แต่โจวชูจิ่นที่ได้รับเงินส่วนตัวจากหลี่ซื่อมาสองร้อยเหลี่ยงนั้น ก็ปรึกษากับโจวเสาจิ่นเกี่ยวกับเรื่องการส่งของขวัญตอบแทนกลับไป “คงไม่อาจรับเงินของนางมาเปล่า ๆ หรอกกระมัง มันจะดูเหมือนกับว่าพวกเรานั้นตระหนี่ถี่เหนียวอย่างไรอย่างนั้น หากเป็นพวกเครื่องประดับต่าง ๆ ของจินหลิง ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ หรือถ้าเป็นพวกอาหารการกินต่าง ๆ ระยะทางก็อยู่ห่างไกลกันเกินไป กลัวแต่ว่าสิ่งของยังส่งไปไม่ถึงก็เสียอยู่ระหว่างทางไปเสียก่อนแล้ว…”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ทำชุดสำหรับฤดูหนาวให้ท่านพ่อกับมารดาเลี้ยงอีกสักสองสามชุดก็แล้วกันเจ้าค่ะ! ข้าเห็นท่านพ่อชอบมันมาก”
โจวชูจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้แล้วจริงๆ
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นโจวชูจิ่นก็ดี หรือโจวเสาจิ่นก็ดี ต่างก็น้อยครั้งมากที่จะได้ทำชุดให้บุรุษ ชุดสำหรับหลี่ซื่อนั้นไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ชุดสำหรับโจวเจิ้นกลับไม่ค่อยไม่มั่นใจสักเท่าไหร่
โจวเสาจิ่นคิดว่าตระกูลเฉิงนั้นมีโรงตัดเย็บ และฝีมือเย็บปักของตนเองก็ไม่แย่นัก จึงกล่าวขึ้นว่า “เชิญช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่ตัดชุดให้ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนบ่อย ๆ มาให้คำแนะนำสักหน่อยก็น่าจะได้แล้วเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นพยักหน้าเห็นด้วย
โจวเสาจิ่นจึงอยากจะกลับออกไปจากเรือนหานปี้ซานให้เร็วขึ้นหน่อย
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่นางมาคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดไม่ได้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่เรือนหรือเปล่า”
“เปล่าเจ้าค่ะ ๆ” โจวเสาจิ่นยิ้มกล่าว “เมื่อหลายวันก่อนเป็นวันเกิดของท่านพ่อ ข้าทำชุดส่งไปให้สองชุด ได้รับคำชมจากท่านพ่อ มารดาเลี้ยงยังส่งเงินมาให้ข้ากับพี่สาวอีกสองร้อยเหลี่ยงเป็นพิเศษ ข้าก็เลยคิดว่าจะทำชุดสำหรับฤดูหนาวให้ท่านพ่ออีกสักสองชุดเจ้าค่ะ…”
นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าพลางกล่าว “ข้าก็คิดว่ามีเรื่องอะไร ก็แค่อยากจะทำชุดให้พ่อของเจ้าด้วยตัวเองสักสองชุดเท่านั้นหรอกหรือ เช่นนั้นก็ให้คนจากโรงตัดเย็บที่จวนช่วยหาตัวอย่างสักสองสามตัวอย่างมาให้ก็ได้แล้ว จะต้องไปเชิญคนถึงข้างนอกอีกทำไมกัน คนจากข้างนอกไหนเลยจะมีฝีมือดีเท่ากับซือฟูในบ้านได้”
โจวเสาจิ่นทราบดีว่าตระกูลเฉิงนั้นมีโรงตัดเย็บอยู่โรงหนึ่ง ซึ่งจ้างช่างตัดเย็บและช่างปักที่มีฝีมือดีที่สุดของเจียงหนาน แต่พวกเขาจะทำชุดให้กับนายท่านผู้เฒ่า นายท่านและฮูหยินของตระกูลเฉิงจวนหลักและจวนรองเท่านั้น แม้แต่เฉิงเวิ่นก็ยังไม่กล้ารบกวนพวกเขา
อย่างน้อยจวนสี่ก็ไม่เคยไปหาที่โรงตัดเย็บของตระกูลเฉิงให้ทำชุดให้มาก่อน…
นางอดใจเต้นไม่ได้
ช่างตัดเย็บและช่างปักที่ดีที่สุดของเจียงหนาน…กับช่างตัดเย็บและช่างปักทั่วไปจะมีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้างนะ?
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างใคร่ครวญ “เช่นนี้จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”
“มีอะไรไม่เหมาะสมกัน?” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้ม ๆ “หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่พวกเจ้าพี่น้องที่กตัญญูต่อบิดามารดา ตามความเห็นของข้า ก็คงจะให้โรงตัดเย็บทำให้พวกเจ้าไปแล้ว” ขณะที่นางพูดก็ตะโกนเรียกปี้อวี้เข้ามา “เจ้าไปที่โรงตัดเย็บเป็นเพื่อนคุณหนูรองสักหน่อย ดูว่าคุณหนูรองต้องการสอบถามอะไรบ้าง ก็ให้พวกนางบอกคุณหนูรองอย่างเหมาะสมด้วย”
ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าวตอบรับ จากนั้นพาโจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปที่โรงตัดเย็บ
ระหว่างทาง นางก็เล่าเรื่องของโรงตัดเย็บให้โจวเสาจิ่นฟังว่า “มีซือฟูแซ่หูอยู่ผู้หนึ่ง เป็นผู้ดูแลโรงตัดเย็บ เขาจะทำชุดให้กับท่านผู้นำตระกูลเท่านั้น ส่วนชุดของนายท่านหลาย ๆ ท่านนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้ทำให้…ส่วนต้าเหนียงแซ่จางที่โรงปักนั้น อายุเพียงยี่สิบปีกว่า ๆ เท่านั้น เพิ่งจะเข้ามาที่จวนเมื่อปีที่แล้ว กระโปรงจีบหม่าเมี่ยนสีแดงสดลายผีเสื้อท่ามกลางมวลดอกไม้ที่ฮูหยินสวมในงานวันเกิดนั้นก็เป็นนางที่เป็นคนปัก ผีเสื้อนั้น มีชีวิตชีวิตราวกับของจริง ราวกับว่าต้องการจะบินออกมาอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นแล้วก็ยังบอกว่างดงาม ช่วงนี้นางได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าให้ช่วยปักผ้าคลุมเด็กทารกลายเด็กน้อยวิ่งเล่นให้กับคุณหนูรอง…”
กำหนดคลอดของเฉิงเซียวคือเดือนเก้า ทางฝั่งของตระกูลเฉิงจะต้องส่งของขวัญครบรอบสามวัน ของขวัญครบรอบเดือนและของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยวัน ผ้าคลุมเด็กทารกนี้ก็คือของขวัญครบรอบเดือนซึ่งเป็นหนึ่งในของขวัญแสดงความยินดีที่ตระกูลฝั่งมารดาจะต้องส่งไปให้
โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “ทางด้านของพี่สาวเซียวมีข่าวคราวส่งมาหรือไม่”
ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “เมื่อคราวก่อนส่งจดหมายมาบอกว่าทุกอย่างล้วนราบรื่นดี หมอตำแยต่าง ๆ ล้วนเชิญมาถึงที่บ้านแล้ว…”
ทั้งสองคนคุยกันเจื้อยแจ้วจนถึงโรงตัดเย็บ
โรงตัดเย็บของตระกูลเฉิงไม่ใหญ่มากนัก เป็นลานเล็ก ๆ ลานหนึ่งที่มีอาณาบริเวณไม่มากไปกว่าหนึ่งถึงสองหมู่เท่านั้น ทั้งสี่ด้านต่างเป็นห้องข้างที่มีขนาดสามห้องกั้น ในสวนเล็ก ๆ นั้นมีต้นไหวซู่เก่าแก่ขนาดแขนคนโอบรอบอยู่หนึ่งต้น พุ่มของต้นไม้ราวกับร่ม ร่มไม้ช่วยบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้ ดูร่มรื่นเย็นสบายยิ่ง รูปแบบค่อนข้างคล้ายคลึงกับลานบ้านสี่เหลี่ยมจัตุรัสของทางเหนือ
ตอนที่พวกเราเดินเข้าไปนั้น ภายในลานเงียบเชียบ มีสตรีเจ็ดถึงแปดคนกำลังนั่งเย็บปักกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ใต้ต้นไหวซู่เก่าแก่นั้น บนกิ่งไม้แห้งที่ยื่นออกมาของต้นไหวซู่เก่าแก่นั้นยังแขวนเอาไว้ด้วยถุงและตะกร้าเล็ก ๆ สำหรับทำงานเย็บปัก บรรยากาศโดยรอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและนิ่งสงบ
เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา สตรีเหล่านั้นที่กำลังทำงานเย็บปักอยู่นั้นเพียงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองมาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปขยับเข็มและด้ายต่อไป ไม่มีใครออกมาทักทายด้วย
โจวเสาจิ่นและปี้อวี้ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ตรงนั้น
ปี้อวี้มองมาที่โจวเสาจิ่นอย่างขอลุแก่โทษครั้งหนึ่ง กระซิบเสียงเบาว่า “ที่โรงตัดเย็บนี้มีงานมาก อีกทั้งยังเป็นงานที่จุกจิก ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของพวกนางจึงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คุณหนูรองท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ” ขณะที่พูดก็ก้าวออกไปสองสามก้าว เอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “มีคนอยู่หรือไม่ พวกเรามาจากเรือนหานปี้ซาน มีเรื่องอยากขอคำชี้แนะเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้ม
ปี้อวี้ช่างมีมารยาทดีจริง ๆ
ที่โรงตัดเย็บของตระกูลเฉิงนี้เกรงว่าจะไม่ใช่ว่าเพราะมีงานมาก จึงทำให้อารมณ์ไม่ดีหรอกกระมัง?
อย่างไรก็ตาม ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากลองดูสักหน่อยแล้วค่อยกลับไป
มีสตรีอายุประมาณสามสิบปีสวมผ้ากันเปื้อนผู้หนึ่งก้าวอย่างรวดเร็วออกมาจากห้องข้างทางด้านตะวันออก
นางสวมเสื้อผ้าที่สะอาดและเรียบร้อย มีรอยยิ้มที่กระตือรือร้น บนมือยังสวมเอาไว้ด้วยปลอกเงินสวมนิ้วสำหรับเย็บผ้าเอาไว้อันหนึ่ง กล่าวทักทายปี้อวี้อย่างกระตือรือร้นว่า “ที่แท้ก็เป็นแม่นางเองหรอกหรือ! มีคำสั่งอะไรมาจากทางฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่” ขณะที่นางพูด หางตาก็เหลือบมองมาทางโจวเสาจิ่น ในแววตามีความประหลาดใจอยู่อย่างยากที่จะปิดบังเอาไว้ได้
ปี้อวี้ลอบยิ้ม แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และแจ้งถึงเหตุผลที่มาในครั้งนี้
“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูจากจวนสี่” ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเผยความประหลาดใจออกมา มองสำรวจโจวเสาจิ่นไปครั้งหนึ่ง พาโจวเสาจิ่นและปี้อวี้ไปต้อนรับที่ห้องข้างทางด้านตะวันออก เมื่อนำน้ำชาขึ้นโต๊ะแล้ว จึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “แม่นางปี้อวี้นำคุณหนูรองมาหาข้าก็ถูกต้องแล้ว ชุดของนายท่านหลาย ๆ ท่านล้วนเป็นข้าที่กำลังทำอยู่ ไม่ทราบว่าคุณหนูรองต้องการทำชุดแบบใดให้ใต้เท้าโจวหรือ และใช้สำหรับสวมใส่ในช่วงเวลาใด ข้าเองก็ไม่เคยไปที่เมืองหนานชางมาก่อน ฤดูหนาวของที่นั่นจะหนาวเย็นกว่าหรืออบอุ่นกว่าของพวกเราที่นี่…”
ลานเปิดโล่งที่อยู่ทางด้านตะวันตกของห้องข้างตะวันออกมีโต๊ะขนาดใหญ่วางเอาไว้ มีสตรีเจ็ดถึงแปดคนกำลังนั่งล้อมกันอยู่ข้าง ๆ และทำงานเย็บปักไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงใด
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะกลมที่ห้องโถง นางกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่เคยไปที่เมืองหนานชางมาก่อนเช่นกัน จึงไม่รู้ว่าอากาศในฤดูหนาวของที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ข้าคิดว่า ทางด้านท่านพ่อก็คงไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอย่างแน่นอน เป็นเพียงความกตัญญูเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้าเท่านั้น ซือฟูช่วยแนะนำตัวอย่างให้ข้าสักสองสามตัวอย่างก็พอแล้ว”
“คุณหนูรองรอสักครู่!” ขณะที่สตรีผู้นั้นพูดอยู่ ก็หมุนกายหายเข้าไปที่ด้านหลังของฉากกั้นที่อยู่ข้าง ๆ
มีสาวใช้กล่าวอยู่ตรงปากประตูว่า “หวังเหนียงจื่ออยู่หรือไม่”
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่นเดินออกมาจากด้านหลังของฉากกั้น กล่าวขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”
สาวใช้กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “หวังเหนียงจื่อจำข้าไม่ได้แล้วหรือ ข้าคือหงหรุ่ยผู้เป็นสาวใช้ข้างกายของสะใภ้ใหญ่สือจวนรอง สะใภ้ใหญ่ของพวกเราอยากจะเย็บผ้าคลุมให้กับคุณชายน้อยคนโตสักผืน ฮูหยินใหญ่ได้ยินมาว่าต้องการหยกสีดำเพื่อทำเป็นกระดุม แต่ตอนนี้หาไม่เจอ ก็เลยให้ข้ามาดูที่นี่เสียหน่อยว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ”
“รอสักครู่!” สตรีที่ถูกขนานนามว่าหวังเหนียงจื่อกล่าวอย่างไม่อดทน และหมุนกายหายเข้าไปในฉากกั้นอีกครั้ง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน