ในใจของโจวเสาจิ่นหนักอึ้ง บอกไม่ได้ว่าเป็นความรู้สึกอะไร
หม่าฟู่ซานได้ฟังความลับของผู้เป็นนายแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย คิดว่าควรดูก่อนว่าโจวเสาจิ่นจะว่าอย่างไรแล้วเขาค่อยว่าตามนั้นด้วยก็ยังไม่สาย
ชั่วขณะนั้นภายในห้องก็เงียบเชียบ ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ขอทานชราขยับร่างกายอย่างกระวนกระวาย แววตาแวววาวนั้นเดี๋ยวก็ตกอยู่บนร่างของหม่าฟู่ซาน เดี๋ยวก็ตกอยู่กลางห้องโถง เดี๋ยวก็ตกอยู่บนพื้น สีหน้าแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาอยู่หลายส่วน
หม่าฟู่ซานเห็นแล้วก็ใจกระตุก
ตนลืมชายผู้นี้ไปได้อย่างไร
ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดมาจะจริงหรือเท็จ คุณหนูรองก็อายุยังน้อยนัก ตอนนี้ถูกคำพูดของชายผู้นี้ทำให้ตกใจกลัวไปแล้ว เดี๋ยวเมื่อได้สติกลับมาแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือยินดี ซึ่งคงไม่อาจปล่อยให้ชายผู้นี้ได้เห็นเรื่องตลกอยู่ที่นี่หรอกกระมัง?
ขณะที่เขาคิด ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ตามที่เจ้าพูดมานี้ ตระกูลเฉิงและตระกูลจวงทั้งสองตระกูลเคยหมั้นหมายกันมาก่อน แต่ทำไมบรรดาเพื่อนบ้านถึงไม่รู้เรื่อง ข้าว่าเจ้าขาดคนคอยอบรมเสียแล้ว ถึงได้กล้ามาแต่งเรื่องว่านายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวงและฮูหยินจวง…”
“ที่ข้าพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริงขอรับ!” ขอทานชราร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลไปด้วยขึ้นมาในทันที “ในตอนแรกเป็นนายท่านไป่กล่าวว่านายหญิงผู้เฒ่าเป็นท่านป้าของจวนพวกเขา ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่สามารถว่าอะไรได้ ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่จวงนั้นเป็นวิญญาณจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด จึงไม่ชอบใจ ต่อมาอีกทั้งสองตระกูลก็ถอนหมั้นกัน ทั้งยังเป็นตระกูลจวงที่เสนอความต้องการก่อน ตระกูลเฉิงจึงยิ่งไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เรื่องนี้ตระกูลกู้…และนายท่านใหญ่ตระกูลโจวต่างก็ทราบเรื่องดี…เดิมทีแล้วนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวงต้องการให้คุณหนูใหญ่จวงแต่งเข้าตระกูลกู้ ปรากฏว่าตระกูลกู้ไม่มีคุณชายที่อายุเหมาะสมกัน คุณหนูใหญ่จวงถึงได้แต่งให้กับนายท่านใหญ่ตระกูลโจว…” ขณะที่เขาพูด ก็สาบานต่อสวรรค์ “นายท่านผู้เป็นลุงของตระกูลจวงก็ทราบเรื่อง…แรกเริ่มเขาใช้เรื่องนี้ไปขอเอาเงินจากคุณหนูใหญ่ตระกูลจวง ต่อมาเป็นนายท่านใหญ่โจวออกหน้า ให้เงินกับนายท่านผู้เป็นลุงตระกูลจวง เป็นค่าปิดปากนายท่านผู้เป็นลุงตระกูลจวง…”
หม่าฟู่ซานผู้หลักแหลมฟังออกในทันทีถึงนัยยะที่แฝงอยู่ เขากล่าว “เช่นนั้นเจ้าเองก็รับเงินของตระกูลใดเป็นค่าปิดปากหรือ”
“ตะ…ตระกูลเฉิงขอรับ…” ถูกจับได้อย่างกะทันหัน ขอทานชราจึงโพล่งออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ตระกูลเฉิงหรือ
โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้างอย่างตกตะลึง
หม่าฟู่ซานอ้าปากค้างพูดไม่ออก
“เป็นเรื่องจริงขอรับ!” ขอทานชราเห็นว่าไหน ๆ เรื่องราวได้ถูกเปิดเผยแล้ว ต่อให้ตนเองไม่พูด หากคนของตระกูลโจวมีใจอยากรู้จริง ๆ ก็สามารถสืบออกมาได้ จึงพรั่งพรูออกมาราวกับคนที่ล้มอยู่บนเศษแจกันที่แตกแล้ว “ที่ผ่านมาตระกูลเฉิงมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ด้วยเรื่องนี้ทำให้นายท่านไป่ตระกูลเฉิงทุ่มความพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น จนสอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ ต่อมายังทำการค้าขึ้นมาอีก เพียงไม่กี่ปีของการทำงานอย่างหนัก เขาก็ร่ำรวยขึ้นมาเป็นอย่างมาก…เขาไม่ยินยอมให้การมีพูดถึงเรื่องนี้อีก…จึงให้เงินผู้น้อยมาก้อนหนึ่ง ให้ผู้น้อยออกไปจากเมืองจินหลิง ให้ไปทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ…นอกจากขับรถม้าแล้ว ผู้น้อยก็ไม่มีความสามารถอื่น ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ก็ถลุงเงินจนหมด ไม่มีหนทางแล้ว ถึงได้มาขอทานเขากินขอรับ…”
หม่าฟู่ซานเป็นถึงผู้ใด ขณะที่ฟังก็ยิ้มเย็นพลางกล่าว “เป็นเพราะเจ้าไปข่มขู่เฉิงไป่ เฉิงไป่ถึงได้ให้เงินเจ้าไปทำการค้าเสียมากกว่ากระมัง นอกจากนี้ ตระกูลจวงก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีความเมตตา เนื่องจากเจ้าเคยรับใช้นายท่านผู้เฒ่าจวงมาก่อน เมื่อนายท่านผู้เฒ่าจวงเสียชีวิตแล้ว นายท่านของพวกข้าก็ให้ความสำคัญกับฮูหยินจวงมาโดยตลอด ต่อให้ตระกูลจวงไม่เลี้ยงดูเจ้า เพื่อเห็นแก่หน้าของฮูหยินจวง นายท่านของพวกข้าย่อมเลี้ยงดูเจ้า เจ้าจะร่อนเร่อยู่ตามถนน จนกลายมาเป็นขอทานไปได้อย่างไร”
เมื่อถูกผู้อื่นมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ขอทานชราก็ตกใจจนถอดสี ใบหน้าซีดเผือด
หม่าฟู่ซานกลับมีสีหน้าไม่รีบร้อน กล่าวอย่างมีเมตตาว่า “เป็นข้าราชการไกลถึงพันหลี่ก็เพื่อเงินทอง ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า ต้องให้ข้าจับเท้าที่เจ็บของเจ้าก่อนถึงจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาได้ ข้าจะไม่พูดอย่างอื่นกับเจ้าอีกแล้ว รางวัลที่คุณหนูใหญ่ให้มา เจ้าต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง”
เขาในตอนนี้เดี๋ยวก็อากาศปลอดโปร่ง เดี๋ยวก็มีฝนตก เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว ทำให้ขอทานชราเป็นทุกข์จนคิดเรื่องอื่นขึ้นมาไม่ได้อีก เขากอดขาของหม่าฟู่ซานเอาไว้และกล่าวเสียงดังว่า “นายท่านพ่อบ้านใหญ่ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่างขอรับ ๆ! ท่านช่างมีดวงตาหลักแหลมยิ่งนัก ข้าจะบอกทุกอย่างกับท่าน…เดิมทีข้านั้นรับใช้นายท่านผู้เฒ่าจวง ตระกูลของนายท่านผู้เฒ่าจวงค่อย ๆ ตกต่ำลง ชั่วขณะหนึ่งข้าเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา ขโมยภาพเขียนของนายท่านผู้เฒ่าจวงออกไปภาพหนึ่ง ใครจะรู้ว่าจะถูกนายท่านสิบสองของตระกูลกู้พบเห็นเข้า นายท่านผู้เฒ่าจวงก็เลยขับไล่ข้าออกไปด้วยเงินสิบเหลี่ยง ให้ข้ารีบออกไปจากตระกูลจวง…ข้าเคยเป็นพ่อค้าหาบเร่ เคยเป็นคนดูแลม้า เคยเป็นคนขับรถม้า และเป็นคนส่งของให้คนมาก่อน…อีกทั้งไม่มีภรรยาและลูก…ลำบากจนไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แล้วจริง ๆ…ก็เลยคิดจะไปยืมเงินของคุณหนูใหญ่จวงสักสองสามเหลี่ยงเพื่อใช้จ่าย ถ้าไม่ได้ ก็จะไปยืมเงินของนายท่านผู้เป็นลุงของตระกูลจวงสักสองสามเหลี่ยงเพื่อใช้จ่ายก็ได้…ไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่จวงจะเสียชีวิตแล้ว นายท่านใหญ่ไป่ตระกูลเฉิงก็ป่วยเสียชีวิตไปแล้ว ฮูหยินใหญ่ไป่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ของตระกูลเฉิงและตระกูลจวงทั้งสอง ส่วนนายท่านผู้เป็นลุงของตระกูลจวงก็ไม่รู้ว่าหลบหนีเจ้าหนี้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว…เดิมทีข้าอยากจะไปหาคุณหนูใหญ่ตระกูลโจว แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคุณชายใหญ่ลู่ตระกูลเฉิง…”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” แม้แต่คนที่เคยผ่านเรื่องเช่นนี้มาแล้วอย่างหม่าฟู่ซานก็ยังสีหน้าเปลี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “คนที่ให้เงินเจ้าก็คือคุณชายใหญ่ลู่ตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ!” ขอทานชราไม่ได้รับรู้เลยว่าคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ของตนจะทำให้คนอื่นตกใจกันมากขนาดไหน เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูก พลางกล่าว “คุณชายใหญ่ลู่กล่าวว่า หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป จะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของนายท่านใหญ่ไป่ ห้ามไม่ให้ข้าพูดออกไปโดยเด็ดขาด ให้เงินยี่สิบเหลี่ยงกับข้ามาก่อน ต่อมาก็ให้เงินข้าอีกสามสิบเหลี่ยง…เดิมทีข้ายังคิดจะมาขอเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ปรากฏว่าคนจากบ้านที่ข้าเคยช่วยดูแลม้ามาก่อนหลังนั้นตามมาหา ข้าก็เลยไม่กล้าอาศัยอยู่ที่จินหลิงมากนัก…ครั้งนี้หากไม่ใช่ว่าไม่มีหนทางไปแล้วจริง ๆ อีกทั้งยังได้ยินว่าคุณหนูรองดูแลบ่าวรับใช้ที่เคยรับใช้ฮูหยินจวงมาก่อนเหล่านั้นเป็นอย่างดี ข้าก็คงไม่กลับมา…” เขากล่าวถึงตรงนี้ ก็เอ่ยถามหม่าฟู่ซานอย่างกระวนกระวายขึ้นมาว่า “ข้าเช่นนี้ เคยรับใช้นายท่านผู้เฒ่าจวงมาก่อน น่าจะดูน่าเชื่อถือกว่าคนที่เคยรับใช้ฮูหยินจวงมาก่อน เช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นบ่าวผู้จงรักภักดีได้ใช่หรือไม่”
บ่าวผู้จงรักภักดีหรือ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงคนต่ำช้าผู้หนึ่งเท่านั้น!
หม่าฟูซานพูดไม่ออก กล่าวขึ้นพอเป็นพิธีว่า “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น! ให้ข้าไปถามคุณหนูรองก็น่าจะรู้แล้ว”
ขอทานชราดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นอย่างหน้าไม่อายว่า “เช่นนั้น นายท่านพ่อบ้านใหญ่ เงินรางวัลของคุณหนูรองจะได้เมื่อไหร่หรือขอรับ ท่านดูข้า เงินหนึ่งเหรียญทองแดงสามารถหวาดหวั่นวีรบุรุษได้ ท่านให้ข้ายืมเงินสักสองสามเหรียญทองแดงก่อนได้หรือไม่ รอให้ได้เงินรางวัลจากคุณหนูรองแล้ว ข้าจะคืนให้ท่าน…”
“เอาล่ะๆ” ขณะที่หม่าฟู่ซานกำลังพูด ก็เห็นซือเซียงออกมาจากด้านหลังของห้องโถงกลาง ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา
เขาเหลือบมองอย่างรีบเร่งครั้งหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามขอทานผู้นั้นว่า “คำพูดที่เจ้ากล่าวมานี้ ต้องมีคนเป็นพยานได้ ที่เจ้าบอกว่าตระกูลกู้ก็ทราบเรื่องนั้น ยังมีใครในตระกูลกู้ทราบอีกบ้าง แล้วที่ว่าคุณชายใหญ่ลู่ให้เงินเจ้านั้น มีใครเป็นพยานได้บ้าง”
ขอทานผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสิบสองของตระกูลกู้…ได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ยังมีใครในตระกูลกู้ทราบเรื่องอีกบ้างนั้น…ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก…อย่างไรก็ตามนายท่านใหญ่ของตระกูลโจวน่าจะทราบเรื่องดี…ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่ลู่ให้เงินข้านั้น เขาไม่ได้เป็นคนให้ข้าด้วยตัวเอง เป็นคนข้างกายของเขาที่แซ่จ้าวผู้หนึ่งเป็นคนให้ข้าขอรับ…”
แซ่จ้าวหรือ
จ้าวต้าไห่!
ปลายนิ้วของโจวเสาจิ่นสั่นเทา
จ้าวต้าไห่คือคนติดตามของเฉิงลู่
คือคนที่เฉิงลู่ไว้วางใจมากที่สุด
ของส่วนใหญ่ที่เฉิงลู่มอบให้นาง ก็ล้วนมาถึงมือของนางโดยผ่านจ้าวต้าไห่
ไม่ต้องไปหาหลักฐานเพิ่มอีก โจวเสาจิ่นก็มั่นใจแน่แล้ว ว่าคนที่ให้เงินปิดปากขอทานผู้นี้ ก็คือเฉิงลู่
เห็นได้ชัดว่าเฉิงลู่ทราบเรื่องพิพาทของสองตระกูลดี แล้วเหตุใดยังต้องการขอนางแต่งงานอีก ไม่ใช่สิ เฉิงลู่ไม่ได้ขอนางแต่งงาน เขาขออู๋เป่าจางแต่งงานต่างหาก! เขาเพียงทำให้ท่านยาย ทำให้ท่านป้าใหญ่คิดว่า เขาปรารถนาในตัวเอง เขาอยากแต่งงานกับนางก็เท่านั้น…
โจวเสาจิ่นตัวเย็นไปทั้งร่าง
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน