ตอนที่ 451 นอกศาลาโบราณ เส้นริมทางทอดยาวโบราณ หญ้าเขียวเสียดฟ้า
เถ้าแก่โจวจำได้ว่าเมื่อก่อนทนายอันเคยบอกว่าเขาเขามีชู้รักคนหนึ่งชื่อเฝิงซื่อ ซึ่งภายหลังก็ได้เจอจากเจอผักดองคนนั้น อ้อไม่สิ เป็นผู้หญิงหลังจากเจธอผู้หญิงที่ชื่อชุ่ยฮวาคนนั้น ‘“ท่านสี่’” สองคำนี้เป็นคำพูดติดปากของเธอ ทุกหายใจเข้าออกจนคล้ายสลักลงในใจดูเหมือนจะกลายเป็นบันทึกข้อความที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจ
เขาคาดคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่ ด้วยสภาพที่ย่ำแย่และไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ แต่เดิมทนายอันแต่เดิมพยายาม เกาะขาปลาเค็ม หลังจากประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงหวังว่าจะกลับมาที่นี่อย่างมีหน้ามีตา หลังจากประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ถึงตอนนั้นเฝิงซื่อเอ๋อร์ ก็จะคุกเข่าเลียรองเท้าต่อหน้าตัวเอง
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนผู้ชายโง่เง่าที่โดนแฟนเก่าทิ้ง และมักจะมีความคิดตื้นๆ ว่า ‘แล้วคุณจะเสียใจที่ไม่เลือกฉัน’
ทว่าความฝันต่อให้ความฝันจะอลังการแค่ไหน แต่ในความเป็นจริงกลับอเนจอนาถยิ่งแย่มาก ยามไ เมื่อได้เจอกันอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่า คุณนั่งต้มผักดองอยู่ในศาลาอย่างเงียบสงบ ส่วนฉันกลับต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอุตลุดเหมือนกับคนติดหนี้นอกระบบ เมื่อเทียบกันแล้วช่างต่างกันอย่างลิบลับและโคตรจะชัดเจนเป็นอย่างมาก
โจวเจ๋อมองเหล่าอัน เขาพบว่าในดวงตาของทนายอันมีปนเปไปด้วยความอ้างว้างความเหงาเล็กน้อย ใบหน้าแฝงไปด้วยสีหน้าหดหู่ท้อแท้ เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะทนายอันที่มีจิตใจตะโกนให้ ‘ต่อสู้ๆ แล้วก็ต่อสู้’ ราวกับฉีดเลือดไก่[1]มาโดยตลอด และมีความหวังว่ากระแสนิยมปลาเค็มในร้านหนังสือจะเปลี่ยนไป ตอนนี้กลับมีจิตใจหดหู่และเศร้าสร้อย
โจวเจ๋อยื่นมือไปแตะไหล่ของทนายอันแล้วตบเบาๆ
“ผมไม่เป็นไร” ทนายอันยิ้มพูดกับโจวเจ๋อ ขอบคุณที่เขาเป็นห่วง ถึงแม้เถ้าแก่จะทำตัวไร้สาระไปบ้าง แต่พอถึงเวลาสำคัญ เขายังรู้จักปลอบใจลูกน้องแบบฟรีๆ
“ท่านสี่ใช่ไหม ผมพาคู่แค้นของคุณกลับมาแล้ว ขอมอบให้คุณก็แล้วกัน พวกคุณค่อยๆ คุยกันนะ ส่วนผมขอตัวก่อน”
“…” ทนายอัน
โจวเจ๋อถอยหลังสองสามก้าว เขาเป็นยมทูต จะต้องกลับมาที่นรกบ้างเป็นบางครั้ง ถึงแม้จะไม่ถูกกฎระเบียบเท่าไร แต่ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และไม่มีใครถือสาเอาความกับเรื่องนี้
ชุ่ยฮวาเอ๋อร์จ้องโจวเจ๋อตาเขม็ง เมื่อเห็นโจวเจ๋อเดินถอยหลัง เธอจึงเตรียมกระโจนออกจากศาลาทันทีที่เมื่อรู้ตัว อย่าให้พูดเลย ครั้งที่แล้วหลังจากผู้หญิงคนนี้เข้ามาที่โลกมนุษย์แล้วสิงร่างคน แทบจะสังเกตอะไรไม่ออก แต่เมื่อตอนนี้เมื่อได้เห็นร่างจริงของเธอ ตัวสูงอวบใหญ่ แต่ไม่อ้วนมาก ผิวขาวนวล เป็นผู้หญิงสวยสไตล์ชาวตะวันตก ที่หาได้น้อยมาก ในหมู่หญิงสาวชาวตะวันออก แม่สามียายที่อยู่แถบชนบทจะชอบลูกสะใภ้ประเภทนี้ เพราะคลอดลูกง่าย!
ท่านสี่ลุกขึ้น ชุ่ยฮวาเอ๋อร์จึงไม่กล้าขยับ เธอนั่งยองๆ มองแรงไฟที่กำลังต้มอผักดองอย่างระมัดระวัง ถ้าให้พูดจริงๆ นะ เฝิงซื่อหน้าตาดีพอสมควร ใบหน้าขาวนวลและหล่อเหลา ให้ความรู้สึกเป็นของบัณฑิตผู้คงแก่เรียน มีออร่าของบัณฑิตในสมัยโบราณ ซึ่งตรงข้ามกับลักษณะของเกาเสี่ยวซงอย่างสิ้นเชิง
โจวเจ๋อแอบเปรียบเทียบเล็กน้อย อืม ดูดีน้อยกว่าเหล่าสวี่ของตัวเอง แต่ก็ไม่แย่มาก
ถ้าบอกว่าเมื่อก่อนทนายอันยอมรับเฝิงซื่อเป็นลูกน้องของตัวเองและคอยสอนงานอย่างตั้งใจ โดยถ้าหากไม่มีปัจจัยเรื่อง ‘หน้าตา’ มาเกี่ยวข้อง โจวเจ๋อก็คงไม่เชื่อเด็ดขาด บนโลบกใบนี้ ถึงแม้จะมองกันที่ความสามารถเป็นหลักการที่ไม่แปรเปลี่ยน แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเอาความสามารถชนะทุกสิ่งได้เฉียบขาด ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังคงหนีไม่ม้พ้นเรื่องหน้าตาอยู่ดี
หน้าตาอัปลักษณ์ คือบาปกำเนิดอย่างหนึ่ง
“พี่อัน เข้ามานั่งก่อนสิ” ท่านสี่ชี้ด้านในศาลา “ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึงเสียจริงจังเลย มานั่งคุยกันเสียหน่อยดีหรือไม่ไหม”
ทนายอันไม่ขยับ โจวเจ๋อเดินถอยหลังช้าๆ
“สหายท่านเพื่อนคนนี้ อย่าเพิ่งไปสิ” เฝิงซื่อชี้ไปที่โจวเจ๋อ
โจวเจ๋อจึงไม่ขยับ อันที่จริงระหว่างที่เขาเดินถอยหลัง ถือเป็นการเว้นระยะห่างเล็กน้อยให้คนทั้งสอง เพื่อเตรียมพร้อมที่จะโจมตี ยามต่อสู้จะได้มีระดับลดหลั่นกันเพราะมีความรู้สึกแบบนั้น การต่อสู้ในนรก มีความเสี่ยงเกินไป คนหนึ่งเป็นนักโทษหลบหนี อีกคนหนึ่ง เป็นศัตรูสาธารณะ หากทำตัวเด่นเพียงนิดเดียวก็ จะสามารถ ดึงดูดคนเข้ามานับหมื่น
แต่จะให้พวกเขางอมืองอเท้ารอวันตายคงเป็นไปไม่ได้ การเว้นระยะห่างเล็กน้อย ก็เพื่อสะดวกในการรับมือ กับการต่อสู้ต่อจากนี้ที่จะต่อสู้ เหล่าอันรับหน้าที่คุ้มกัน ส่วนตัวเองรับผิดชอบบุกโจมตี ทั้งสองคนร่วมมือกันมาแล้วสองสามครั้ง จึงพอมีประสบการณ์บ้างแล้ว
เพียงแต่ทนายอันกลับถอนหายใจ แล้วพูดตามตรงว่า “ซื่อเอ๋อร์ ถ้าหากข้าผมไม่อยากคุยล่ะ”
“ในเมื่อพี่อันไม่อยากคุยเรื่องส่วนตัว เช่นอย่างนั้นผมเสี่ยวซื่อ…คงต้องพูดเรื่องส่วนรวมกับท่านคุณแล้ว” ความหมายนั้่นง่ายดายมาก เมื่อไม่เห็นความหวังดีของคนคุณอื่นก็อย่าหาว่าเราใจร้าย
“ดีจริง ข้าฉันก็คิดถึงผักดองของชุ่ยฮวาเอ๋อร์เหมือนกัน” ทนายอันตกลงแล้วเดินไปที่ศาลา ดังนั้นโจวเจ๋อก็เลยจึงเดินตามไปข้างหน้า พลางแล้วพูดเบาๆ ในเวลาเดียวกัน “เขาเป็นผู้ตรวจสอบเหมือนกับคุณ จะกลัวอะไร”
“เถ้าแก่ อันนั้นมันเว้นเสียแต่ว่าคุณปลุกคนนั้นออกมา ไม่อย่างนั้นพวกเราสองคนรวมกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก คุณดูถูกคุณดูถูกผู้ตรวจสอบที่มีตำแหน่งเกินไปแล้ว ว่ามีความสามารถแค่ไหน เกินไป ว่ามีความสามารถแค่ไหน ตอนนี้ผมเก่งได้แต่เก่งแค่ปากเท่านั้น”
โจวเจ๋อตกใจ ที่แท้ความสามารถของผู้ตรวจสอบมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งข้าราชการอีกด้วย มิน่าล่ะ ตอนแรกเขายังสงสัยว่าสาวใช้ชุ่ยฮวาเอ๋อร์ที่ดูเซ่อซ่าข้างกายท่านสี่ก็ยังเก่งเขนาดนี้หมือนกัน เมื่อเหล่าอันเทียบกับอีกฝ่ายเขาแล้ว มีความแตกต่างกันอย่างมาก สาเหตุอยู่ตรงนี้นี่เอง
เมื่อเข้าไปในศาลาแล้ว กลิ่นผักดองหอมฉุยช่วยเรียกน้ำย่อย สำหรับคนที่ชอบรสชาติแบบนี้ จะช่วยให้กินข้าวอร่อยขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สามารถกินผักดองเปล่าๆได้โดยตรง ดังนั้นจึงมีบะหมี่และเนื้อปลาวางอยู่บนโต๊ะ ผู้ชายทั้งสามคนนั่งลงด้วยกัน หลังจากชุ่ยฮวาเหลือบมองโจวเจ๋อหนึ่งที แล้วหันไปจึงคอยดูแรงไฟต่อ
ท่านสี่ยื่นมือผลักจดหมายประทับตราสีฟ้าไปข้างหน้า ชี้ไปที่มันแล้วพูดว่า “พี่อัน ดีนะที่ข้าผมอยู่แถวนี้ ถ้าหากจดหมายฉบับนี้ ตกอยู่ในมือของคนอื่น คงยุ่งยากมากทีเดียว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล