มีปิ่นปักผมทั้งหมดอยู่แปดชิ้น ทั้งหมดล้วนทำจากทองและหยก สองคู่แรกเป็นหยกมันแพะ สลักเป็นรูปเมฆมงคล สองคู่ต่อมาเป็นหยกเหอเถียนขาวขุ่น สลักเป็นรูปน้ำเต้าสันติสุข อีกสองคู่ต่อมาเป็นหยกมรกต สลักเป็นรูปดาวหม้อน้ำ ส่วนอีกสองคู่ที่เหลือเป็นหยกโมรา สลักเป็นรูปดอกอวี้หลัน หยกมันแพะนั้นไร้ที่ติ หยกเหอเถียนขาวขุ่นก็ชุ่มชื้นและเรียบเนียน หยกมรกตก็เป็นสีเขียวแวววาว ส่วนหยกโมราก็สว่างไสวงดงาม ไม่มีชิ้นไหนที่ไม่ใช่ของชั้นดี
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสูดลมเย็นเข้าไปลมหายใจหนึ่ง พลางกล่าว “ช่างเป็นของดีเสียจริง!”
โจวเสาจิ่นพลันนึกถึงหลี่จิ้งขึ้นมา
นางอดไม่ได้ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าท่านป้าใหญ่เหมี่ยนจะสร้างความโปรดปรานด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อยโดยการยืมดอกไม้ของผู้อื่นมาถวายพระเสียแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่เข้าใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
โจวเสาจิ่นจึงชี้ไปยังทิศทางที่จวนสามตั้งอยู่ พลางกล่าว “ช่างตัดชุดผู้นั้นไม่ได้กล่าวเอาไว้แล้วหรือเจ้าคะว่า หลานชายของนายหญิงผู้เฒ่ามาเยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่า แค่ของขวัญต่างๆ ก็มีแล้วกว่าหลายคันรถ…”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าเด็กฉลาดผู้นี้ คนอื่นเพียงพูดไปประโยคเดียวกลับเอามาเก็บไว้ในใจแล้ว”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนปิดฝากล่อง กล่าวขึ้นว่า “เก็บเอาไว้เถอะ! ไม่ว่าอย่างไร ล้วนเป็นของดี ต่อไปใช้ทำเป็นสินเจ้าสาวได้”
หน้าของทั้งสองคนแดงเรื่อพลางรับกล่องมา
กระทั่งตอนเย็น ชุ่ยหวนนำความมาส่งให้โจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินใหญ่ของพวกข้าอนุญาตให้คุณหนูใหญ่ไปร่วมเทศกาลวันสารทจีนที่จวนเหลียงกั๋วกงแล้วเจ้าค่ะ เสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ ล้วนจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คุณหนูของข้ากล่าวว่า ถึงเวลานางจะมาพบท่านกับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ในวันรุ่งเช้าของวันสารทจีนจึงตื่นขึ้นมาทำการบูชาบรรพชน จากนั้นพวกนางก็รอเฉิงเจียอยู่ในห้อง
ทว่ารอตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉิงเจีย โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นว่า “คงไม่ใช่ว่าเปลี่ยนใจไม่ให้ไปแล้วหรอกนะ?”
โจวเสาจิ่นให้หว่านเซียงไปดูสักหน่อย
หว่านเซียงกลับมารายงานว่า “คุณหนูเจียไปกล่าวอำลานายหญิงผู้เฒ่า ประจวบเหมาะกับที่คุณชายน้อยจากตระกูลเดิมของนายหญิงผู้เฒ่าก็มากล่าวอำลานายหญิงผู้เฒ่าด้วยเช่นเดียวกัน ชุ่ยหวนกล่าวว่า คุณหนูเจียคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ข้องเกี่ยวกับนาง ก็เลยไม่ได้ให้คนมาส่งข่าวให้ท่านทราบ แต่ใครจะรู้ว่านายหญิงผู้เฒ่าไม่ได้พบคนจากตระกูลเดิมมาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว จึงดึงมือของคุณชายน้อยเอาไว้และพูดคุยไม่หยุด จะให้นางเดินออกมาเลยเช่นนี้ก็ไม่ดีนัก จึงให้ท่านกับคุณหนูใหญ่รอนางอีกครู่หนึ่ง นางจะรีบมาให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ”
“คุณชายน้อยหรือ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้น “หลี่จิ้งหรือ”
“ไม่ทราบว่าชื่ออะไรเจ้าค่ะ” หว่านเซียงกล่าว “ทว่าแซ่หลี่แน่นอน คนที่ติดตามมาด้วยต่างก็เรียกเขาว่า ‘คุณชายใหญ่’ เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นทิ้งตัวล้มลงบนเตียงอย่างยินดีเป็นที่สุด จนเสื้อผ้ายับยู่ยี่ และเครื่องประดับก็หลุดลุ่ย
นางวางแผนอยู่ในใจว่าอยากให้เฉิงเจียกับหลี่จิ้งได้พบหน้ากัน ถึงกับให้คนไปสืบว่าหลี่จิ้งพักอยู่ที่ไหน ทว่าเฉิงเจียกับหลี่จิ้งกลับได้เจอกันอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้แล้ว
ถึงแม้จะเป็นตอนที่กล่าวอำลาก็ตาม
หากพวกเขามีวาสนาต่อกัน อย่างไรก็ยังจะได้พบหน้ากันอีก
ก็ถือว่าตนเองได้แก้ไขรอยรั่วนี้ให้กลับมาเป็นดังเดิมได้แล้ว
โจวเสาจิ่นท่องอมิตาภพุทธอยู่ในใจ
โจวชูจิ่นเข้ามาจับนางเอาไว้ “รีบลุกขึ้นมาเถอะ ใกล้จะออกเดินทางแล้ว เจ้าดูท่าทางเจ้าสิว่าเหมือนกับอะไร”
ก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในอกนั้นหลุดออกไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็ผ่อนคลายราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง ท่าทางจึงเปลี่ยนเป็นเกียจคร้านขึ้นมา
นางอาศัยแรงของพี่สาวยันตัวลุกขึ้นมา ถอดเสื้อผ้าออกมาให้หว่านเซียงรีดให้ใหม่ ทว่ากลับมีภาพของเฉิงฉือที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าฝ้ายสีขาวพระจันทร์ตัวบางวาบผ่านมาเข้าในหัว
ท่านน้าฉือคงไม่ต้องมาคอยระมัดระวังว่าเสื้อผ้าจะยับยู่ยี่หรือไม่อยู่ตลอดเวลาเหมือนนางอย่างแน่นอน และก็คงไม่ต้องรีดเสื้อผ้าบ่อยๆ เหมือนนางด้วย
***
ในวันนั้นพวกนางลอยโคมลอยน้ำอยู่ข้างๆ ทะเลสาบโม่โฉว
แสงจันทร์สะท้อนอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบ โคมลอยน้ำที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบราวกับดวงดารา ทำให้ทะเลสาบโม่โฉวกลายเป็นดังทางช้างเผือก
เฉิงเจียกับอาจูได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค ทั้งสองคนก็กลายเป็นดังสหายสนิทไม่มีความลับต่อกัน กล่าวคือ พวกนางจูงมือกันไปลอยโคมลอยน้ำด้วยกัน กระซิบกระซาบกันที่ข้างหู เย้าแหย่โจวเสาจิ่นอย่างสนุกสนาน คนนั้นให้หนึ่งเหรียญทองแดงคนนี้ให้หนึ่งเหรียญทองแดงแก่ขอทานที่อยู่ข้างทาง คนหนึ่งทำหน้าบูดบึ้งส่วนอีกคนก็หัวเราะร่าเล่นหยอกล้อกับเด็กๆ ที่เป็นลูกของหญิงสาววัยกลางคน…โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวและคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้กลับกลายเป็นดังฉากหลัง โชคดีที่ทั้งสามคนต่างก็มีนิสัยสงบเสงี่ยม เห็นพวกนางเล่นตึงตัง และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน ก็รู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมากไปด้วย
ทว่าคนจากจวนเหลียงกั๋วกงกลับไม่คิดเช่นนั้น
กงมามาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากซ้ำๆ พลางกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “คุณหนูเฉิงช่างเป็นคนที่กระโดดโลดโผนยิ่งนัก…”
โจวชูจิ่นมักจะคอยปกป้องคนจากตระกูลของตัวเองยามอยู่ต่อหน้าคนนอก จึงทำเสมือนกับว่าฟังไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำพูดนั้น ยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยนพลางกล่าว “น้องสาวของข้าผู้นี้เป็นคนที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวา ไม่เพียงในบรรดาพี่สาวน้องสาวของพวกเราเท่านั้นที่ชื่นชอบนาง นางยังเป็นดังสมบัติล้ำค่าในอุ้งมือของผู้อาวุโสในบ้านด้วย นอกจากนี้นางยังเป็นคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยผู้หนึ่ง หากมีอะไรดีๆ ที่พี่น้องในบ้านชื่นชอบ ล้วนยินดีให้เอาไปอย่างเต็มใจ จึงได้รับฉายาหนึ่งว่า ‘เมิ่งฉางในร่างสตรี’…นิสัยจึงค่อนข้างกระโดดโลดโผนอยู่บ้างเล็กน้อย”
กงมามาจำต้องปิดปากเสียให้สนิท
ทันใดนั้นก็มีเสียง ปัง หนึ่งดังขึ้น และมีแสงสว่างไสวขึ้นบนท้องฟ้าทางด้านตะวันออก

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน