ตอนที่ 300 ห้องเต้นรำ
จางเยี่ยนเฟิงนั่งรถเข้ามา เขานั่งรถของตำรวจหญิงตัวผอมสูงคนนั้น ตอนลงจากรถตำรวจจางขาอ่อนทั้งสองข้าง ดวงตาเป็นสีเลือดฝาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง รวมทั้งหัวไหล่ยังมีเศษหญ้าอยู่ไม่น้อย
ตอนที่เปิดประตูเดินเข้ามา จางเยี่ยนเฟิงร้องขอกาแฟหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงนั่งลงอย่างแรงแล้วหาวหวอด
“ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้ คงคิดว่าคุณเพิ่งกลับมาจากปฏิบัติการในสนามรบ”
เถ้าแก่โจวถือช้อนชาหนึ่งคันแล้วคนกาแฟที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง เมื่อก่อนโจวเจ๋อคิดว่ากาแฟที่ดีกับเนสกาแฟดูเหมือนไม่มีอะไรต่างกัน ชาติที่แล้วตัวเองเป็นหมอตอนนั้นทำงานยุ่งเป็นประจำ จึงอาศัยกาแฟเพื่อดำรงชีวิตอยู่ไม่น้อย
แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ทัศนคติเปลี่ยนไปหรือเปล่า หรือว่ากาแฟที่ดีและไม่ดีมันแตกต่างกันมากจริงๆ เพราะกาแฟที่ดื่มอยู่ในตอนนี้ไม่เหมือนในอดีตอย่างแท้จริง
“ไร้สาระ อย่าทำลายชื่อเสียงของผม” จางเยี่ยนเฟิงหยิบกาแฟที่โจวเจ๋อเพิ่งจะใส่น้ำตาลพร้อมกับคนเรียบร้อยแล้วที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่มจนหมด จากนั้นจึงเดาะปากเสียงดัง เหมือนเพิ่งดื่มน้ำเย็น ซึ่งสามารถอธิบายได้อย่างลึกซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่าวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น ช้อนชาที่อยู่ในมือของโจวเจ๋อร่วงลงไปบนพื้น แล้วสั่นเล็กน้อย นี่คือกาแฟขี้ชะมดของเขา…
“กาแฟนี้ไม่ค่อยอร่อยเลย คุณดื่มไอ้นี่ทุกวันไม่เบื่อเหรอ ถ้าผมต้องดื่มไอ้นี่ทุกวันผมคงไม่ชอบ”
“คุณดื่มมันทุกวันจะเบื่อไหมผมไม่รู้ แต่คุณจะโดนตรวจสอบปัญหาเรื่องการเงินแน่นอน”
“แม่งเอ๊ย” จางเยี่ยนเฟิงยื่นมือคลึงเส้นผมของตัวเอง “คุณคิดว่าซวยไหม ไม่ได้นอนทั้งคืนแถมยังเดินวนอยู่ในป่าทั้งคืน ล้มหัวคะมำไม่รู้กี่ครั้ง แต่ก็ยังหาสุสานนั้นไม่เจอ”
โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อยจึงถามว่า “สุสานที่มีคนตายคนนั่นน่ะเหรอ”
“ใช่แล้ว หาไม่เจอ”
“พวกเขาไม่ได้พูดความจริงเหรอ”
“พาพวกเขาไปด้วย แต่หาไม่เจอจริงๆ ทงเฉิงใหญ่แค่นี้ ไม่เหมือนป่าเก่าแก่หรือหุบเขาเก่าแก่แถวจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือหรือว่าเสฉวน พวกเขาสองสามคนตอนนั้นปิดทางเข้าสุสานก็จริง แต่น่าจะหาเจอถึงจะถูก แต่กลับหาไม่เจอจริงๆ สุนัขตำรวจออกตรวจเหมือนกัน แต่ไม่พบอะไรเลยสักนิด คนก็ถูกจับแล้ว อะไรที่ควรพูดก็พูด ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกใช่ไหม”
ตำรวจจางแบมือ เขาถือว่าเหนื่อยฟรีมาทั้งคืน จากนั้นเขาเพิ่งนึกได้ว่าโจวเจ๋อโทรเรียกเขา จึงถามทันที “คุณเรียกหาผมมีเรื่องอะไร”
“เด็กหนุ่มคนนั้นตายแล้ว”
“อ้อ” จางเยี่ยนเฟิงถลึงตาโตทันที แล้วคำรามพูดว่า “คุณฆ่าเหรอ”
“…” โจวเจ๋อ
จางเยี่ยนเฟิงส่ายหน้าทำจิตใจให้สงบแล้วถามว่า “ศพอยู่ที่ไหน”
“ผมรู้ว่าเขาตายแล้วเท่านั้น”
ใช่แล้ว วิญญาณมาหาเขา และถูกเถ้าแก่โจวส่งไปเกิดแล้ว ร่องรอยสุดท้ายที่เด็กหนุ่มทิ้งเอาไว้ก่อนไปจากโลกนี้ไม่ใช่ความยืนหยัดในการแต่งตัวสไตล์พังค์ญี่ปุ่นของเขา แต่เป็นผลงานเศษสี่ในหนึ่งพันบนสมุดยมทูตของเถ้าแก่โจว
“ศพถูกคุณจัดการไปแล้วเหรอ” จางเยี่ยนเฟิงถาม
“ผมไม่เห็นศพ แต่ผมมั่นใจว่าเขาตายแล้ว ถ้าหากคุณไม่สามารถเข้าใจได้ ผมสามารถแนะนำงานของผมให้คุณอย่างละเอียด”
“ไม่ หยุดเลย!” จางเยี่ยนเฟิงยกมือขึ้นทันที เพื่อบอกให้เถ้าแก่โจวหยุด เขาอยากใช้ชีวิตที่ปกติต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าฐานะของโจวเจ๋อไม่ธรรมดา แต่เขายังคงปฏิเสธมุมมองต่อโลกที่พังทลายไปหมดแล้วของเขา
“พอจะหาเจอว่าเขาตายที่ไหนไหมครับ” จางเยี่ยนเฟิงถาม
โจวเจ๋อส่ายหน้า ตอนนี้นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ได้ยกมือขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เอ่อ รู้”
…
นักพรตเฒ่าเป็นคนขับขาไป ส่วนตำรวจหญิงคนนั้นถูกจางเยี่ยนเฟิงสั่งให้กลับไปพักผ่อนแล้ว รถนิสสันของสวี่ชิงหล่างเกือบจะกลายเป็นรถสาธารณะของร้านหนังสือแล้ว ปกติตอนที่เหล่าสวี่ยังอยู่เขารักรถคันนี้เป็นอย่างมาก แต่พอเขาสลบไป ต่อให้รักและทะนุถนอมรถแค่ไหนก็ถูกคนอื่นนำไปใช้เละเทะอยู่ดี
โจวเจ๋อกับตำรวจจางนั่งเบาะหลังสูบบุหรี่คนละมวนพ่นควันฉุย
“เหล่าโจว แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องลี้ลับใช่ไหม ผมดูออกว่าผู้ต้องสงสัยสองคนนั้นไม่ได้พูดโกหก นอกจากนี้สีหน้าตกใจของพวกเขาตอนที่หาสุสานไม่เจอก็ไม่ได้แกล้งทำ”
“คุณเป็นตำรวจมาหลายปี ยังไม่เคยเจอเหรอ”
“น้อยมากจริงๆ แต่ตอนนี้พวกเราสองคนสามารถเขียนเป็นคดีพิศวงได้เหมือนกัน เก็บเป็นแฟ้มลับในสถานีตำรวจ ข้างบนเขียนว่า วันเดือนปีนี้ มีตำรวจคนแซ่จางคนหนึ่งกับเถ้าแก่ลึกลับที่เปิดร้านหนังสือคนหนึ่งช่วยกันไขคดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล