ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 136

"ยังมีอะไรอย่างอื่นที่สามารถทดแทนกันได้อีกไหม?" ในใจโหลชียิ่งตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ การแสดงออกกลับยิ่งสงบนิ่งมากขึ้นเท่านั้น มีแต่เฉินซ่าที่กอดเอวของนางเอาไว้เท่านั้นที่สามารถรู้สึกได้ว่านางกำลังสั่นเทาอยู่เล็กน้อย

เขาขมวดคิ้วขึ้นมา ความจริงเขาก็มีคำถามเกี่ยวกับที่มาของนาง ที่ยังไม่ได้ถามนางมาตลอด เขารู้สึกว่า นางตกลงมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา ก็เป็นของเขาแล้ว แต่หากเวลานี้จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาและบอกว่าเป็นแม่ของโหลชี หรือบางทีอาจจะมีพี่น้อง จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นใคร ใครมาแย่งก็ไม่มีประโยชน์ โหลชีเป็นได้แต่ของเขาเท่านั้น

เฉินซ่ากอดนางแน่น

"ไม่มี มีแค่อันนี้" ท่านจินมองพิจารณานางด้วยความมึนงงเล็กน้อย: "ข้าว่านังหนูชี หากมีคนเก็บเลือดจากสายสะดือของเจ้าเอาไว้อย่างดีจนถึงทุกวันนี้ แสดงว่าภูมิหลังของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้ามาจากตระกูลโหลนั่น?"

"ตระกูลโหลนั่นคือตระกูลไหน?" โหลชีพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้ ความจริงนางหวาดกลัวจนอยากจะตะโกนคำรามออกมาดังๆแล้ว

"เจ้าไม่รู้จักตระกูลโหล?" ท่านจินขมวดคิ้ว "ดูท่า ชั่วครู่ชั่วยามคงพูดกันไม่จบ รอให้ข้าช่วยศิษย์หลานของข้าออกมาแล้ว ระหว่างทางที่พาพวกเจ้าไปหาบัวเลือดนั่นข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟังอีกที"

โหลชีเลยได้แต่อดกลั้นเอาไว้

สิ่งเหล่านี้สามารถหยุดไว้ชั่วคราวได้ แต่จะต้องแก้วิธีลับของมู่หลาน ข้อนี้โหลชีทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว แต่ว่าท่านจินกลับกล่าวด้านสีหน้าลำบากใจ: "หากเป็นคนประหลาดซวนหยวนคนนั้นไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีในการแก้วิธีลับของการสับเปลี่ยนหน้า แต่เท่าที่ข้ารู้ ซวนหยวนหายสาบสูญไปนานมากแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนั่นหายไปไหนแล้ว สมัยนั้นได้ยินว่าเขากับตระกูลโหล......"

คำพูดของท่านจินหยุดเอาไว้อีกแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ต้องให้เขาบอกโหลชีก็รู้แล้วว่านักพรตเลวจะต้องรู้จักกับพ่อแม่ของตนเองอย่างแน่นอน ไม่ใช่อย่างที่เขาเคยพูดในอดีตเลย บอกว่าเก็บนางมาจากถังสีที่อยู่ใต้ต้นไม้ที่สวยงามต้นหนึ่ง เขายังบอกว่า เพราะถังสีใบนั้น ดังนั้นเขาเลยแอบขี้เกียจตั้งชื่อนางว่าสี ต่อมารู้สึกว่าอักษรตัวนี้มีความเป็นผู้ชายไป ก็เลยเปลี่ยนเป็นชี ถึงอย่างไรรูปคำจีนว่าชีก็มีน้ำมีไม้เหมือนกัน เหมาะสมกับนางพอดี

พูดเหลวไหลใช่ไหม ตอนนี้ดูแล้วทั้งหมดคือพูดเหลวไหลทั้งเพ! โหลชีกัดฟันแน่น หากนักพรตเลวอยู่ต่อหน้านางตอนนี้ นางจะต้องกระโจนเข้าใส่แล้วสู้กับเขาอย่างดุเดือดสักตั้งหนึ่ง

"เขามีวิธีแก้?" นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากนักพรตเลวมีวิธีแก้ เช่นนั้นนางก็น่าจะมีวิธีแก้ถึงจะถูก เขามักจะชมนางว่าเป็นสีเขียวครามเกิดจากสีน้ำเงินแต่เด่นกว่าสีน้ำเงินอยู่เสมอ ก่อนจะถึงช่วงสิบกว่าขวบ ความสนใจสูงสุดของนางก็คือการเอาชนะเขาให้ได้ในทุกๆด้าน ตอนเริ่มแรกนางแพ้อย่างยับเยินมาก ต่อมาจำนวนครั้งที่เสมอกันก็เพิ่มมากขึ้น ต่อมาอีกจำนวนครั้งที่นางชนะก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย เขาก็หาจำนวนครั้งที่สามารถเอาชนะนางได้ยากมากแล้ว เว้นแต่กำลังภายในเท่านั้นที่ล้ำลึกมากกว่านาง แต่ว่าข้อนี้คาดว่าในตอนนี้ก็ไม่แน่แล้ว เพราะนางกินไขหินพันปีไปแล้ว

"เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าใต้หล้ามีคนประหลาดแค่คนเดียว หากบอกว่ามีคนสามารถแก้ได้ ก็มีแค่ซวนหยวนคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้น่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะวิธีลับแบบนี้ ในลัทธิสิ้นโลกีย์มีแค่สองสามคนเท่านั้นที่รู้"

"ทำลายทิ้งไปเลยโดยตรง" เฉินซ่าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

ท่านจินส่ายหน้า: "ไม่ได้ หากทำลายทิ้ง ใบหน้าของนังหนูชีก็จะเริ่มมีปัญหาเช่นกัน นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมวิธีลับแบบนี้ถึงอำมหิตมาก วิธีลับสำเร็จ ระหว่างใบหน้าสองใบก็มีความเชื่อมโยงที่แน่นอนบางอย่าง จะต้องหาทางแก้ไขให้ได้"

หน้าของเฉินซ่าดำจนใกล้จะหยดลงมาเป็นน้ำหมึกแล้ว "บ้าชิบ!"

บ้าชิบ บ้าชิบ ยังมีวิธีลับที่ชั่วร้ายเช่นนี้อยู่! เหงื่อเย็นของเขาแอบไหลออกมาอย่างอดไม่ได้ โชคดี โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้ตบหน้าผู้หญิงคนนั้นจนเละ! ลัทธิสิ้นโลกีย์!

"จะต้องแก้ให้ได้ใช่ไหม? เช่นนั้นก็มาลองดูกัน" โหลชีพูดไปก็หยุดยืนเอาไว้ หันหน้ากลับไปรอพวกเขา มิน่ามู่หลานถึงกล้ายั่วยุนางอย่างไม่เกรงกลัวเลย ไม่กลัวว่านางจะลงมือสักนิด ที่แท้ก็ยังแอบซ่อนแผนการชั่วร้ายรอนางอยู่ตรงนี้นี่เอง! ทำลายใบหน้านั้น ก็เท่ากับทำลายหน้าของตนเองหรือ? นางก็อยากรู้เหมือนกัน ในลัทธิสิ้นโลกีย์มีใครที่ใครที่เกลียดชังใบหน้าของนางจนถึงขั้นนี้ได้!

มู่หลานยังคงตามเยว่มาจริงๆ

ครั้งนี้ ความรู้สึกของโหลชีที่มองดูใบหน้านั่นของนางไม่ได้มีเพียงแค่ความรำคาญเท่านั้น ยังมีความเกลียดชังและความโกรธอีกด้วย

เมื่อนึกถึงว่าหน้าใบนี้ใช้วิธีที่ชั่วร้ายสุดขีด ได้มาจากใช้เลือดจากสายสะดือของนาง ในใจนางราวกับมีงูพิษตัวหนึ่งกำลังเลื้อยคลานอยู่ ทำให้จิตใจของนางยิ่งอยู่ก็ยิ่งมืดมน ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ ในสมองมีวิธีที่จะทำลายใบหน้าของนางมากมายแวบเข้ามาแล้ว

ดูเหมือนมู่หลานจะเดาออกว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ แต่นางก็ยังมีท่าทางที่ไม่เกรงกลัวเพราะถือไพ่เหนือกว่า เลิกคิ้วแล้วมองดูโหลชีครู่หนึ่ง ความหมายนั่นเหมือนกำลังบอกกับนางว่า ถึงแม้เจ้าจะรู้ว่าหน้าของข้าเป็นมาอย่างไร เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้! แน่จริงก็มากรีดหน้าของข้าสิ

"องครักษ์กล้าตายใช่ไหม? วิธีลับใช่ไหม? วิชาลับสับเปลี่ยนหน้าใช่ไหม?" โหลชีพูดในสิ่งที่ตนเองเพิ่งรู้เมื่อกี้ออกมาอย่างเหนือการคาดหมายของทุกคน ไม่ได้สนใจเลยว่ามู่หลานจะระวังตัวมากยิ่งขึ้น แต่ว่า ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยปาก การเคลื่อนไหวของนางก็รวดเร็วจนทำให้เกิดภาพความเร็วพาดผ่าน ยังไม่ทันที่ภาพความเร็วจะขาดหายไป มือของนางก็บีบคอของมู่หลานเอาไว้แล้ว แทบจะยกตัวนางขึ้นมาทั้งตัว พุ่งตรงออกไปด้านหน้า มู่หลานถูกนางบีบคอเอาไว้แล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็วตลอดทาง

ปัง

แผ่นหลังของนางชนเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง ชนจนใบไม้หล่นร่วงลงมา ใบไม้หล่นร่วงใบหนึ่งลอยลงมาตรงหน้าของนาง วินาทีต่อมานางก็สบตากับดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นของโหลชี นางตกตะลึงไปโดยสัญชาตญาณ เพราะครั้งสุดท้ายที่จำได้สายตาของโหลชียังไม่ใช่เช่นนี้ แต่เป็นความเย็นยะเยือก แฝงไปด้วยเจตนาสังหาร และความเกลียดชังอย่างสุดซึ้งที่มีต่อนาง ตอนนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ในสายตาของนางมองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ไม่มีเลยสักนิด สงบนิ่ง นิ่งมาก ราวกับบ่อน้ำเก่า แต่ในบ่อน้ำเก่านั่นก็ดูเหมือนจะมีกระแสน้ำวนเล็กๆสองแห่ง หมุนวนอยู่ตลอดหมุนวนอยู่ตลอด มองดูแล้วรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อย

นางไม่รู้ว่า นางหมดสติไปแล้วจริงๆ

วิงเวียนจนตนเองยังไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปแล้ว

ท่านจินและคนอื่นๆตามขึ้นมา ทั้งสามมองดูโหลชีที่เปลี่ยนไปกะทันหันอย่างตะลึงงัน ไม่เห็นว่านางจะทำอะไรเลย ทำไมจู่ๆมู่หลานถึงหมดสติไปอย่างอ่อนปวกเปียกได้?

"ใต้เท้าองครักษ์เยว่ รบกวนท่านช่วยพานางไปด้วย"

โหลชีฮึออกมาคำหนึ่ง กะพริบตาครั้งหนึ่ง ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็กลับไปเป็นปกติแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ