ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 249

เด็กคนนั้นดูแล้วอายุแค่สิบปี ดูผอมโซมาก ใบหน้าซีดเผือดมีแววเขียวเทา ขอบตาดำคล้ำรอบดวงตาคู่นั้น ริมฝีปากยังเป็นสีดำอีก

เขาหลับตาแน่น ดูราวกับว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ราวกับคนตาย

เสี่ยวโฉวยังอดตกใจไม่ได้ "เด็กนี่ยังมีชีวิตอยู่รึ?"

"ยังมีชีวิตอยู่" โหลชีรับคำเสียงขรึม หยิบเข็มยาวออกจากสายรัดเอว แทงเข็มไปที่สามปลายนิ้วมือของมือขวาตน มีเลือดสดไหลออกจากปลายนิ้วมือทันที

"พยุงเขาไว้"

"อ้ออ้อ ได้" เสี่ยวโฉวรีบเข้ามาพยุงเด็กนั่นไว้ เจ้าตัวใหญ่หลูยืนนิ่ง ไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ ถึงเขาจะมองไม่เห็นโหลชี แต่เสียงตะคอกของนางเมื่อครู่ทำให้เขาเชื่องนางอย่างไม่มีเหตุผล

โหลชีรีบวาดยันต์อย่างรวดเร็ว นิ้วสามนิ้วหงิกงออยู่ด้วยกัน เลือดสดสามหยดกลายเป็นหนึ่งหยดไปที่นิ้วชี้ นางเอาเลือดหยดนั้นแตะที่หน้าผากเด็ก เข็มยาวในมือฝังลงไปในตำแหน่งหัวใจของเด็กเข้าในเวลาเดียวกัน

เสี่ยวโฉวอุทานด้วยความตกใจ เบิกตากว้าง นี่นี่นี่ เข็มนี่แทงลงไปที่หัวใจเอาดื้อๆ จะไม่ตายหรอ? แต่โหลชีลงมือไวมาก นางยับยั้งไว้ไม่ทัน แต่ตกใจยังไม่ทันหายดี โหลชีก็ดึงเข็มออกแล้ว เข็มยาวที่แทงเจ้าร่างเด็กไปกว่าครึ่งมีเลือดออกมาด้วย แต่เลือดนั้นกลับเป็นสีดำ เลือดสีดำพุ่งออกมาตามทิศทางที่นางดึงเข็มออก หล่นตามปลายเข็ม กลายเป็นหยดเลือดสีดำที่ปลายเข็ม แต่กลับไม่ยอมหยดลงสักที

สีหน้าของเด็กเริ่มฟื้นฟูเป็นปกติขึ้นทันตาเห็นหลังจากที่โหลชีแตะนิ้วนั้น โหลชีหยิบขวดยาเล็กออกมา และใส่เข็มที่มีเลือดสีดำนั่นเข้าไป ปิดฝาให้แน่น และยัดกลับเข้าช่องลับของสายรัดเอวด้านนอก

การกระทำทั้งหมดของนางเฉียบคมรวดเร็ว เสร็จในคราวเดียว ไม่มีลังเลยึกยักแม้แต่น้อย เสี่ยวโฉวที่กำลังพยุงเด็กไว้กำลังจ้องมองนางอย่างตะลึง "เจ้า เจ้าเป็นอะไรกับนายท่านกันแน่?" ณ วินาทีนั้นนางเห็นเงาของนายท่านในตัวโหลชี การกระทำชัดเจนนั่น บวกกับสีหน้าเชื่อมั่นในตัวเอง ถึงทั้งสองคนจะไม่คล้ายคลึงกันเลย แต่ความรู้สึกที่นางจับได้มันเหมือนกัน

โหลชีเหล่นางหนึ่งทีไม่ตอบ และยื่นมือไปตบที่หน้าอกเด็กนั่นอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยห่างอย่างรวดเร็ว

"พรืด!"

เด็กนั่นจู่ๆก็ลุกขึ้นนั่งและกระอักเลือดออกมา

เจ้าตัวใหญ่หลูดีใจมาก "เสี่ยวเป่า! เสี่ยวเป่าเจ้าฟื้นแล้วรึ?"

เด็กที่ชื่อเสี่ยวเป่านั่นค่อยๆลืมตาช้าๆ คนแรกที่เห็นคือโหลชีที่ยืนอยู่เบื้องซ้ายของเขา เขาเหลือบตามอง และจับจ้องที่ใบหน้านางพอดี เสี่ยวเป่ารู้สึกว่า นี่คือคนที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา นางกำลังยิ้มน้อยๆให้เขาพลางบอก "อย่ากลัว ไม่เป็นไรแล้ว"

เสี่ยวเป่าพลันตาแดงเรื่อฉับพลัน ลื่นไถลลงจากหลังเจ้าตัวใหญ่หลูลงมา มาคุกเข่าลงตรงหน้าโหลชีอย่างถูกต้อง สองมือประสานกันบนพื้น และโขกศีรษะให้นางสามครั้งอย่างถูกต้องตามรูปแบบ

"ขอคุณชายโปรดช่วยเขาด้วย"

รอยยิ้มของโหลชีค่อยๆเก็บกลับมา

นี่ต้องไม่ใช่เด็กธรรมดาที่ขอทานเร่ร่อนอยู่ด้านนอกตั้งแต่เล็กแน่ เขารู้ว่าตนเองเป็นอะไร และยังรู้ว่าตอนนี้ยังไม่หายดีด้วย

เขาหลอกเจ้าตัวใหญ่หลู บอกกับเจ้าตัวใหญ่หลูว่าตนเองฝันเห็นผีทุกวัน ดังนั้นเลยเจ็บป่วยอย่างนี้ บางทีคงเพราะรู้สึกว่า ถ้าพูดความจริงออกไปเจ้าตัวใหญ่หลูก็ไม่เข้าใจ หรือไม่อาจจะไม่กล้าพูด กลัวคนพบเห็น

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม นี่เป็นเด็กที่เข้าใจเรื่องดีจนทำให้คนปวดใจ ถึงเจ้าตัวใหญ่หลูจะดื้อรั้นหัวแข็ง แต่คนแบบนี้ หากเจ้าอยากให้เขาดีกับเจ้ามากและไม่จากเจ้าไปไหน นอกจากจะเคยทำเขาซาบซึ้งใจแล้ว อาจจะเคยให้ความช่วยเหลือหรือคอยอยู่เคียงข้างเขามาก่อน

ข้างกายคนจิตใจไร้เดียงสามักไม่ค่อยเป็นคนเลว นอกเสียจากว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก

"ลุกขึ้น" โหลชีไม่ได้เข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร นางยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าออกเย็นชาเล็กน้อย

เด็กคนนั้นลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง ร่างโอนเอนเล็กน้อย โหลชีดูออกว่าขาเขาสั่นเทาเล็กน้อย น่าจะไม่เป็นไรชั่วคราว คงจะหิว สลบไสลไปสามวันไม่ตื่นเลย เจ้าตัวใหญ่หลูต้องคิดหาทางป้อนอาหารเขาไม่ออกแน่

เจ้าตัวใหญ่หลูมองเขาด้วยสีหน้าเหลื่อเชื่อ "เสี่ยวเป่า เจ้าหายแล้วนี่!"

เด็กคนนั้นยืนนิ่งแล้ว เหลือบตาขึ้นมองเขา "พี่ต้าลี่ บอกกี่ครั้งแล้วว่าข้าไม่ได้ชื่อเสี่ยวเป่า ข้าชื่อเจียวเทียนเป่า"

"เรียกเสี่ยวเป่าจำง่ายกว่า" เจ้าตัวใหญ่หลูยิ้มร่าบอก

โหลชีหันถามเสี่ยวโฉว "เจ้าพักที่ไหน?"

"โรงเตี๊ยมด้านหน้านั่น" เสี่ยวโฉวยังคงมองนางอย่างหลงใหลระคนรอคอย

"ไป"

โหลชีรู้สึกว่ามันต้องเป็นบุพเพวาสนาบางอย่าง เสี่ยวโฉวพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมที่พวกเขาพักก่อนหน้านี้

"คุณชาย ท่านมาแล้วรึ?" เถ้าแก่จำโหลชีได้แม่นนัก เพราะนางไม่เพียงมีเรื่องกับตระกูลเซียวเล็ก ตอนนี้ยังพำนักอยู่ที่ตระกูลเซียวเดิม อีก มันทำให้เขารู้สึกว่าโหลชีต้องเป็นบุคคลไม่ธรรมดาแน่ แต่ทำไมโหลชีถึงมาอยู่กับคนพวกนี้ได้ล่ะ?

เพราะเสี่ยวโฉวต้องกลับโรงเตี๊ยม ดังนั้นจึงใส่หน้ากากนั่นอีกครั้ง เถ้าแก่จะได้จำนางได้ สัมภาระของนางยังอยู่ในนั้นนะ

และก่อนหน้านี้ที่เจ้าตัวใหญ่หลูแบกเจียวเทียนเป่ามาถึงโรงเตี๊ยมนี้ ร้องปาวๆจะหาหมอโจว เถ้าแก่จดจำเขาได้แม่นยำมากเหมือนกัน

โหลชีกอดจิ้งจอกม่วงไว้ พลางพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย "เถ้าแก่ ยกอาหารขึ้นโต๊ะมาเลย อย่าให้มันนักนะ"

พอได้ยินว่าอาหาร เจ้าตัวใหญ่หลูทนไม่ไหวกลืนน้ำลายไปสามคำเอื๊อก

เสี่ยวเอ้อร์พาพวกเขาเข้าห้องส่วนตัว เป็นห้องนั้นที่คราวก่อนเซียวฉิงนัดเจอนาง เจ้าตัวใหญ่หลูตอนแรกเข้าไปมีแววกระอักกระอ่วน เหมือนกลัวว่าตนจะทะเล่อทะล่าทำลายข้าวของในห้องนี้

โหลชีเห็นอย่างนั้น ก็รู้สึกว่าเจ้าตัวใหญ่หลูนี่ไม่ได้โง่เลย เขาอาจจะทำตัวผลีผลามทะเล่อทะล่าตอนอยู่ข้างนอก อาจจะเพราะร้อนใจอยากช่วยเจียวเทียนเป่ามากเกินไป แต่ตอนนี้เจียวเทียนเป่าดูปกติแล้ว เขาก็สงบลง ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามอีก ยิ่งรู้ด้วยว่าถ้าเกิดเขาทำข้าวของเหล่านี้แตกหักไป คงไม่มีปัญญาจ่ายเงินชดเชยแน่

โหลชีชี้ไปที่โต๊ะแปดเซียนพลางบอกว่า "นั่งด้านข้างนั่น"

เจ้าตัวใหญ่หลูเดินไปนั่งอย่างว่าง่าย

เสี่ยวโฉวพูดอย่างแปลกใจว่า "เขาดูจะกลัวเจ้า"

อันที่จริงนี่ไม่ใช่กลัว เป็นความยำเกรงอย่างหนึ่ง อันที่จริงเจ้าตัวใหญ่หลูรู้ว่าเจียวเทียนเป่าอาจจะรอดยาก ในสายตาคนธรรมดา สีหน้าก่อนหน้านี้ของเจียวเทียนเป่าคือสีหน้าของคนตายแล้ว เขาแค่ไม่อยากยอมแพ้เท่านั้น และโหลชีช่วยเจียวเทียนเป่าให้ฟื้น ทำให้สีหน้าเขาดีขึ้นมาก ตอนนั้นก็มีรังสีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่กล้าขัดขืน ดังนั้นในใจเจ้าตัวใหญ่หลู โหลชีเป็นคนที่เก่งมาก เขารู้สึกว่าตนควรจะฟังเขา

อันที่จริงโหลชีได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวบางอย่างจากตัวพวกเขานานแล้ว และไม่รู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามานานแค่ไหนแล้ว นางให้เจียวเทียนเป่าไปนั่งตรงนั้นด้วย ตนเองพาเสี่ยวโฉวมานั่งข้างโต๊ะน้ำชา เฉิงสิบจุดเตาเล็กเตรียมต้มน้ำชงชา

"นั่ง"

เสี่ยวโฉวนั่งลง จ้องมองโหลชีเขม็ง สุดท้ายทนไม่ไหวถามออกมาว่า "ท่านคือคุณหนูใช่หรือไม่?"

คุณหนู?

โหลชีเลิกคิ้ว และไม่ได้ปฏิเสธ กลับย้อนถาม "พ่อบุญธรรมข้าไปจากเจ้านานแล้ว และพวกเจ้ามีบุพเพเป็นนายบ่าวกันแค่สามปี ทำไมยังตามหาเขาอีกล่ะ?"

พอได้ฟังนางพูดคำนี้ เสี่ยวโฉวเหมือนได้คำยืนยัน "เป็นคุณหนูจริงๆด้วย!" นางลุกขึ้นยืนทันที และคารวะโหลชีหนึ่งครั้ง "เสี่ยวโฉวคารวะคุณหนู!"

"เอาล่ะเอาล่ะ นั่งลง" โหลชีกุมขมับ

"คุณหนู เป็นนายหนึ่งวันเท่ากับเป็นนายชั่วชีวิต ถึงข้าจะได้ติดตามนายท่านแค่สามปี แต่บุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าของนายท่านข้าจำได้ไม่เคยลืม และสามปีนั้นนายท่านได้สั่งสอนความรู้ให้แก่ข้ามากมาย หากมิมีสามปีนั้นข้าคงไม่มีความสามารถอยู่คนเดียวมาได้"

เสี่ยวโฉวนี่เป็นคนรู้จักบุญคุณคน

"งั้นเจ้าไม่โกรธที่เขาทิ้งเจ้ารึ?"

"ไม่โกรธ ตอนนั้นข้ารับรู้ได้ว่านายท่านไม่สบายใจ ราวกับมีเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น ข้ารู้สึกว่าเขาอาจจะกลัวข้าตามเขาไปแล้วจะมีอันตราย คุณหนู ตอนนี้นายท่านสบายดีไหม? อยู่ที่ไหนกัน?"

โหลชีเลิกคิ้ว รู้สึกว่าเสี่ยวโฉวนี่อาจจะไม่ได้มีแค่ความรู้สึกฉันท์นายบ่าวกับนักพรตเลว นักพรตเลวตอนหนุ่มๆหน้าตาดีมาก และยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนาง เป็นวีรบุรุษของนาง จากนั้นทั้งคู่อยู่ร่วมกันมาสามปี จิตใจสาวน้อยเกิดหวั่นไหวมันก็เป็นเรื่องปกติ

"ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร ข้าไม่ได้เจอเขานานมากแล้ว ตอนนี้ก็ไปเจอไม่ได้ น่าจะไม่เป็นอะไร ลองเล่าเรื่องในหลายปีนี้ของเจ้ามาดีกว่า"

เสี่ยวโฉวดูผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ ถอนหายใจแผ่วเบา และเล่าเรื่องราวหลายปีมานี้ของนาง

ตอนนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนเสี่ยวโฉวพึ่งจะอายุสิบห้า หลังจากพบว่าซวนหยวนคงจากไปแล้ว นางรอเขาอยู่หนึ่งปีเต็มในเมืองนั้น ภายในปีนั้นนางหาเงินโดยการปักผ้าชุนผ้า หนึ่งปีหลังจากนั้นนางพบว่าเขาจากไปจริงๆ ไม่กลับมาแล้วจริงๆ จึงเก็บรวบรวมเงินที่หามาได้ตามหาเขาไปทั่ว นางเคยเป็นสาวใช้มาก่อน เคยปักชุนผ้า แต่สุดท้ายงานที่นำมาหาเลี้ยงชีพตนเองจริงๆกลับเป็นการอาศัยวิชาความรู้เรื่องตัวยาที่ซวนหยวนคงเคยสอนนาง นางไปทุกแห่งหน ตอนแรกได้ใช้ตัวยาที่ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำออกมาปกปิดความงามของตนเอง ใช้ผ้าหนามาพันเรือนร่างอรชรของตนเอง จากนั้นขุดหาตัวยาไปขาย

พอเวลานานเข้า เก็บเงินได้มากหน่อย นางยังได้เรียนวิชาจับผีรักษาคนที่เอาไว้หลอกคนจากพวกนักพรตพเนจร บางครั้งถ้าหาตัวยาไม่ได้จริงก็จะอาศัยวิธีนี้ไปหลอกตามบ้านคนมีเงิน อาจเพราะนางโชคดี และยังเฉลียวฉลาด เลยไม่เคยโดนจับได้เลย

หลังจากตามหามาสิบกว่าปี เสี่ยวโฉวรู้สึกว่าตนอาจจะหานายท่านไม่เจออีกแล้วก็ได้ ดังนั้นจึงปักหลักอาศัยในหมู่บ้านชาวเขาที่อยู่ไม่ห่างจากเมืองลั่วหยาง การอยู่ในหมู่บ้านชาวเขาเพราะเห็นว่าไม่ต้องใช้เงินมากนัก และคนในหมู่บ้านก็น้อย ไม่มีใครยุ่งเรื่องนาง แต่นางก็ไม่ได้ตัดใจซะทีเดียว ยังคงออกมาสืบข่าวคราวเป็นระยะ ดูว่าจะหาข่าวเกี่ยวกับซวนหยวนคงได้บ้างหรือไม่

โจวเป็นแซ่เดิมของนาง เดิมนางชื่อโจวเสี่ยวโฉว

"ทำไมเจ้ามิออกเรือนเล่า?"โหลชีรู้สึกว่าผู้หญิงในยุคนี้ถ้าจะไม่แต่งงาน ต้องมีความกล้าหาญมากจริงๆ เพราะผู้หญิงที่อายุมากแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ถ้าไม่ใช่วิทยายุทธ์สูงมาก ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีเงินมีอำนาจ หรืออย่างสุดท้ายคือนางชี

"ข้าไม่อยาก ข้าอยากตามหานายท่าน ถ้าออกเรือนแล้วจะไปหานายท่านได้อย่างไร?" โหลชีพูดไม่ออก "ต่อไปไม่ต้องตามหาแล้ว"

"เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะติดตามคุณหนู" เสี่ยวโฉวพูดทันที

โหลชีกำลังจะพูดต่อ อาหารยกมาพอดี เจียวเทียนเป่าหิวแล้ว และกินเร็วมาก แต่การกินจุของเจ้าตัวใหญ่หลูมันทำให้พวกเขาตกใจแทบตายจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ