ตอนที่ 297 แปลกพิลึก
โจวเจ๋อส่งข้อมูลการระดมทุนเข้าไปในวีแชตของหลินหวั่นชิว หลังจากผ่านไปสิบนาทีกว่าหลินหวั่นชิวจึงตอบกลับมาว่า “รู้แล้วค่ะ” จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก…สามคำง่ายๆ แบบนี้ทำให้เถ้าแก่โจวรู้สึกว่ากาแฟชี้ชะมดในยามเช้าวันนี้ของเขาไม่มีรสชาติของขี้ชะมดเลยสักนิด แทบจะไม่มีรสชาติเลย
“เถ้าแก่เป็นอะไร” อิงอิงถามนักพรตเฒ่าหลังจากตื่นนอน
“เพราะถูกรักจึงไม่รู้จักทะนุถนอม เมื่อไม่ได้จึงกระวนกระวายใจ ตอนนี้พอเปลี่ยนไปจึงไม่ชิน”
“ทำไมพูดจาแปลกๆ” อิงอิงไม่ค่อยเข้าใจ
“เจ้ายังเด็ก รอให้เจ้าโตก่อนแล้วจะเข้าใจ” นักพรตเฒ่าลูบเคราแพะของตัวเองขณะพูด
“เจ้าอายุมากกว่าข้างั้นเหรอ”
“เจ้ายังอ่อนหัด รอให้เจ้าเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ก็จะเข้าใจ”
โจวเจ๋อที่เหม่อมองโทรศัพท์อยู่พบว่าแก้วกาแฟที่อยู่ตรงหน้าสั่นสะเทือนเล็กน้อย เขาเงยหน้าแล้วจึงเห็นอิงอิงกำลังวิ่งไล่ตีนักพรตเฒ่าอย่างบ้าคลั่ง เจ้าลิงร้อง ‘เจี๊ยกๆๆ’ อยู่ข้างๆ แต่เจ้าลิงได้เรียนรู้มาจากนักพรตเฒ่า มันแค่ร้อง แต่ไม่กล้าเข้าไปห้ามผีดิบตัวนี้
“ทะเลาะกันแต่เช้า ทะเลาะอะไรกันนักหนา น่ารำคาญจริงๆ!” สาวน้อยโลลิเดินลงมาข้างล่างโดยไม่หวีผมและยังสวมชุดนอนอยู่
เช้าตรู่ ร้านหนังสือก็เริ่มคึกคักแล้ว เถ้าแก่โจวบิดขี้เกียจ หางตาของเขามองเห็นรถตำรวจคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอกประตูร้านหนังสือ เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
สาวน้อยโลลิสังเกตเห็นว่าโจวเจ๋อเดินออกไป เธอจึงอยากออกไปดูด้วย
“นี่ หน้าก็ไม่ล้าง ฟันก็ไม่แปรง เสื้อผ้าก็ยังไม่เปลี่ยนจะออกไปแบบนี้เหรอ!” ไป๋อิงอิงเดินเข้ามาถาม
“เจ้ายุ่งอะไรด้วย” สาวน้อยโลลิมองผีดิบตัวนี้ขัดตามานานแล้ว
“ที่นี่เป็นร้านหนังสือ เป็นสถานที่ของเถ้าแก่ เจ้าเป็นคนของเถ้าแก่ ออกไปข้างนอกก็คือตัวแทนภาพลักษณ์ของเถ้าแก่เหมือนกัน ดังนั้นเจ้าทะเล่อทะล่าออกไปแบบนี้ ถ้าหากมีคนมาเจอเข้า เถ้าแก่จะขายหน้ามาก!”
“…” สาวน้อยโลลิ
“วันนี้เจ้ากินยาผิดหรือเปล่า ยายผีดิบบ้า!” สาวน้อยโลลิแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นใส่ไป๋อิงอิง แต่ตอนที่เธอหันกลับมา กลับพบว่าโจวเจ๋อเดินขึ้นไปนั่งบนรถตำรวจแล้ว
“เช้าขนาดนี้เขาจะไปไหน”
“ไปสืบคดีมั้ง” ไป๋อิงอิงพูด
“ลับๆ ล่อๆ” สาวน้อยโลลิทำปากจู๋ แล้วพูดว่า “ภาพลักษณ์ของเถ้าแก่หิวแล้ว อยากกินข้าว!”
“ได้ รอเดี๋ยว” ไป๋อิงอิงเห็นว่ารั้งสาวน้อยโลลิสำเร็จแล้ว เธอจึงยอมทำอาหารเช้าให้สาวน้อยโลลิ
สาวน้อยโลลิมองไปข้างนอกอีกครั้ง จากนั้นจึงมองเงาหลังของไป๋อิงอิง สองมือกอดอก แล้วบ่นพึมพำว่า “ผีดิบโง่สักวันโดนคนหลอกไปขายก็ยังไม่รู้ตัว! ไม่อยากให้ข้าไปก็บอกสิ” สาวน้อยโลลินั่งบนโซฟาด้วยความโกรธ ใช้มือข้างหนึ่งยันแก้ม มองเจ้าลิงน้อยที่เล่นสมุดหยินหยางอยู่ตรงนั้นพลิกกลิ้งไปมา
“โจวเจ๋อบ้า ตำแหน่งของข้ายังสู้ไม่ได้แม้แต่ลิงตัวหนึ่งใช่ไหม”
…
“ปาท่องโก๋” จางเยี่ยนเฟิงยื่นปาท่องโก๋หนึ่งชิ้นให้โจวเจ๋อ
“กินข้าวมาแล้วครับ” โจวเจ๋อโบกมือ
จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า เขาขับรถขณะที่กินไปด้วย
“นี่คือรถตำรวจ”
“ทำไมเหรอ”
“คุณเอามาใช้ในเวลาส่วนตัว”
“วันนี้ผมต้องเอาเอกสารไปส่งที่เรือนจำพอดี เป็นทางผ่านครับ” จางเยี่ยนเฟิงเหลือบตามองโจวเจ๋อหนึ่งที “ถ้าหากผมส่งเอกสารเสร็จแล้วคุณยังไม่ออกมา ผมจะไม่รอคุณ คุณก็นั่งรถแท็กซี่กลับเอง”
จางเยี่ยนเฟิงขับรถมาถึงเรือนจำในเวลาเก้าโมง จัดเวลาเยี่ยมนักโทษไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนแยกกันหลังจากที่เข้าไปในเรือนจำ
โจวเจ๋อนั่งรออยู่หลังแผ่นกระจกกั้นเพียงคนเดียว รู้สึกเบื่อเล็กน้อย แต่ที่นี่ดันห้ามสูบบุหรี่ เขารอประมาณสิบห้านาที ก็มีผู้ชายรูปร่างสูงหน้าตอบคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับพัศดี ตอนที่เขาเห็นโจวเจ๋อนั่งรออยู่ข้างนอก เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงหันมามองพัศดีแล้วถามอะไรบางอย่าง หลังจากยืนยันว่าถูกต้องแล้ว เขาจึงนั่งลง หยิบโทรศัพท์แล้วถามโดยตรง “คุณเป็นใคร”
“ผมเป็นเพื่อนของตำรวจจาง ผมต้องการทำความเข้าใจเรื่องราวจากคุณบางส่วน”
“คุณเป็นนักข่าว”
“ผมไม่ใช่ครับ”
“ผมพูดกับคุณแล้ว ผมจะได้ประโยชน์อะไร”
“อาจจะหาวิธีช่วยให้คุณพ้นโทษได้”
“เหอะ” อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ
“ผมอยู่ในคุกมาห้าปีแล้ว เหลืออีกหนึ่งปีก็จะออกไปได้แล้ว ทำไมผมต้องลำบากทำแบบนี้”
“ถ้าพิสูจน์ได้ว่าคุณถูกใส่ความ คุณจะได้รับเงินชดเชย”
“ขอโทษครับ อย่างแรก ผมเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกใส่ร้าย เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ภรรยาของผมกับลูกอีกสองคนของผมได้ตายไปแล้ว นี่เป็นความจริง ผมต้องขอบคุณชีวิตในคุกตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา บางทีถ้าหากผมอยู่ข้างนอกละก็ ผมคงทนรับแรงกดดันไม่ไหวแล้วฆ่าตัวตาย อยู่ที่นี่ ผมเหมือนได้กลับไปสู่ความสงบอีกครั้ง”
โจวเจ๋อหมดคำพูดกับทัศคติของอีกฝ่ายจริงๆ เขาพยักหน้า แล้วลุกขึ้น เพื่อบอกว่าสิ้นสุดการเยี่ยมนักโทษครั้งนี้
“แค่นี้เหรอ” อีกฝ่ายตกใจพอสมควร แต่ก็ยังวางสาย ลุกขึ้นเตรียมเดินกลับเข้าไปพร้อมกับพัศดี
โจวเจ๋อมองเงาหลังของอีกฝ่ายที่ลับตาไปจากประตูบานนั้น จากนั้นรอยยิ้มและใบหน้าที่แสดงความเป็นกันเองแต่เดิมเวลานี้กลับกลายเป็นเย็นชาขึ้นมาช้าๆ
ท่าทีของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ โจวเจ๋อเคยเห็นจากพระที่บำเพ็ญเพียรในสมัยก่อน พวกเขามองความยากลำบากเป็นการฝึกบำเพ็ญเพียรที่พระพุทธองค์มอบให้ตัวเอง ดังนั้นจึงยอมลำบากด้วยความเต็มใจ แต่ที่นี่เป็นเรือนจำ ไม่ใช่โบสถ์ ผู้ชายวัยกลางคนที่ลูกเมียตายแล้ว สามารถตื่นรู้ทุกอย่างตอนที่อยู่ในเรือนจำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรโจวเจ๋อก็ไม่เชื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล