เป็นไปไม่ได้ที่โหลชีจะไม่แยแสรูปร่างหน้าตาของนาง นางยังอายุน้อยขนาดนี้ แล้วนางก็กลายเป็นหญิงวัยกลางคนแบบนี้ใครจะทนได้? แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาชีวิตเอาไว้ หากรักษาชีวิตไว้ได้ ในอนาคตนางก็จะหาวิธีที่จะฟื้นฟูความเยาว์วัยของตัวเอง
โชคยังดี หนอนดอกเมฆพวกนั้นก็ถูกกำจัดไปแล้ว แม้จะต้องใช้พลังชีวิตนางไปเกือบครึ่งก็ตามที
คิดถึงตรงนี้ นางอยากจะถลกหนังของน่าหลานฮั่วซิน กินเนื้อของนาง ดื่มเลือดของนาง จากนั้นก็นำกระดูกของนางไปเป็นปุ๋ยเลี้ยงดอกไม้ผีในสุสานระเกะระกะ ให้สาสมกับความแค้นที่นางมี
สำหรับน้ำแปลกๆในลำธารนั่น ตอนนี้นางไม่มีความสนใจใคร่รู้เลยซักนิด
พอตัวนางเซ เฉิงสิบและโหลวซิ่นก็เข้าขนาบข้างพยุงนางทันที นางจับมือพวกเขา โหลชีหัวเราะกับตัวเอง "รู้สึกเหมือนเป็นไทเฮาจริงๆ"
"แม่นาง"
เห็นนางอ่อนแอแบบนี้ เฉิงสิบและโหลวซิ่นรู้สึกแย่จนแทบหายใจไม่ออก อยากพูดก็พูดไม่ออก
ผู้เฒ่ามองไปที่โหลชี "แม่นางน้อย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? ไม่อยากกลับไปตระกูลโหลรึ?"
"ท่านเป็นคนตระกูลโหล?"
"ไม่ถือว่าใช่" ผู้เฒ่าส่ายหัว มองดูริ้วรอยบนหน้านาง สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า "ครั้งนี้ข้าจะช่วยเจ้า วันหน้าเจ้าช่วยข้าซักเรื่องหนึ่ง ว่าอย่างไร?"
โหลชีพึ่งรู้ถึงเหตุผลที่ท่านผู้เฒ่ารับปากจะช่วยนางง่ายๆ นั่นเป็นเพราะเขาไม่คิดว่านางจะหาผลไม้วิเศษอะไรนั่นได้ แต่เขาคงไม่คิดว่านางจะโชคดีถึงขนาดได้มันมาง่ายๆ
เขาละล้าละลังอยู่ครึ่งวันกว่าว่าต้องการหรือไม่ต้องการจะช่วยนาง แค่ดูก็รู้แล้ว ว่าสภาพนางตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะช่วยได้ โหลชีเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องช่วยชีวิตของนางแล้ว แต่เป็นเรื่องการฟื้นฟูพลังชีวิตและชดเชยความเยาว์วัยที่หายไปของนาง
อันที่จริงนางมีความคิดหนึ่งที่ไม่ค่อยแน่ใจ แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เฒ่าท่านนี้ นางก็แค่อาศัยอยู่ในหุบเขาเทพมารต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะเจอสมุนไพรหายากบางอย่างที่สามารถช่วยนางได้เป็นไปได้ว่าอาจจะบำรุงเลือดและพลังของนางให้กลับมาแข็งแรง
เพราะสมุนไพรในหุบเขาเทพมารมีอยู่มากมาย
เป็นสมบัติของสวรรค์และโลกมนุษย์
ดังนั้น นางก็ยังไม่สิ้นหวังไปซะทีเดียว ตราบใดที่ยังมีชีวิตรอด ทุกอย่างก็ยังเป็นไปได้
แน่นอนว่าการมีคนเต็มใจช่วยเหลือย่อมดีกว่า
เพียงแต่ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครทำอะไรให้กันเปล่าๆ เรื่องนี้นางก็เข้าใจได้
"ท่านผู้เฒ่า ท่าอยากให้ข้ารับปากท่านแต่ท่านจะไม่บอกอะไรข้าหน่อยหรือ หากวันข้างหน้าท่านให้ข้าไปทำลายล้างโลก ข้าจะทำยังไง"
ผู้เฒ่า "..."
เขาจะอยากให้นางไปทำลายล้างโลกทำไมกัน?
"ช่างเถิด ท่านไม่ต้องช่วยข้า ข้าจะค่อยๆหาวิธีด้วยตัวเอง"
โหลชีส่ายหัว
ผู้เฒ่าตะลึงงัน ใครจะกล้าปฏิเสธการช่วยชีวิตกัน? สาวงามราวกับหยก แต่กลับหน้าแก่เช่นนี้ นางจะทนได้จริงหรือ?
โหลชีไม่ได้พูดล้อเล่น นางยื่นมือออกมา "เจ้าสิบ เจ้าโหลว พยุงข้าที"
เฉิงสิบ :"..."
โหลวซิ่น :"..."
แม่นาง! พวกเราไม่ใช่ขันทีในวังตงชิงนะ
เมื่อผู้เฒ่าเห็นว่านางกำลังจะจากไปจริงๆ ผู้เฒ่าก็เดินไปหยุดอยู่ข้างหน้านางทันที: "นี่ นี่ แม่นางน้อยอัจฉริยะแห่งตระกูลโหล อย่าเพิ่งไปสิ เรายังคุยกันได้นะ
"แม่นางน้อยอัจฉริยะ"
"เจ้าไม่รู้? คนตระกูลโหลที่สามารถสำเร็จการฝึกคำสาปเลือดดวงชะตาล้วนเป็นสายเลือดปฐม พูดให้เข้าใจก็คือเจ้าเป็นทายาทที่อัจฉริยะที่สุดในตระกูลโหล"
ผู้เฒ่ามองมาที่นาง "เจ้าคงเป็นตระกูลโหลสายไหนที่ระเหเร่ร่อนละสิ ไม่แปลกที่ตระกูลหลักของตระกูลโหลจะไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะเช่นนางอยู่ ถ้าพวกเขารู้--"
เขาพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป
โหลวชีกลอกตา "ข้าละเกลียดคนที่พูดคำหายคำจริงๆ"
ผู้เฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า "ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่พลัดอยู่ข้างนอก เจ้าคิดจะกลับไปบ้างไหม"
"ไม่" โหลชีตอบอย่างไม่ลังเล "อีกอย่าง ไม่แน่ว่าข้าจะเป็นคนสกุลโหลที่ท่านพูดถึง"
"เจ้าคิดผิดแล้ว ผู้ที่ฝึกฝนคำสาปเลือดดวงชะตานั้น ต้องเป็นคนตระกูลโหลแน่นอน"
ในเมื่อตอนนี้เจ้าไม่อยากกลับไป ก็ไม่มีประโยชน์ที่ข้าจะพูดไปมากกว่านี้
แต่ว่า ข้าช่วยเจ้า ในอนาคตข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าช่วยข้าทำลายโลก แต่ข้าจะให้เจ้าช่วยข้าด้วยความสามารถที่เจ้ามี เจ้าคิดว่าอย่างไร? "
"อยู่ในขอบข่ายความสามารถที่ข้ามี และไม่ขัดต่อเจตจำนงของข้า?"
"แม่นางน้อย ยังจะมาต่อรองอีกนะ" เมื่อผู้เฒ่าเห็นว่านางกำลังจะจากไปอีกครั้ง ผู้เฒ่าจึงรีบเปลี่ยนคำพูด "ตกลงๆ ข้ารับปาก ข้ารับปาก ตอนนี้เจ้ายอมให้ข้าช่วยเจ้าได้รึยัง "
เอ่อ ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆกันนะ คนที่อยากยื่นมือช่วยเหลือกลับต้องขอร้องให้คนที่ต้องการรับความช่วยเหลือยอมรับการช่วยเหลือกัน?
ทิ้งคนที่ทำให้เขาแทบกระอักเลือดไว้ข้างหลัง
โหลชีส่ายหัวแล้วพูดว่า "ตอนนี้ข้ายังมีธุระสำคัญที่ต้องทำ รอข้าทำเสร็จแล้วค่อยไปขอให้ท่านช่วย"
เฉิงสิบ:"..."
โหลวซิ่น:"..."
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ