ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 43 สะอื้นไห้
อู๋เป่าจางทั้งกังวลและโกรธ จนเกือบจะหยุดหายใจ
คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของโจวเสาจิ่น ทำให้แม้แต่การร้องไห้ของนางก็กลายเป็นเรื่องที่ผิด!
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่านางจะกู้คืนตัวเองกลับมาได้เล็กน้อยจากความตกต่ำที่พานชิงสร้างขึ้นมา แต่กลับถูกโจวเสาจิ่นทำลายจนพังไปอีกครั้ง
เด็กสาวที่มีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ตระกูลใดจะกล้าสู่ขอไปเป็นสะใภ้กัน?
ระหว่างที่กำลังลนลานอยู่นั้นก็เกิดความคิดขึ้นมา มือกุมหน้าผาก ร่างกายอ่อนยวบลง ตัดสินใจว่าจะ ‘เป็นลม’ ล้มพับลงไปเลยก็แล้วกัน
หนึ่งร้องไห้ สองส่งเสียงดังโวยวาย และสามแขวนคอตัวเอง
พานจื๋อนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีอนุ แต่กลับมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เข้ามาพัวพันด้วยไม่น้อย
พานชิงที่เฝ้าสังเกตอู๋เป่าจางมาโดยตลอดนั้นพลันเข้าใจเจตนาของอู๋เป่าจางขึ้นมาในทันที
หากว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อู๋เป่าจางนั้นไม่ใช่เจียงซื่อ นางคงจะทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่งแล้วให้อู๋เป่าจางเสแสร้งแกล้งทำต่อไป แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อู๋เป่าจางคือท่านป้าใหญ่ผู้ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดของนาง หากว่าอู๋เป่าจางเป็นลมล้มพับลงไปในตอนนี้ ในสายตาของคนอื่น ไม่ใช่จะกลายเป็นว่าท่านป้าใหญ่ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างอู๋เป่าจางไปแล้วหรอกหรือ
พานชิงก้าวเท้ายาวจากระยะสามก้าวเหลือสองก้าวแล้วก็เดินไปถึงข้างๆ อู๋เป่าจางอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้อู๋เป่าจางตัวอ่อนจนร่วงลงไปก็จับแขนของอู๋เป่าจางเอาไว้แน่น หันไปส่งสายตาให้เจียงซื่อครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนเรียก ‘กั่วเอ๋อร์’ สาวใช้ข้างกายของเจียงซื่อเสียงร้อนลน กล่าวขึ้นว่า “ยังไม่รีบไปเอาน้ำใส่อ่างมาให้คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋อีก เจ้าไม่เห็นหรือว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ร้องไห้จนสีชาดเลอะไปหมดแล้ว”
เจียงซื่อเองก็เติบโตมาจากครอบครัวขุนนาง แค่จำนวนพี่น้องก็มีแล้วเจ็ดถึงแปดคน เหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยพบเห็นมาก็มากแล้วตั้งแต่เป็นเด็ก แต่ว่าหลังจากที่แต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉิงก็ไม่เคยได้พบเห็นอีก
ตอนที่เห็นพานชิงส่งสายตามาให้นาง นางงุนงงไปครู่หนึ่งถึงได้มีปฏิกิริยาตอบรับออกมา รีบกึ่งดึงกึ่งประคองอู๋เป่าจางให้ตั้งตรงเอาไว้ในทันที
พานชิงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
นางไม่มีแรงพอจะจับอู๋เป่าจางให้ตั้งตรงขึ้นได้จริงๆ!
อู๋เป่าจางรู้สึกจนปัญญา จะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ จะลงก็ลงไม่ได้ ลมหายใจหนึ่งติดอยู่ที่อก ดวงตาทั้งสองข้างกรอกไปมา รู้สึกราวกับว่าจะเป็นลมล้มลงไปจริงๆ
เจียงซื่อโอดครวญอยู่ในใจอย่างเย็นชา หันไปบีบตรงกลางฝ่ามือของอู๋เป่าจางแรงๆ บังคับให้ลมหายใจของอู๋เป่าจางที่ติดอยู่นั้นถูกบีบออกมา
เวลานี้ต่อให้อู๋เป่าจางอยากจะเป็นลมล้มพับลงไปก็ไม่สามารถทำได้
ดวงตาของนางคลอไปด้วยน้ำตาอย่างช่วยไม่ได้ หันไปมองฮูหยินคนที่เพิ่งจะปลอบโยนนางไปเมื่อกี้ผู้นั้นอย่างอ่อนแอ
ฮูหยินผู้นั้นลังเลเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะก้าวออกมานั้น ในห้องโถงกลับมีเสียงที่เจือรอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่าถังซื่อจวนรองดังเข้ามา “ไอ้หยา นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกคนไม่ไปนั่งประจำที่ มายืนทำอะไรกันอยู่ที่นี่”
ทุกคนต่างมองไปตามเสียงนั้น
ก็เห็นหงซื่อผู้ซึ่งเป็นฮูหยินใหญ่อี๋กำลังประคองฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นแม่สามีเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม
เหล่าสตรีในห้องโถงต่างทยอยกันเดินออกไปทักทายฮูหยินผู้เฒ่าถัง
ฮูหยินผู้เฒ่าถังพยักหน้าให้ทุกคนคนแล้วคนเล่า จากนั้นกล่าวกับเจียงซื่อว่า “หลานสะใภ้หลู เจ้าไม่อยู่ช่วยข้ารับแขกที่ลานเปิดโล่ง ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” จากนั้นก็กล่าวขึ้นอีกอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ หลานพาน และหลานรองตระกูลโจว พวกเจ้าสามคนทำอะไรกันอยู่หรือ”
พานชิงไม่ได้พูดอะไร
เจียงซื่ออยู่ที่นี่ด้วย ยังไม่ถึงคราวที่นางจะต้องพูด
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่คนที่ชอบออกตัวก่อน พูดมากก็ผิดพลาดมาก ไม่สู้รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยพูดทีหลัง
มีเพียงอู๋เป่าจางที่สีหน้าเดี๋ยวก็เขียวคล้ำเดี๋ยวก็ซีดขาว
หากว่าไม่มีคนนำความไปแจ้ง คนที่มีสถานะระดับฮูหยินผู้เฒ่าถัง จะเพียงแค่มองก็สามารถจดจำตนเองได้แล้วได้อย่างไร
และฮูหยินผู้เฒ่าถังที่ควรจะอยู่ต้อนรับแขกที่ลานเปิดโล่งจะพาหงซื่อผู้เป็นสะใภ้มาด้วยตัวเองได้อย่างไร
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่บ้าง แต่ก็ไม่ตำหนิโจวเสาจิ่นที่ยั่วยุให้เกิดความหมาดบาง ไม่ตำหนิพานชิงที่รุกรานแขก กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ใช่เป็นเพราะคิดจะให้โอกาสกับโจวเสาจิ่นและพานชิงได้อธิบายหรอกหรือ
ทั้งพานชิงและโจวเสาจิ่นทั้งสองคนต่างก็ไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่าจะอาศัยให้ผู้ใหญ่ช่วยออกหน้าแทนพวกนางหรอกกระมัง
ที่นางเสแสร้งแกล้งทำอยู่นี้กำลังหลอกใครอยู่กันแน่
อู๋เป่าจางถูกโจวเสาจิ่นและพานชิงถากถางครั้งแล้วครั้งเล่า และคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าถังก็เสมือนกับได้บดขยี้ฟางเส้นสุดท้ายของนาง ทำให้นางดาลโทสะ เด้งตัวขึ้นมาอยากจะโต้เถียงกับโจวเสาจิ่นและพานชิง แต่เมื่อนางเห็นอู๋เป่าหวาผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาที่อยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่าถังแล้ว ทันใดนั้นทั้งร่างก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นด้วยความกลัว
เพื่อให้อู๋เป่าหวาได้แสดงตัวต่อหน้าบรรดาฮูหยินทั้งหลายของเมืองจินหลิง ในโอกาสเช่นนี้ อู๋เป่าหวาที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายมารดาเลี้ยงอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่โดยไร้สาเหตุ
ดูแล้วไม่ใช่แค่ฮูหยินผู้เฒ่าถังเท่านั้น มารดาเลี้ยงเองก็รู้แล้วเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่บ้าง
มารดาเลี้ยงนั้นเคยชินกับการแสดงละคร ยามอยู่ต่อหน้าคนของตระกูลเฉิงย่อมไม่พูดอะไรอย่างแน่นอน แต่เมื่อกลับไปแล้วอาจจะเอะอะโวยวายเรื่องอะไรบางอย่างออกมาได้
นางไม่อาจบันดาลโทสะได้
การบันดาลโทสะช่วยแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้
เรื่องนี้เป็นนางที่พลาดไปแล้ว!
นางไม่ควรจะวางใจจนขาดความระมัดระวัง
คิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นที่ดูอ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัยนั้นกลับเป็นคนที่ไม่ควรไปยั่วเย้าด้วยเช่นนี้ ตนกล่าวขอโทษนางไปแล้วก็ยังไม่ยอม ต้องให้นางได้กำจัดความโกรธดังกล่าวทิ้งไปเสียก่อนถึงจะยอมวางมือ
นางยิ้มพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง นายหญิงผู้เฒ่ากำลังตามหาท่านเสียทั่วทุกที่ ท่านรีบตามข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นที่กำลังคิดจะหนีไปอยู่นั้น ก็ยิ้มแล้วเดินไปที่ลานเปิดโล่งก่อนเจียงซื่อและฮูหยินผู้เฒ่าถังไปหนึ่งก้าว
ไม่นานหลังจากนั้นพานชิงก็ถูกเจียงซื่อดึงตัวออกไปด้วย
เหลือเพียงอู๋เป่าจาง อู๋เป่าหวามองนางอย่างเงียบๆ อยู่เช่นนั้น จนกระทั่งนางแสดงสีหน้าอึดอัดออกมาอยู่หลายส่วน และค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยตัวเอง อู๋เป่าหวาจึงกล่าวเสียงเบาขึ้นว่า “ท่านแม่บอกว่า เกรงว่าท่านพ่อและพี่ชายดื่มสุรากลับไปแล้วจะไม่มีคนดูแล ให้พี่สาวล่วงหน้ากลับไปสั่งบ่าวไพร่ที่จวนให้ตุ๋นน้ำแกงช่วยสร่างเมาเอาไว้เจ้าค่ะ”
นี่เป็นการไล่ตนให้กลับจวนไปก่อน!
ในปากของอู๋เป่าจางขมปร่าราวกับมีถุงน้ำดีที่แตกแล้วอยู่อันหนึ่ง
นางมองไปที่ลานเปิดโล่ง รู้สึกราวกับว่ามีหุบเหวลึกสายหนึ่งอยู่ตรงหน้าตนเอง
นี่คือความแตกต่างของลูกที่มีมารดากับลูกที่ไม่มีมารดาอย่างนั้นสินะ?
น้องสาวของตนพูดจากับตนเช่นนี้ แต่นางนั้น แม้แต่จะเคืองโกรธก็ยังทำไม่ได้!
อู๋เป่าจางพยักหน้ารับช้าๆ
นางเองก็ไม่คิดจะกลับไปที่ลานเปิดโล่งอีก
กลับไปทำอะไรที่ลานเปิดโล่งกัน ไปดูว่าคนที่บ้านของโจวเสาจิ่นและพานชิงต่างรักใคร่พวกนางอย่างไรบ้างเช่นนั้นหรือ
อู๋เป่าจางอาศัยอู๋เป่าหวา ‘ติดตาม’ เอาไว้ แล้วออกจากห้องโถงและออกจากตระกูลเฉิงไป
ที่ลานเปิดโล่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “หลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จ ไม่นานจะมีการจุดดอกไม้ไฟ ทั้งมืดและเต็มไปด้วยควัน ง่ายต่อการเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นได้ พวกเจ้าพี่น้องต้องห้ามไปที่ไหน อีกเดี๋ยวก็ติดตามอยู่ข้างๆ ข้า” จากนั้นให้มามาที่เป็นแม่บ้านของจวนรองผู้หนึ่งพาโจวเสาจิ่นไปรวมกลุ่มกับโต๊ะของโจวชูจิ่น
จริงๆ แล้วโจวเสาจิ่นไม่อยากสนใจอู๋เป่าจางกับพานชิงอีก
นางยิ้มพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินตามมามาที่เป็นแม่บ้านผู้นั้นไปอย่างเชื่อฟัง
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับตะโกนเรียกโจวเสาจิ่นเอาไว้ และกล่าวกับมามาที่เป็นแม่บ้านผู้นั้นว่า “จัดโต๊ะใหม่อีกโต๊ะหนึ่งเถอะ! ต่อให้มีที่นั่งมากมาย แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้คุณหนูหลายๆ คนนั่งแออัดอยู่ด้วยกัน”
มามาที่เป็นแม่บ้านผู้นั้นยิ้มอย่างสุภาพพลางเดินไปจัดเตรียมโต๊ะ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง และกล่าวว่า “จริงๆ แล้วนี่เป็นเพราะข้าที่ไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบ เจ้าไม่ตำหนิข้าก็ดีแค่ไหนแล้ว”
…………………………………………………………….

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน