เมื่อทุกคนกินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสียวเป่าก็นอนขดตัวหลับอยู่ในอ้อมกอดของเหยาชิงหลี
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กน้อยอายุเพียงสามขวบเท่านั้น ไม่ได้นอนหลับมาทั้งวันทั้งคืน อีกทั้งยังทำงานมาทั้งวัน จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
เหยาชิงหลีวางเสียวเป่าลงบนเตียงแล้วใช้เสื้อผ้าคลุมตัวเขาเอาไว้ดีๆ จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปมองชิวอวิ๋นและซย่าเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เตียง
เหยาชิงหลีเอ่ยพูดขึ้นว่า “พวกเราเอาข้าวของที่มีค่าออกมา ลองรวบรวมดู”
“ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อคืนพรรคพวกของเหยาติ่งบุกเข้ามาอย่างกะทันหันตอนกลางดึก และตอนนั้นพวกนางกำลังนอนหลับอยู่ ตอนลุกขึ้นมาก็เร่งรีบเสียจนสวมแค่ชุดนี้เท่านั้น ไม่มีปิ่นปักผมบนศีรษะเลยสักอัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะมีเงินสักตำลึงติดตัวมา
เหยาชิงหลีก็ไม่มีเครื่องประดับติดตัวมาสักชิ้น เพราะว่าเจ้าของร่างคนเดิมตอนนอนเคยชินกับการถอดต่างหู กำไล สร้อยคอและสิ่งของอื่น ๆ ออกทั้งหมด
ชิวอวิ๋นถอดกำไลออกมาจากข้อมือแล้ววางเอาไว้บนเตียง “เดิมทีซย่าเอ๋อร์มีกำไลเงินที่มีลูกปัดทองคำสามเม็ดฝังอยู่หนึ่งอัน แต่วันนี้ตอนช่วงเช้าได้ขายไปแล้ว และได้เงินมาห้าตำลึง เนื่องจากต้องใช้ยารักษาดี ๆ ดังนั้นจึงให้โรงหมอไปสองตำลึง และเช่าเรือนหลังนี้ไปหนึ่งตำลึง”
ซย่าเอ๋อร์เอ่ย “กำไลของชิวอวิ๋นอันนี้ ดูแล้วน่าจะขายได้แค่สองสามตำลึงเท่านั้น”
“เฮ้อ...” ชิวอวิ๋นมีใบหน้าเต็มไปด้วยโศกเศร้า พวกนางสามคนล้วนเป็นผู้หญิง และยังต้องเลี้ยงดูเด็กอีกหนึ่งคนด้วย ต่อไปจะใช้ชีวิตกันอย่างไร
เหยาชิงหลีถอดเสื้อคลุมออกมาจากตัว “เอาเสื้อคลุมตัวนี้ไปขาย”
นี่คือเสื้อที่ทำจากขนนกกระเรียนสีเทาขาว เนื้อผ้าโปร่งเบา ด้านในบุด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว มันทั้งอุ่นและเป็นของล้ำค่าหาได้ยาก
“นี่เป็นของที่นายหญิงไปสั่งทำขึ้นเพื่อคุณหนูนะเจ้าค่ะ” ชิวอวิ๋นรีบพูดขึ้นมา “ในมือของท่านตอนนี้เหลือเพียงสิ่งนี้ที่เป็นของต่างหน้าแล้ว ไม่สามารถขายได้เจ้าค่ะ”
“นี่มันเวลาไหนแล้ว” เหยาชิงหลียิ้มอย่างขมขื่น “ท่านแม่ของข้าอยากเห็นข้าเก็บรักษาเสื้อตัวนี้เอาไว้แล้วอดตายอย่างนั้นหรือ? ซย่าเอ๋อร์ เจ้าเอามันไปขายนอกเมืองทางทิศตะวันออกที่ห่างออกไปไกล ๆ หน่อย จริงสิ แม้ว่าเสื้อผ้าจะทำจากขนสุนัขจิ้งจอก แต่เนื้อผ้าดีมาก เสียดายที่ดูเก่าไปหน่อย เจ้าขายมันไปสักยี่สิบตำลึง”
ชิวอวิ๋นทำสีหน้าเจ็บปวดใจ “ปีนั้นสั่งทำมันขึ้นมาใช้เงินไปตั้งสามร้อยตำลึง”
แต่ชิวอวิ๋นก็รู้ดีว่า ตอนซื้อมาของย่อมราคาแพง แต่ขายออกไปก็ต้องราคาถูกเป็นธรรมดา นอกจากนี้ถ้าให้คนอื่นรู้ว่านี่เป็นเสื้อผ้าของเหยาชิงหลี ไม่แน่ว่าทางร้านอาจจะไม่ยอมรับซื้อก็ได้
ซย่าเอ๋อร์เก็บกำไลของชิวอวิ๋นเอาไว้ในอกเสื้อ และเอาผ้ามาห่อคลุมเสื้อคลุมตัวนั้นเอาไว้
ชิวอวิ๋นประคองเอวลุกตัวขึ้นมา “ไปกันเถอะ!”
“ชิวอวิ๋น ร่างกายเจ้ายังมีบาดแผลอยู่ เจ้าอยู่บ้านพักผ่อนให้ดี ๆ เถอะ!” ซย่าเอ๋อร์เอ่ยพูด
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะถูกหลอกอีก” ชิวอวิ๋นทำสีหน้าเคร่งเครียด“ห้องสี่ห้าร้อยเหวินต่อเดือน เจ้ายังสามารถจ่ายออกไปหนึ่งตำลึงได้...วันข้างหน้ายังอีกยาวไกลและพวกเราก็มีข้าวของติดตัวอยู่แค่นี้เท่านั้น ไม่สามารถขายออกไปถูก ๆ ได้แล้ว”
“เจ้า...” ซย่าเอ๋อร์อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี และก็กระทืบเท้าใส่
“เจ้าวางใจได้ ข้าสามารถเลี้ยงดูพวกเจ้าได้” เหยาชิงหลีพูดติดตลก ก่อนจะกดชิวอวิ๋นกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ “ต่อไป ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าลำบากแม้แต่นิดเดียว” ช่างน่าขำนัก เธอเป็นถึงผู้หญิงแกร่งในศตวรรษที่ 21 จะไม่สามารถเลี้ยงดูสามคนนี้ได้งั้นเหรอ?
“เลี้ยงดูพวกเรา? คุณหนูท่าน...” ชิวอวิ๋นมีใบหน้าซีดขาว และพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “คุณหนูอย่าได้ทำแบบนั้นเป็นอันขาด!”
“ใช่แล้ว ๆ ท่านไม่ควร” ซย่าเอ๋อร์รีบพูด
เหยาชิงหลียกมุมปากขึ้น พวกนางคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย? หรือคิดว่าเธอจะออกไปขายตัวงั้นเหรอ?
ตอนนี้เธออธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำแค่เพียงหัวเราะและพูดว่า “พวกเจ้าอย่าคิดมากเลย ชิวอวิ๋น เจ้าอย่าเพิ่งขยับตัวเยอะมาก พักฟื้นให้หายก่อนถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ไม่เช่นถ้าหากเจ้าป่วยขึ้นมา เงินของพวกเราก็จะใช้จ่ายออกไปเร็วขึ้น”
“ใช่แล้ว” ซย่าเอ๋อร์พยักหน้า “วางใจได้ ถ้าได้น้อยกว่าราคาที่พวกเราพูดกันไว้ ข้าไม่มีทางขายออกไปเด็ดขาด! แค่นี้ก็ได้แล้วใช่ไหม?”
เหยาชิงหลีพยักหน้า “จริงสิ ยาของข้ากับชิวอวิ๋นเดี๋ยวยังไม่ต้องซื้อนะ”
“เอ่อ...” ซย่าเอ๋อร์มองไปที่เหยาชิงหลีอย่างไม่เข้าใจ
แต่ว่าในฐานะที่เธอเป็นอัจฉริยะทางการแพทย์ อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย
นางอดทนต่อความเจ็บปวดและทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวัง ตามมาด้วยฆ่าเชื้อและทายา ยุ่งอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะพันผ้าพันแผลกลับไปใหม่อีกครั้ง
“คุณหนู ทำไมท่านถึงลงมาจากเตียงล่ะเจ้าค่ะ” บนเตียงหลัวฮั่นในห้องโถงด้านนอก ชิวอวิ๋นพยายามลุกตัวขึ้นมา แต่กระดูกที่เอวกลับเจ็บจนเสียดไปถึงหัวใจ! ถ้าเทียบกลับเมื่อตอนเช้าแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรแผ่นหลังตรงที่ถูกโบยก็ยิ่งปวดมากขึ้นเท่านั้น
“ระวัง อย่าเพิ่งขยับตัว” เหยาชิงหลีตกใจจนใจหายวับ รีบวิ่งไปนั่งลงที่ข้างเตียงนางทันที จากนั้นก็ดึงมือของชิวอวิ๋นออกมาเพื่อตรวจจับชีพจร “ให้ข้าดูหน่อย”
ชิวอวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย “คุณหนู...ท่านทำอะไรเหรอเจ้าคะ?”
“จับชีพจรให้เจ้า” เมื่อก่อนเธอชอบศึกษาแพทย์แผนจีนมากกว่า ดังนั้นการฝังเข็มจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ “มานี่ นอนลง”
หลังจากตรวจจับชีพจรเสร็จ เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ให้ชิวอวิ๋นนอนคว่ำลงบนเตียง และลองสัมผัสจุดที่ชิวอวิ๋นถูกตี ไม่มีกระดูกที่หักหรือเคลื่อนที่ แต่ว่าเนื้อเยื่ออ่อนเกิดการเสียหาย
“คุณหนู ท่าน...ท่าน...ทำอะไรเจ้าคะ?” ชิวอวิ๋นอึ้งทึ่งไปทันที เหยาชิงหลีทั้งลูบนางทั้งบีบนางและยังจับชีพจร
สักพักก็เห็นเหยาชิงหลีหยิบขวดอะไรแปลก ๆ ออกมา และก็เทสิ่งของเล็ก ๆ สีแดง สีน้ำเงินออกมา อีกทั้งยังหยิบน้ำชามหนึ่งยื่นมาตรงหน้านาง “นี่คือยา กินแล้วสามารถแก้อาการอักเสบและบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ อีกสักพักเจ้าถกเสื้อขึ้นมา ข้าจะฉีดสเปรย์ลดอาการปวดให้เจ้า”
“นี่...” ชิวอวิ๋นมองเหยาชิงหลีด้วยความตกตะลึง จากนั้นขอบตาก็แดงก่ำขึ้นมา และพยักหน้าทั้งน้ำตา “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะกิน ๆ”
ในขณะที่เช็ดน้ำตาก็รับของแปลก ๆ เล็ก ๆ สีแดงน้ำเงินเหล่านั้นมา
จะทำอย่างไรดีนะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลของการกระทบกระเทือนทางจิตใจเรื่องเมื่อวาน หรือว่าตอนที่หัวไปกระแทกในตอนนั้น ถึงทำให้คุณหนูป่วยเป็นโรคบ้าไปแล้ว ถึงขนาดที่คิดว่าตัวเองรักษาโรคได้! และก็ไม่รู้ว่าไปหาของแปลกประหลาดเช่นนี้มาจากที่ไหน แล้วบอกว่านี่เป็นยา
นางใช้ชีวิตมายี่สิบปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นยาแบบนี้มาก่อน สีสันสดใสเช่นนี้ มองดูก็รู้ว่าเป็นของที่ไม่รู้จัก
“กินสิ!” เมื่อเหยาชิงหลีเห็นนางมีท่าทีเศร้าใจและลังเลจึงรู้สึกเอือมระอา ยัยคนนี้คงไม่ได้คิดว่าเธอเป็นโรคบ้าหรอกนะ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงข้ามภพ