ภายในห้องจัดเลี้ยงเงียบสงัดไร้สุ่มเสียง เพียงพริบตาสายตาของผู้คนต่างเลื่อนจากเยี่ยอีอีและกู้เยว่เจ๋อ มามองที่เยี่ยหวันหวั่น
เดิมทีเข้าใจว่า เยี่ยอีอีเป็นคนเชิญเหมยจิ่งโจวมาร่วมงานวันเกิดเยี่ยหงเหวย แต่เมื่อครู่ท่านอาจารย์เหมยจิ่งโจวพูดเองว่า การมาของเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเยี่ยอีอี ทั้งหมดเป็นเพราะเยี่ยหวันหวั่น…
สิ่งที่ตามมาหลังจากคำพูดของเหมยจิ่งโจวจบลง รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยอีอีและกู้เยว่เจ๋อทั้งสองคนพลันแข็งทื่อ
“ความหมายของอาจารย์เหมยคือ คุณมาเพราะเยี่ยหวันหวั่น?” กู้เยว่เจ๋อเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ
“แน่นอน” เหมยจิ่งโจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน
กู้เยว่เจ๋อพลันคำพูดจุกคอพูดอะไรไม่ออก
และทางด้านเยี่ยหวันหวั่นแม้จะดูเหมือนสีหน้าเรียบเฉย ลักษณะท่าทางยากจะหยั่งรู้ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วเธอกำลังงงใจอยู่
เรื่องอะไรกัน?
ทำไมเหมยจิ่งโจวถึงบอกว่าตัวเองรู้จักกับเธอ อีกทั้งยังบอกว่าได้รับการไหว้วานของเธอมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่?
เกรงแต่ว่าคนทั้งเมืองหลวงก็ไม่มีใครเชิญเหมยจิ่งโจวมาได้ เธอเป็นคนมีหน้ามีตามากเลยสินะ ถึงเชิญปรมาจารณ์ขั้นเทพท่านนี้มาได้?
เยี่ยหวันหวั่นคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก กระทั่งในหัวของเธอพลันฉุกคิดชื่อของคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
ซือเยี่ยหาน?!
หากว่าเป็นเขาละก็ จะต้องทำได้อย่างง่ายดายแน่นอน
แต่ว่า…จะเป็นไปได้อย่างไรกัน…
การที่เขาไม่ห้ามให้ตนเองมาที่นี่ก็นับว่าเป็นบุญคุณล้นฟ้าแล้ว แล้วจะจัดการส่งคนมามอบของขวัญวันเกิดให้คุณปู่แทนเธอได้อย่างไร?
ทำไมถึงไม่ใช่คุณพ่อของเขาที่เชิญเหมยจิ่งโจวมา แต่เป็นเยี่ยหวันหวั่นที่เป็นคนเชิญมาได้?
กู้เยว่เจ๋อไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ เดิมคิดอยากจะซักถามต่อไป แต่ได้เห็นท่าทีของเหมยจิ่งโจวที่ชัดเจนมากขนาดนี้แล้ว การที่จะถามต่อไปก็เท่ากับสร้างความอัปยศให้ตัวเองเท่านั้น
ดังนั้น จึงทำได้เพียงทำท่าทางสงบนิ่งเอ่ยไปว่า “ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องขอบคุณมากๆ ที่คุณมาร่วมงานในวันนี้ครับ”
เยี่ยอีอีก็กล่าวเสริมต่อด้วยสีหน้าแสดงความจริงใจ “ใช่ค่ะ ขอแค่คุณปู่มีความสุขก็พอแล้ว! คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยหวันหวั่นจะรู้จักคนใหญ่คนโตอย่างท่านอาจารย์เหมยด้วย…”
เวลานี้ ทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยงมีแต่เสียงอุทานตกใจต่อกันเป็นทอดๆ
“ดูท่าพวกเราทุกคนคงจะมองผิดไป หลานสาวของตระกูลเยี่ยผู้ที่ลือกันว่าไร้การศึกษาไร้ความสามารถคนนี้เป็นพวกคมในฝักจริงๆ!”
“คุณพูดถูก! เป็นเพื่อนต่างวัยกับคนใหญ่คนโตอย่างเหมยจิ่งโจวได้ขนาดนี้! คนรุ่นหลังในเมืองหลวงคนไหนมีความสามารถแบบนี้บ้าง?”
“ต่อให้เยี่ยเส่าถิงในตอนนี้จะตกต่ำ แต่สุดท้ายพ่อเป็นเสือลูกก็ไม่เป็นสุนัข[1]!”
เวลานี้เอง สายตาของเยี่ยหงเหวยที่มองเยี่ยหวันหวั่นอีกครั้งพลันเปลี่ยนไปไม่น้อย
หรือว่าหลานสาวที่เขาได้สิ้นหวังไปนานแล้วคนนี้จะคิดได้แล้วจริงๆ…
หลังจากเยี่ยหวันหวั่นพูดคุยอย่างนอบน้อมกับคุณปู่และผู้คนในงานไปสองสามประโยคแล้ว ก็หาโอกาสพูดคุยตามลำพังกับเหมยจิ่งโจว
“คุณเหมยคะ คุณรู้จักฉันจริงๆ เหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยถามพลางส่งสายตาซักถาม
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เรื่องราวมันมีอะไรแปลกๆ เธอจำเป็นต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเจน
เหมยจิ่งโจวเอ่ยจริงจัง “แน่นอนสิ คุณหนูหวันหวั่นทำไมถามแบบนี้?”
เห็นท่าทีมั่นใจของเหมยจิ่งโจว เยี่ยหวันหวั่นก็ยิ่งสงสัย พึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้อย่างไร ทำไมฉันถึงจำไม่ได้เลยสักนิด…”
“คิดว่าคุณคงจะลืมไปแล้ว!” เหมยจิ่งโจวหน้าไม่เปลี่ยนสี อีกทั้งท่าทางยังดูเหมือนจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย
เยี่ยหวันหวั่นกระตุกมุมปาก “ฉันยังเด็กเกินไปมาก…”
“หมายความว่าไง?” เหมยจิ่งโจวถามอย่างไม่เข้าใจ
เยี่ยหวันหวั่นมุมปากกระตุกเล็กน้อย “ความหมายก็คือเป็นไปไม่ค่อยได้ว่าฉันจะเป็นโรคอัลไซเมอร์เร็วขนาดนี้ ฉันแค่อยาก แค่อยากจะมั่นใจว่าฉันไม่ได้รู้จักคุณจริงๆ คุณเหมย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี