ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็สามารถรับผิดชอบกิจการงานต่างๆ คนเดียวได้แล้ว
โจวเสาจิ่นชื่นชมยินดีอยู่ในใจ คิดอยากจะพาฝานมามากับฝานฉีติดตามอยู่ข้างกายไปชั่วชีวิต แม้กระทั่งหลังจากที่นางออกเรือนไป ก็ยังสามารถแต่งตั้งฝานฉีเป็นพ่อบ้านใหญ่ของนาง ส่วนฝานมามาก็สามารถช่วยนางดูแลกิจการภายในเรือน…แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องเหล่านี้
อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าต้องเร่งฝีเท้า กล่าวขึ้นว่า “ไปกันเถอะ พวกเราเดินไปด้วยพูดคุยไปด้วย”
ที่นี่เป็นอาณาบริเวณของจวนหลัก ใครจะรู้ว่าจะมีคนอยู่หลังกำแพงหรือไม่
ฝานฉีตอบรับว่า ‘ขอรับ’ อย่างดีใจ เดินกลับไปยังเรือนหว่านเซียงพร้อมกับโจวเสาจิ่นอย่างมีความสุข
โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงคอยอยู่นอกห้อง แล้วกระซิบสั่งการกับฝานฉี จากนั้นฝานฉีเดินจากไปอย่างตื่นเต้นดีใจ โจวเสาจิ่นกล่าวกับซือเซียงว่า “คืนนี้พวกเราเข้านอนกันเร็วหน่อย”
ซือเซียงมองดูพระอาทิตย์สีแดงสว่างเจิดจ้าอยู่ข้างนอก ก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวตอบว่าอย่างไรดี
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเรียกชุนหว่านให้เข้ามาโดยไม่สนใจ สั่งให้นางไปบอกที่ห้องครัวว่าจะรับมื้อเย็นเร็วขึ้นสักหน่อย จากนั้นล่วงหน้าไปคาราวะยามเย็นฮูหยินผู้เฒ่ากวน และกล่าวทักทายโจวชูจิ่น เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียงก็รับมื้อเย็นแล้วเข้านอนทันที
ทว่าเข้านอนแต่หัวค่ำเยี่ยงนี้ ซือเซียงกลับนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอยู่นาน ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะงีบหลับอยู่ในภวังค์ แต่กลับถูกชุนหว่านปลุกให้ตื่น “คุณหนูรองกล่าวว่า มีธุระต้องออกไปข้างนอก บอกให้พวกเราตามนางไปด้วย”
ซือเซียงขยี้ตา นานอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะหายงัวเงีย
นางนึกได้ว่าก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นได้สั่งฝานฉีไปทำธุระให้ ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย กระซิบถามชุนหว่านว่า “รู้หรือไม่ว่าจะไปทำเรื่องอะไร”
“ไม่รู้หรอก” ชุนหว่านรีบเก็บมวยผม ในปากยังคาบเชือกผูกสีแดงอยู่เส้นหนึ่ง กล่าวอย่างคลุมเครือไปว่า “คุณหนูรองเพียงบอกให้ข้าสวมเสื้อผ้าสีเข้ม รวบผมขึ้นให้หมด และสวมรองเท้าส้นเตี้ย”
หรือว่าจะไปขัดขวางคุณชายรอง
ความง่วงเหงาหาวนอนของซือเซียงพลันสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในทันใด นางรีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินเข้าไปในห้องของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นสวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวแก่ตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหามาจากที่ไหน พันผ้าคาดเอวสีเดียวกันตรงกลางลำตัวเส้นหนึ่งเหมือนบุรุษ เนื่องจากเสื้อผ้าไม่พอดีกับตัว ผ้าคาดเอวที่พันรอบตัวนางนั้นยิ่งทำให้ร่างกายดูบอบบางราวกับจะแบกรับไม่ไหว
ฝานหลิวซื่อกำลังเปียผมให้นางอยู่
“ท่าน…” ซือเซียงสายตางุนงง
โจวเสาจิ่นกลับไม่สนใจ กล่าวไปตามตรงว่า “เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราต้องไปข้างนอก”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ!” ซือเซียงรีบห้าม “ต่อให้คุณชายรองจะกระทำเรื่องไม่ดี พวกเราควรจะไปแจ้งนายหญิงผู้เฒ่าให้ทราบถึงจะถูก ไปห้ามปรามคุณชายรองด้วยตนเองได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านจะทำให้คุณชายรองวางหน้าไว้ที่ไหน จะทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลเฉิงมองท่านว่าอย่างไร ยังมีคุณหนูใหญ่อีก…”
“ไอ้หยา!” โจวเสาจิ่นแทรกขึ้นอย่างรำคาญ “จะพูดจาเหลวไหลมากมายขนาดนั้นไปทำไม เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ถ้าหากเจ้าจะไปกับข้า ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าไม่อยากไปกับข้า ก็คอยอยู่ในห้องดีๆ อย่ากล่าวอะไรเป็นอันขาด แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้อะไร เจ้าอย่าลืมว่า เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ในห้องของข้า ข้าไม่อยากให้เรื่องขี้ปะติ๋วในห้องของตัวเองกลายเป็นพายุฝนทั่วทั้งเมืองหรอกนะ!”
นี่ยังเป็นคุณหนูรองที่อ่อนแอและไม่มีความคิดเป็นของตนเองผู้นั้นอยู่หรือไม่
ซือเซียงเบิกตากว้างมองไปยังโจวเสาจิ่น ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก
ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางดึงซือเซียงออกไป รอจนกระทั่งพ้นห้องโถงไปจึงเกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงเบา “พวกเราติดตามไปด้วยย่อมดีกว่าปล่อยให้คุณหนูรองไปคนเดียว! เจ้าอย่าลืมว่า คุณหนูรองโตขึ้นแล้ว ต่อจากนี้ไปนางจะมีความคิดแน่วแน่เป็นของตนเองมากยิ่งขึ้น อยากจะอยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูรอง หรือถูกปล่อยตัวไปก่อนกำหนด เจ้าก็ตัดสินใจเองเถอะ เมื่อถึงเวลานั้นประสงค์ดีจะกลับกลายเป็นร้าย นอกจากจะทำให้คุณหนูรองเย็นชาเหินห่างไป ยังจะทำให้คุณหนูใหญ่ไม่พอใจ สุดท้ายแล้วคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองก็เป็นพี่เป็นน้องกัน”
ถ้อยคำของนางเปรียบเหมือนคำเตือนสติ ปลุกซือเซียงให้ตาสว่าง
ตนเองก็อายุครบสิบแปดปีแล้ว ตามกฎเกณฑ์ของจวน ในอีกสองปีข้างหน้าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องหาคู่แต่งงานให้นาง แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูใหญ่ให้ความสำคัญกับคุณหนูรองมาโดยตลอด ถ้าหากเป็นแต่ก่อน คุณหนูรองไม่อาจขัดความคิดเห็นของคุณหนูใหญ่เป็นแน่ แต่ทว่าในตอนนี้…หากว่าคุณหนูรองไม่ชอบใจขึ้นมา และยืนกรานจับตนเองแต่งงานให้ใครแล้วล่ะก็ คุณหนูใหญ่ยังจะยอมฉีกหน้าคุณหนูรองเพื่อตนเองอยู่หรือ
ซือเซียงสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ คว้ามือของฝานหลิวซื่อไว้แน่น “มามา ขอบคุณท่านที่ตักเตือนข้า ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามัดผมเผ้าและตามคุณหนูรองออกไปข้างนอก”
“เช่นนี้ค่อยนับว่าเป็นคนฉลาด!” ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางตบมือของนางเบาๆ กลับเข้าห้องไปช่วยโจวเสาจิ่นแต่งตัว
ทุกคนต่างเกรงกลัวพี่สาวมาแต่ไหนแต่ไร โจวเสาจิ่นจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าซือเซียงจะยอมฟังตนเองหรือไม่ ครั้นเห็นฝานหลิวซื่อเดินกลับเข้ามา ก็เอ่ยถามว่า “ซือเซียงว่าอย่างไร”
ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเจ้าค่ะ และยังบอกอีกว่าจะตามคุณหนูรองไปข้างนอกด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจ
ผ่านไปชั่วครู่ ฝานหลิวซื่อช่วยนางเปียผมจนเสร็จเรียบร้อย ซือเซียงกับชุนหว่านเองต่างก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเช่นกัน
พวกนางทั้งสองสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีกรมท่า โพกศีรษะ และไม่สวมใส่เครื่องประดับใดๆ
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ฝานฉีเดินเข้ามา
เขาสวมชุดต่วนเฮ่อสีน้ำตาล สะพายถุงผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินบนหลัง หยิบของบางอย่างออกจากแขนเสื้อเป็นอย่างแรก “นี่คือกระบอกจุดไฟขอรับ ซื้อมาในราคาสองเหลี่ยงเงิน กล่าวกันว่าเป็นวัตถุระเบิดอะไรสักอย่างของเจียงหนาน เป็นสินค้ามีคุณภาพดีที่สุด หันหน้าเข้าหาลมแล้วเขย่าก็จะสว่างขึ้นมา ยามที่จุดไฟติดแล้วแม้นท่านยืนอยู่ท่ามกลางพายุลมคลั่งสายฝนกระหน่ำก็จะไม่ดับ ตอนที่ข้าอาศัยอยู่แถบชนบทก็เคยได้ยินพวกนักเลงเหล่านั้นคุยโวมาก่อน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ซื้อมาจริงๆ ขอรับ…” จากนั้นก็หยิบของบางอย่างในถุงผ้าออกมาให้โจวเสาจิ่นดู “ข้าเลือกมากับมือขอรับ ทั้งหมดแห้งดี รับรองว่าจุดไฟติดเป็นแน่…”
ซือเซียงได้ยินแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน
คุณหนูรองจะทำอะไรกันหรือ
นางอยากจะถามเสียจริง แต่ทว่าเมื่อหวนนึกถึงถ้อยคำที่ฝานหลิวซื่อเตือนไปเมื่อครู่ ก็ไม่ถามอะไรอีกเลย ตามคุณหนูรองออกไปข้างนอกแต่โดยดี
กลางเดือนแล้ว แม้นดวงจันทร์จะสว่างไสว ทว่ากลับมืดสลัวมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
พวกนางไม่ได้จุดโคมไฟ แต่ย่องตามหลังฝานชีไปอย่างเงียบเชียบ ย่องผ่านเรือนชั้นในอย่างแผ่วเบา ยามที่พบเห็นป้าผู้เป็นบ่าวเฝ้าเวรยามตอนกลางคืน ก็พยายามหลีกเลี่ยงและหลบซ่อน
ซือเซียงยิ่งเดินไปก็ยิ่งหวั่นกลัว
ไม่คาดคิดว่าพวกนางจะเดินผ่านจวนสี่ไปถึงจวนห้า โดยไม่มีผู้ใดจับได้
นางเหลียวมองน้ำในทะเลสาบอันเย็นเฉียบที่สะท้อนเป็นประกายระยิบระยับอยู่ข้างหลัง ในวันที่ร้อนระอุเยี่ยงนี้ มือเท้ากลับเย็นเยียบ
ฝานฉีที่เดินอยู่ข้างหน้ากระซิบเสียงเบาว่า “ถึงแล้วขอรับ” แล้วหันมองรอบๆ ทั่วสี่ทิศอย่างระแวดระวัง
คนของจวนสี่ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับจวนห้าบ่อยนัก ซือเซียงไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน มองเห็นเพียงแต่ต้นไม้ดอกไม้อุดมสมบูรณ์ ช่อพวงเถิงหลัวห้อยย้อยลงมา ตรงกันข้ามคือศาลาริมน้ำที่ครึ่งหนึ่งอยู่บนบกอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในน้ำ ทัศนียภาพสวยงามน่ารื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน