงสะอึกสะอื้นขึ้นว่า “ข้ากับเขาเคยมีความรู้สึกต่อกันเมื่อไหร่กันเจ้าคะ แต่เป็นเพราะทุกคนต่างพูดกันว่าพวกเราเหมาะสมกัน ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ก็บอกว่าเขานั้นดี ข้าคิดว่าพวกผู้ใหญ่เคยลิ้มลองเกลือเคยเดินข้ามสะพานมีประสบการณ์มากกว่าข้ามาก่อน ท้ายที่สุดคงไม่อาจมีอะไรผิดพลาดได้ ถึงได้ทำดีกับเขา…ส่วนของพวกนั้น ก็เป็นตอนที่ผู้ใหญ่ตกลงเรื่องระหว่างพวกข้าแล้วข้าถึงได้รับมา ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพวกพี่ชายอี้เอามาให้ข้า ข้าคิดว่าเป็นของที่พี่ชายเอามาให้ และเมื่อผ่านพิธีที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการแล้ว รับเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ใครจะรู้ว่าเขากลับเอาเรื่องนี้ไปกุเป็นเรื่องราวขึ้นมา”
เพื่ออะไร
ทำไมเฉิงลู่ต้องทำเช่นนี้ด้วย
หากว่าชื่อเสียงของนางเสียหายแล้ว เมื่อเขาแต่งกับนาง ชื่อเสียงของเขาก็จะเสียหายไปด้วยไม่ใช่หรือ นอกจากนี้ หากเขาอยากรับราชการในอนาคต ชื่อเสียงที่ดีต้องมาเป็นลำดับแรก…ไม่ถูก ชาติก่อนสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้แต่งกับตน แต่ไปหมั้นหมายกับอู๋เป่าจางแทน ก็เลยถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฉิง หลังจากที่ถูกขับไล่จากตำแหน่งแล้ว ตระกูลอู๋ก็ถอนหมั้นเขา เขาเดินทางไกลไปยังหนิงโป แต่งกับบุตรสาวผู้หนึ่งของเศรษฐีที่นั่น พึ่งพาตระกูลเยว่จนกลายเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยของแถบนั้น!
ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย
คนที่เฉลียวฉลาดเช่นเขา จะไม่เข้าใจเลยหรือว่าการที่เขาทำเช่นนี้สามารถนำนางไปสู่กับดักแห่งความตายได้
ถ้าหากไม่มีเรื่องกับเฉิงสวี่เรื่องนั้นเกิดขึ้น นางในชาติก่อนจะเป็นอย่างไร
คงจะถูกบิดารับตัวกลับไป จากนั้นก็แต่งออกไปอย่างเงียบๆ แล้วกระมัง!
ณ ขณะนั้นท่านพ่อดำรงยศผิ่นขั้นสี่เจิ้งแล้ว ต่อให้นางแต่งให้กับผู้ที่ด้อยกว่า ก็สามารถรับประกันได้ว่านางจะสามารถมีชีวิตได้อย่างมีเกียรติและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาหาร เสื้อผ้าหรือความเป็นอยู่
โจวเสาจิ่นตัวสั่นเทาไปทีหนึ่ง
ทำไมเมื่อก่อนนางถึงไม่เคยนำเรื่องสองเรื่องนี้มาตรึกตรองร่วมกันมาก่อน
เอาแต่คิดแค่ว่าเฉิงสวี่นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ทว่ากลับไม่เคยคิดเลยว่า ตอนนั้นเฉิงลู่เองก็อยู่ในเหตุการณ์ แต่กลับไม่ช่วยเหลือนาง…ไม่ นางเคยเคลือบแคลงสงสัยมาก่อน แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะเขาเกรงกลัวอำนาจของจวนหลักจึงไม่กล้ากล่าวโทษเฉิงสวี่…หรือว่า นางเพียงกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเอง หาข้ออ้างให้ตัวเองที่ไปให้ความสำคัญกับคนกากเดนเช่นนี้กันแน่
โจวเสาจิ่นเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องราวกับคนหลงทาง
โจวชูจิ่นตกใจกลัวจนน้ำเสียงเปลี่ยน “เสาจิ่นๆ นี่เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว”
เสียงของพี่สาว ทำให้โจวเสาจิ่นสงบลง
นางกอดพี่สาวเอาไว้ ปลอบโยนโจวชูจิ่นว่า “ข้าไม่เป็นไร ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่ยอมให้มีเรื่องเกิดขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นรู้สึกว่า หากคิดจะช่วยเหลือตระกูลเฉิง ต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน
…………………………………………………………………………..
[1] ซื่อหลางทั่นหมู่ เป็นงิ้วตอนที่กล่าวถึงเรื่องราวของคุณชายสี่ตระกูลหยาง ซึ่งเป็นตระกูลที่ออกไปรบทั้งครอบครัวไม่ว่าจะเป็นบุรุษ สตรี คนชราหรือเด็ก เพื่อต่อต้านการรุกรานของชนกลุ่มน้อย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน