สรุปตอน บทที่ 225 เนื้อหอมขึ้นมาดื้อๆ – จากเรื่อง ใต้ร่มยาใจ โดย ลิ่วเยว่
ตอน บทที่ 225 เนื้อหอมขึ้นมาดื้อๆ ของนิยายประวัติศาสตร์เรื่องดัง ใต้ร่มยาใจ โดยนักเขียน ลิ่วเยว่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
แสงตะวันยามเช้ามืดส่องเข้ามาในห้อง หยุนเฟิงลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ได้กลิ่นยังคงเป็นกลิ่นยาอ่อนๆ กลิ่นยานี้ไม่เหม็นเลย พอดมเข้าไปแล้วกลับทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
เขาอยู่บนเตียงโหลชี
หยุนเฟิงรับรู้ได้จุดนี้ก็ลูบหัวไหล่ซ้ายทันที พอลูบไปก็เจอผ้าพันแผลพันไว้ แต่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้เพียงนิด
วิชาแพทย์ของโหลชีช่างร้ายกาจจริง หยุนเฟิงนึกถึงภารกิจของตนก็สีหน้าเคร่งขรึมลง ถ้าโหลชีจะทำได้ล่ะ?
ตอนนี้เองเขาได้ยินเสียงเฉิงสิบจากด้านนอก "คุณชาย เหตุใดท่านออกมาจากห้องคุณชายหยุนเล่า?"
ยกห้องของตนให้หยุนเฟิง นางก็ขี้เกียจอยู่ดูแลเขาทั้งคืนที่นั่น ก็เลยสลับห้องกับหยุนเฟิง
วันนี้ดูเหมือนหยุนเฟิงจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแล้ว บอกว่าจะพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม
โหลชีทำเพียงมองเขาหนึ่งที และไม่ได้พูดอะไรมากความ แค่คำเดียว
"ค่ารถที่พาเจ้ามาเมืองลั่วหยางรีบคืนข้าซะ"
หยุนเฟิงอึ้ง จากนั้นอดส่ายหน้ายิ้มๆไม่ได้ ล้วงมือหยิบตั๋วเงินออกมาวางในมือนางทั้งหมด
โหลชียังนับคิดๆคำนวณ มีถึงหนึ่งหมื่นสองพันตำลึง
"คนรวยนี่นา ไม่ฟันเงินก็เสียดายแย่สิ" นางหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงสองใบจากในนั้นคืนให้เขา "ข้าเป็นคนดี เหลือเงินให้เจ้าหน่อย ไม่งั้นเจ้าจะไม่มีเงินจ่ายค่าที่พัก" เท่ากับว่านางเก็บไปเต็มๆหนึ่งหมื่นตำลึง
เฉิงสิบมุมปากกระตุก
"วันนี้พวกเจ้าจะไปโรงพรรณยากระมัง? ข้าจะไปขอยืมห้องครัวกับเถ้าแก่ลั่ว ทำอาหารอร่อยรอเจ้ากลับมา" หยุนเฟิงมองโหลชี สายตาอ่อนโยน
พอโหลชีคิดถึงฝีมือของเขา น้ำลายก็แทบสอออกมาทันที
เฉิงสิบรู้สึกปวดใจฉับพลัน
หยุนเฟิงหัวเราะบอก "เช้ามืดวันนี้พวกเจ้าไม่ลองไปกินซาลาเปาที่ร้านซาลาเปาไส้สดนั่นตรงมุมตรงข้ามดูรึ นั่นน่ะเป็นร้านซาลาเปาที่ขึ้นชื่อของเมือง เต้าฮวยและน้ำหวานที่เป็นเครื่องเคียงก็ไม่เลวเลย"
"ดีสิ เฉิงสิบ เรียกโหลวซิ่นกับพวกถูเปิน พวกเราไปด้วยกัน ข้าเลี้ยงเอง" โหลชีแสดงท่าทีว่าตนพึ่งหาเงินได้หนึ่งหมื่นตำลึง
เฉิงสิบกลับสีหน้าดำทะมึน "คุณชาย ปกติคุณชายก็เป็นคนเลี้ยงดูพวกเราอยู่แล้ว"
ยังจะมาบอกเลี้ยงอะไรอีก
หยุนเฟิงได้ยินดังนั้นหัวเราะเสียงต่ำออกมา โหลชีกลับสะอึก จากนั้นยื่นมือออกไป กะจะกวักนิ้วชี้ไปเชยคางของเฉิงสิบเข้าหาตน เชิดหางตาขึ้น หัวเราะร่าบอก "อืมๆ ข้าเลี้ยงดูองครักษ์หน้าตาหล่อเหลาเพียงนี้--"
"โหลชี อย่าแกล้งองครักษ์บ้านเจ้าเลย" หยุนเฟิงรั้งแขนนางให้ออกห่างเล็กน้อย นิ้วชี้ของโหลชีเลยยังไม่ทันได้เชยคางเฉิงสิบ
ส่วนเฉิงสิบรีบถอยห่างสองก้าวอย่างรีบร้อน ใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อเล็กน้อย "แม่นาง!"
เขินอายกระอักกระอ่วนจนลืมเรียกคุณชายเลย
นิสัยเยี่ยงนี้ของแม่นางของพวกเขานับวันยิ่งตามใจตนเองขึ้นทุกที ถ้าเกิดฝ่าบาทมาเห็นเข้า คางเขาจะยังเหลือไหมเนี่ย?
"เอาล่ะเอาล่ะ ไม่ล้อเจ้าละ"
พวกเขาเดินไปสักพัก หยุนเฟิงยังได้ยินเสียงโหลชีลอยตามลมมา
"แต่ว่า เฉิงสิบ หน้าตาแดงเรื่อของเจ้านี่น่ารักมากเลยนะ"
"คุณชาย!"
"ฮะฮะฮะ..."
หยุนเฟิงอดส่ายหัวพลางหัวเราะเบาๆออกมาไม่ได้ โหลชีคนนี้ไม่เหมือนหญิงสาวที่เขาเคยพบเจอมาจริงๆ
ร้านซาลาเปาไส้สดหาได้ง่ายมาก บางทีต้องยกความดีให้จวนผู้ว่าของเมืองลั่วหยางนี้ ที่นี่ทุกตรอกซอยล้วนมีป้ายบอก ถ้าเป็นร้านที่พอมีชื่อเสียงหน่อยก็จะเขียนไว้บนนนั้น มีสัญลักษณ์ลูกศรชี้ให้
นี่ทำให้โหลชียิ่งเลื่อมใสในจวนผู้ว่าที่ชื่อว่าซู่ฉงโจวของเมืองลั่วหยาง นางพลันนึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานตอนมาเมืองลั่วหยาง หยุนเฟิงพูดเกี่ยวกับซู่ฉงโจวให้นางรู้แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งที่ยังพูดไม่จบคืออะไรนะ?
พวกเขามาไม่ได้เร็วมาก ถ้าเทียบเท่ากับเวลาพักของคนโบราณ โหลชีต้องเป็นประเภทนอนดึกตื่นสายเป็นแน่ เห็นได้ชัดว่าร้านซาลาเปานี้เปิดขายได้สักพักแล้ว ตอนพวกเขามาถึงทางร้านกำลังเก็บกวาดให้มีโต๊ะว่างพอดี ทั้งแปดคนก็นั่งหนึ่งโต๊ะสี่คนพอดี
ซาลาเปาและเต้าฮวยยังมีน้ำหวานขึ้นโต๊ะอย่างละชุด โหลชีได้กลิ่นซาลาเปาแล้วน้ำย่อยเริ่มทำงาน กำลังจะเริ่มกิน พลันได้ยินเสียงขวยเขินเอียงอายลอยเข้าหู
"คุณชาย"
โหลชีตอนแรกไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้เรียกตน รอจนนางเรียกอีกรอบ นางจึงเงยหน้าขึ้น และเห็นสาวน้อยอรชรคนหนึ่งกำลังมองมาทางตนด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
"เจ้าเรียกข้ารึ?"
"พวกเจ้ามองข้าเยี่ยงนี้ทำไม? ข้าน่ะงดงามตามธรรมชาติตั้งแต่เกิดนะ จะมาโทษข้าไม่ได้นะ!"
"คุณชาย พวกเรารีบขายยาแลกรถม้าจากไปเมืองลั่วหยางเถิด" เฉิงสิบเจ็บปวดใจยิ่งนัก เขาอยากให้ตอนที่ออกจากตำหนักจิ่วเซียวนั่นไม่ได้ยินการส่งเสียงผ่านกระแสจิตของฝ่าบาทเอาเลยจริงๆ!
"ไปครานี้ คอยตามดูนาง ห้ามมิให้นางใกล้ชิดกับชายอื่นเป็นเด็ดขาด!"
ฝ่าบาทขอรับ หน้าที่นี้มันทำได้ยากจริงๆ แม่นางช่างได้หมดไม่ว่าชายหรือหญิง จะทำเยี่ยงไรดี! อย่าว่าแต่บุรุษ ตอนนี้ก็มีสตรีชมชอบแม่นางแล้ว เขาช่างกดดันจริงๆ
เฉิงสิบมองโหลวซิ่น รู้สึกอิจฉามาก ดูไร้เรื่องทุกข์ร้อนเสียจริง มีแต่เขาที่ปวดหัวอยู่นี่
โหลชีเห็นองครักษ์ที่ใบหน้าหล่อเหลาที่สุดของตนสีหน้าแข็งเกร็ง อดส่ายหัวไม่ได้
หยุนเฟิงแนะนำไม่มีผิดจริงๆ ซาลาเปาเต้าฮวยและน้ำหวานของที่นี่อร่อยมากจริงๆ พวกเขากินกันพุงกาง พอกินเสร็จก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม ถูเปินพาพวกเจ้าลิงไปเลือกรถม้า ครั้งนี้นางจะเลือกแบบแข็งแรงที่สุดสบายที่สุด เพื่อให้ใช้ได้ตลอดไป
โหลชีพาเฉิงสิบกับโหลวซิ่นไปโรงพรรณยา
ไม่คิดเลยว่าโรงพรรณยาวันนี้จะครึกครื้นแต่เช้าอย่างนี้ โหลวซิ่นแหวกฝูงชนเข้าไปถาม "ท่านอาท่านนี้ ทำอะไรกันน่ะ?"
"เจ้าไม่รู้กระมัง โรงพรรณยาได้จิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงมาหนึ่งตัว! ทุกคนต่างอยากมาเปิดโลกกว้างสักหน่อยน่ะ!"
โหลชีที่พอได้ยินชื่อจิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงพลันตะลึง
ในโลกนี้ไม่มีทางมีจิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงเยอะขนาดนั้นมั้ง?
แต่จิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงตัวนั้นโดนท่านจินพาไปแล้วไม่ใช่หรือ? นางได้ยินเสียงคนรอบตัววิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น ต่างพูดกันเรื่องฤทธิ์ยาของจิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงนั่น
จิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีฤทธิ์ทำให้ตัวอุ่นและประสาทผ่อนคลายอยู่แล้ว และตัวจิ้งจอกม่วงเองก็เป็นสมบัติล้ำค่า ถึงจะเล็ก แต่ขนของจิ้งจอกม่วงถ้าถอนออกมาก็สามารถทำผ้าพันคอหรือถุงมือได้ ฤทธิ์ในการรักษาความอบอุ่นดีมาก ส่วนเนื้อของจิ้งจอกม่วง ถ้ากินเข้าไปถือเป็นยาบำรุงชั้นดี และยังช่วยเพิ่มพูนกำลังภายในอีกด้วย เลือดของจิ้งจอกม่วงยิ่งช่วยให้อายุยืนยาวมันสมองเพิ่มพูน
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ล้วนแต่สามารถทำให้คนตื่นเต้นด้วยกันทั้งนั้น
แน่นอนว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่ยิ่งหายากมากกว่า เพราะถ้าสามารถเลี้ยงจิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงได้ ไม่เพียงตัวเองจะได้ประโยชน์จากการอยู่ร่วมด้วยเป็นนานปี ยังดูมีอำนาจยิ่งด้วย
"ทุกท่าน ทุกท่าน โรงพรรณยาได้จิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงนี่มาอย่างไม่คาดฝัน ไม่กล้าฮุบไว้เอง เถ้าแก่ของเราจึงตัดสินใจประมูล หากท่านใดสนใจขอเชิญเข้างานได้เลยขอรับ"
"ไม่มีการปล่อยข่าวล่วงหน้าแบบนี้ จะมีผู้ซื้อที่มีเงินหนารึ?" โหลวซิ่นถามอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ