ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 250

"เสี่ยวเอ้อร์ เอาข้าวมาอีกถังหนึ่ง!"

เสี่ยวเอ้อร์คิดว่าพวกเขาคนเยอะเลยยกถังข้าวมาให้ถังเดียว ใครเลยจะรู้พอขึ้นมาเจ้าตัวใหญ่หลูตักชามเล็กสองชามให้เจียวเทียนเป่า จากนั้นตนเองเอาถังแทนชาม ตักข้าวยัดๆเข้าท้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นขอถังที่สอง!

โหลวซิ่นยืนเบิกตากว้างอ้าปากค้างอยู่ข้างๆ พูดลอยๆออกมาว่า "นี่เรียก大个อะไรล่ะ เปลี่ยนชื่อเป็นถังข้าวเลยดีกว่า"

เจ้าตัวใหญ่หลูพอได้ยินชื่อนี้ เขาคีบเต้าหู้ยัดเข้าปากหนึ่งชิ้น ถึงตอบว่า "ทำไมเจ้ารู้ฉายาข้าล่ะ?"

โหลวซิ่นตะลึง "ฉายาเจ้ามิใช่เจ้าตัวใหญ่หลูรึ?"

"ใช่ไง ข้ามีหลายฉายา มีเจ้าตัวใหญ่หลู มีถังข้าวหลู และเจ้าโง่"

พรืด

เสี่ยวโฉวหลุดหัวเราะ "งั้นชื่อเจ้าจริงๆมีรึไม่?"

"มีสิ จะไม่มีได้อย่างไร ชื่อข้าคือหลูต้าลี่!"

โหลชีส่ายหัว

"หลูต้าลี่ ต่อไปเวลาคนถามว่าเจ้าชื่ออะไร ฉายาอื่นไม่ต้องใช้แล้ว ให้บอกว่าเจ้าชื่อหลูต้าลี่ก็พอ"

"ขอรับ ข้า ข้าเชื่อฟังเจ้า" หลูต้าลี่มองไปยังโหลชี จากนั้นเกาหัวแกร่กๆ ถามอย่างเก้อเขินว่า "คุณหนู ต่อไปข้าติดตามท่านด้วยได้ไหม?"

เมื่อครู่เขาได้ยินเสี่ยวโฉวพูด ในใจเริ่มหวั่นไหว แน่นอน ที่หลูต้าลี่หวั่นไหวน่ะเหตุผลมันง่ายมาก คุณชายคนนี้ร้ายกาจนัก ช่วยเสี่ยวเป่าได้ และยังทำให้หมอโจวยอมติดดามเขา และยังทำให้เขากินอิ่มได้!

เสี่ยวโฉวถลึงตาใส่เขา "นี่เป็นคุณหนูของข้า ไม่ใช่คุณหนูของเจ้า!"

เจียวเทียนเป่าหันไปเหล่โหลชี และพูดต่อว่า "คุณชาย เทียนเป่าก็อยากติดตามท่าน"

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นตะลึงอึ้ง ไม่สิ นี่หมายความว่า แม่นางของเขาจะรับคนเพิ่มอีกแล้ว? ก่อนหน้านี้รับพวกถูเปินมายังพอว่า พวกนั้นวิทยายุทธ์ไม่สูง แต่กระตือรือร้นเฉลียวฉลาด ควบรถม้าป้อนอาหารม้าหาโรงเตี๊ยมหาภัตตาคาร เรื่องอะไรทำได้หมด ตอนนี้สามคนนี้คืออะไรกัน?

สตรี เด็ก ยักษ์ปักหลั่นคนหนึ่ง

ปัญหาคือเจ้ายักษ์ปักหลั่นนี่ยังกินจุมาก

"คุณชาย?" พวกเขาหันไปมองโหลชีพร้อมกัน โหลชีกลับเลิกคิ้ว ยิ้มน้อยๆพูดว่า "ได้สิ ติดตามข้ากันให้หมดนี่แหละ!"

ต่อให้หลูต้าลี่กินเก่งแค่ไหน ก็ล้มนางไม่ได้หรอก นางมีเงินเยอะมาก

แต่กำลังทั้งตัวของหลูต้าลี่ และความสามารถในการตามหาคนชนิดที่ตามติดไม่ลดละชนิดว่าต่อให้ตามไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็จะทำ กลับเป็นสิ่งที่นางต้องการ

ส่วนโจวเสี่ยวโฉว นางเคยรับปากนักพรตเลวแล้วว่าจะดูแลให้ อีกอย่างข้างกายนางก็ไม่มีผู้หญิงเลย มีแต่ผู้ชายเกกมะเหรก ตอนนี้มีผู้หญิงเพิ่มมาคนหนึ่งก็ไม่เลว

พอหลูต้าลี่กับเจียวเทียนเป่ากินเสร็จ โหลชีก็ให้โหลวซิ่นพาพวกเขาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่คนละสามชุดที่ร้านขายเสื้อผ้า หลูต้าลี่รูปร่างสูงใหญ่กว่าใคร ร้านเสื้อผ้ายังต้องดัดแปลงสดเพิ่มเนื้อผ้าให้ยาวขึ้นตรงนั้น ที่ทำให้คนคาดไม่ถึงคือ หลูต้าลี่ที่อาบน้ำจัดการตัวเองจนสะอาดสะอ้านแล้วจะหน้าตาไม่เลวเลย และเพราะร่างกายสูงใหญ่ ยิ่งดูแล้วเหมือนแม่ทัพคนหนึ่ง

โหลชีไม่สามารถพาพวกเขาเข้าจวนตระกูลเซียวได้ เลยเปิดห้องให้พวกเขาที่โรงเตี๊ยมอีก ให้เสี่ยวโฉวคอยดูพวกเขาไว้หน่อย นางวางเงินหนึ่งร้อยตำลึงไว้ที่เถ้าแก่เลย เงินค่าข้าวที่หลูต้าลี่หลายวันนี้กินให้หักจากตรงนี้

"เดิมเจ้าตามข้ามาทำอะไร?" จู่ๆโหลชีก็ถามเสี่ยวโฉว

เสี่ยวโฉวคิดว่านางลืมเรื่องนี้ไปแล้ว พอเจอนางถามเข้า ก็เหงื่อตกอย่างร้อนตัวพลางว่า "เอ่อ พูดไปคุณหนูอย่าโกรธนะเจ้าคะ เดิมข้าได้กลิ่นยาชั้นดีบนตัวคุณหนู ก็เลยคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ถ้าจะ--"

"จะขโมยมาสักหน่อย?" โหลชีพูดต่อให้นาง

เสี่ยวโฉวหน้าแดงก่ำ สตรีวัยสามสิบกว่าปี แต่เพราะมิเคยได้ผ่านบุรุษใดมาก่อน ในใจมีแต่ความเชื่อมั่น ดังนั้นจึงเขินอายเหมือนสาวน้อย พอเห็นนางเป็นแบบนี้ โหลชีชอบรู้สึกว่าตนต่างหากที่เป็นผู้หญิงแก่วัยสามสิบกว่าคนนั้น

"คุณหนูอย่าพูดไป ยาบนตัวท่านข้าเดาว่าแค่ต้นเดียว ชาตินี้ก็ไม่ต้องออกไปลำบากหาเงินแล้วล่ะ" เสี่ยวโฉวยิ้มออกมา

โหลชีมองบน ตาดีเหลือเกินนะ

"หน้ากากนั่นใครให้เจ้ามากัน?"

"หน้ากาก? ใต้เท้าซู่ของเมืองลั่วหยางให้ข้ามา มีครั้งหนึ่งข้าทายาบนหน้าแล้วถูกเขาพบเห็นเข้า เขาบอกว่าถึงยานั่นจะไม่มีพิษ แต่ใช้มากไป สีก็อาจจะแทรกซึมเข้าผิวหนังได้ ต่อไปอาจจะหน้าดำขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นเขาจึงให้หน้ากากข้ามา จะว่าไปใต้เท้าซู่ก็นับเป็นคนดีคนหนึ่งเลย"

โหลชีใจกระตุก นางยังคิดว่าหยุนเฟิงถึงจะมีหน้ากากมากมาย ซู่ฉงโจวใต้เท้าซู่นั่นก็มีหน้ากากแบบนี้ด้วย? น่าเสียดายที่ครั้งก่อนไม่มีโอกาสไปเจอซู่ฉงโจวใต้เท้าซู่คนนั้น คืนนี้นางกลับไปตระกูลเซียวไม่ได้แล้ว แต่ก็ต้องพักผ่อน คืนนี้นางจะพักอยู่ที่ห้องเสี่ยวเป่า

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นก็อยู่ด้วย

"แม่นาง เสี่ยวเป่ามีปัญหาอะไร? ไม่ใช่เจ็บป่วยหรอ?"

กลางคืนยาวนานนัก จะมานั่งรออยู่นี่ก็ใช่ที่ แม่นางของพวกเขาพูดอะไรก็น่าฟังไปหมด

โหลชีหันไปมองบนเตียง เจียวเทียนเป่านอนหลับสนิทบนเตียง แต่นางรู้ดีว่าการหลับสนิทแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่ปกติ ลมหายใจอ่อนมาก หายใจอ่อนมาก ต้องเดินเข้าไปใกล้ถึงจะเห็นว่าหน้าอกมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย

"เขาไม่ได้ป่วย" โหลชีพูดเสียงเนิบ "เขาโดนกู่"

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นตกใจไปตามๆกัน "โดนกู่?"

"อืม และกู่ชนิดนี้" สายตานางมองผ่านใบหน้าพวกเขา พอเห็นสีหน้าพวกเขาเคร่งเครียด ก็พากันคิดในแง่ร้าย หันกลับไป กดเสียงลงต่ำทันที ใช้น้ำเสียงเนิบนาบพูดเน้นทีละคำอย่างเชื่องช้าว่า "กู่ชนิดนี้ เรียกว่ากู่ผี..."

ระหว่างพูด นางหันมาพูดอย่างช้าๆ ดวงตาหายไป สองตาเหลือแค่ตาขาว แลบลิ้นออกมา ใบหน้าไม่มีสีเลือดเลยสักนิด ใบหน้าแข็งเกร็งไม่มีความรู้สึก ยื่นมาเบื้องหน้าพวกเขาอย่างช้าๆ

"เฮือก!"

"แม่นาง!"

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นตกใจมาก ทั้งคู่กระโดดพรวดขึ้นมา ทำเก้าอี้ล้ม โหลวซิ่นยิ่งแทบล้มลงไปนั่งกับพื้นเลยทีเดียว

องครักษ์หน้าตาหล่อเหลาสองคนตกใจไม่น้อย

โหลชีกลอกตากลับมาเป็นปกติ พลางนวดหน้า ขยับคอเล็กน้อย สีหน้าขาวซีดกลับมาขาวอมชมพูอีกครั้ง

นางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขณะที่ชี้ไปยังพวกเขา

"ฮะฮะ พวกเจ้านี่ขี้ขลาดชะมัดเลย!"

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นถึงรู้ตัวว่าพวกตนโดนแกล้ง ทั้งคู่ทำหน้าแหย ไม่รู้จะทำยังไงดี

ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยระคนหน่ายใจว่า "แม่นาง เหตุใดท่านจึง--"

โหลชีหัวเราะร่วน "ข้ากลัวพวกเจ้าเฝ้ายามกันดึกดื่นแล้วทนไม่ไหวไง เป็นยังไง ตอนนี้รู้สึกตาตื่นบ้างไหม?"

แค่ตาตื่นที่ไหนกัน นี่มันเกือบทำพวกเขาตกใจจนเป็นบ้าเลยต่างหาก

โลกนี้มีเจ้านายอย่างนี้ที่ไหนกัน ยังแต่งกายเป็นผีมาหลอกพวกเขา!

ตอนนี้เองเสี่ยวเป่ากลับฟึดฟัดสองที ราวกับจมูกมีอะไรทำให้ไม่สบาย โหลชีเก็บรอยยิ้มสนุกทันที โบกมือบอก "เฉิงสิบเฝ้าประตู โหลวซิ่นเฝ้าหน้าต่าง อีกครู่ไม่ต้องห้ามเขา ตามไปก็พอ!"

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายนาง ก็เห็นเสี่ยวเป่าที่หลับสนิทลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง จากนั้นเคลื่อนตัวขาข้างหนึ่งลงจากเตียง ขาอีกข้างตามลงมา และยืนขึ้น

ส่วนดวงตาเขาเปิดครึ่งปิดครึ่ง ไม่เหมือนตื่นแล้ว เขายืนอยู่ครู่หนึ่ง และเดินไปทางหน้าต่าง

โหลวซิ่นมองดูเขาอย่างตกตะลึง และนึกถึงคำที่โหลชีพูดขึ้นมาได้ รีบขยับออกข้างทันที

แต่เขายังไม่ค่อยอยากเชื่อ นี่มันชั้นสองนะ เด็กคนนี้ดูแล้วไม่มีวิทยายุทธ์เลย เขาจะลงไปได้อย่างไร?

แต่ภาพต่อมาก็ทำให้โหลวซิ่นเปลี่ยนความเชื่อไปได้เลย

เขาเห็นแค่เสี่ยวเป่าปีนหน้าต่าง จากนั้นกระโดดลงจากหน้าต่างเลย!

"...!"

เขาแทบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ และเกือบจะทนไม่ไหวยื่นมืออกไปจับเขาไว้ แต่เพราะในใจจำคำพูดของโหลชีได้แม่น จึงบังคับตัวเองไว้ทัน

เขาชะโงกหัวออกไปดู เห็นแค่เสี่ยวเป่าลงพื้นด้วยสองขาอย่างแผ่วเบา ไม่มีเสียงใดเลยแม้แต่น้อย

"สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?"

เสี่ยวเป่าไม่มีวิชาตัวเบา เขากระโดดลงไปง่ายดายเยี่ยงนี้เลย และลงพื้นอย่างไร้เสียง? แถมยืนตรงอีก?

"อย่ามัวแต่อึ้ง รีบตามไป" โหลชีวิ่งเข้ามา ตบหัวเขาหนึ่งที และกระโดดลงจากหน้าต่างไปก่อน เร่งรีบตามไป

เสี่ยวเป่าใส่รองเท้าใหม่ ใช่ รองเท้าใหม่ ก่อนเข้านอนโหลชีให้เขาใส่ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้า เขาไม่ได้ถามนางว่าทำไม มีแต่เชื่อฟัง

มิเช่นนั้นตอนนี้เขาคงออกมาเท้าเปล่า ใส่แค่เสื้อในเท่านั้น กลางดึกของฤดูใบไม้ผลิ ในเมืองนั่วราของเป่ยชางนี่ก็ยังหนาวมากอยู่ดี ถ้าไม่ใส่รองเท้าไม่ใส่เสื้อหนาวออกมา คืนนี้เขาคงแข็งตายแน่

เสี่ยวเป่าคล้ายเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย โหลชีกับเฉิงสิบโหลวซิ่นเดินตามข้างหลังอย่างเนิบช้า

"แม่นาง เขาทำอะไรน่ะ?" โหลวซิ่นถามอย่างกดเสียงต่ำ

โหลชีสีหน้าเย็นชา ส่ายหัวบอก "เรื่องนี้ข้าแค่เคยได้ยินพ่อบุญธรรมเล่าให้ฟังเท่านั้น ไม่เคยเจอจริงๆ แต่ต่อจากนี้หากพวกเจ้าพบเห็นอะไร ห้ามส่งเสียงดังเด็ดขาด ห้ามทำให้เสี่ยวเป่าตกใจ"

นางไม่แน่ใจว่าต่อมาเสี่ยวเป่าจะเป็นแบบที่นักพรตเลวเคยเล่าให้นางฟังหรือเปล่า ไปทำเรื่องที่คนยากจะรับได้พวกนั้น ดังนั้นเลยยังไม่บอกพวกเขา

ตอนนี้เองเสี่ยวเป่าพลันหยุดยืนหน้าบ้านหลังหนึ่ง

เขาหมุนตัวอย่างแข็งเกร็ง และเริ่มปีนกำแพง การกระทำของเขาดูแปลกนัก ทั้งๆที่แข็งเกร็ง แต่กลับเร็วมาก ใช้ทั้งมือและเท้า ปีนขึ้นไปอย่างไร้สิ่งกีดขวาง จากนั้นก็กระโดดลงไปเลย

"ไป"

พวกโหลชีสามคนถีบปลายเท้าเล็กน้อย ร่างก็ลอยขึ้นไปบนกำแพง พวกเขาเห็นเสี่ยวเป่ากำลังเดินเข้าในเรือนด้านใน ตอนนี้เองที่เฉิงสิบและโหลวซิ่นพึ่งสังเกตเห็นว่า เขาเดินไม่มีเสียง

ไม่รู้ทำไม พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา รู้สึกว่าทั้งหมดนี่มันแปลกพิกลนัก

โหลชีตามเข้าไป พวกเขาก็รีบตามไปเช่นกัน

นี่มิใช่บ้านคนตระกูลร่ำรวยอะไรนัก ดูแล้วเป็นบ้านคนธรรมดา พวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจที่ประตูห้อง คงจะเป็นคนรับใช้ที่เลี้ยงไว้ดูแลบ้าน ด้านหน้ามีเสียงหายใจหนักบ้างเบาบ้าง คงจะเป็นคนรับใช้กับแม่บ้าน แต่เพราะเสี่ยวเป่าเข้ามาอย่างเงียบเชียบ และวิชาตัวเบาของพวกโหลชีก็ถึงระดับสูงสุด มิได้ทำให้เกิดเสียงอะไร ดังนั้นคนในบ้านนี้จึงยังหลับกันดีอยู่

เสี่ยวเป่าเข้าไปในเรือนด้านใน และมุ่งตรงไปยังห้องนอน แทบไม่ต้องคิดเลย ประหนึ่งว่าคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ