ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 256

วู๊วูที่ได้รับจุมพิตชื่นชมท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง ความได้ใจนี้สามาราถดูได้จากขนมันที่เปล่งประกายเพิ่มขึ้นหลายส่วนและหางที่กระดิกเป็นพักๆ

"วู๊วู--"

ใช่ไหมใช่ไหม มันไร้เทียมทานนะ!

โหลชีอุ้มจิ้งจอกม่วงวู๊วูที่ทำหน้าที่เป็นตะเกียงเดินเข้าไปในทางเดิน

ปกติฝีเท้านางก็เบาอยู่แล้ว แต่ยังคงได้ยินชัดเจนในทางเดินที่เงียบสงัดนี้ ทีละก้าวทีละก้าว พอส่งออกไปก็ถูกสะท้อนกลับมา เหมือนเสียงสะท้อน

ทางเดินนี้ยาวมาก และลดเลี้ยวเคี้ยวคดไม่ใช่ทางตรง

และไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหนแล้ว โหลชีรู้สึกแค่ว่าตนใกล้จะหิวจนเป็นลมแล้ว นางหยุดฝีเท้าลง เบื้องหน้าพลันมืดลง

"วู๊วู?"

โหลชีก้มหัวลง เห็นวู๊วูสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง นอนขดตัวในอ้อมแขนนางหายใจรวยริน เหมือนสูญเสียพลังงานชีวิตไปมากมาย

"วู๊....."

วู๊วูร้องออกมาเสียงแผ่วเบา ไม่เงยหัวขึ้นมา

โหลชีครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และคาดเดาว่าเพราะมันใช้พลังงานมากเกินไป เลยทั้งโกรธทั้งปวดใจ "เจ้าจิ้งจอกตัวนี้นี่ ทำให้ขนตัวเองเปล่งแสงต้องสูญเสียพลังงานมากขนาดนี้ เจ้ายังกล้าใช้อีก?" เจ้าจิ้งจอกโง่นี่ช่างโง่จริงเพื่อจะส่องแสงสว่างให้นางเนี่ย

"วู๊วู...." เสียงร้องอ่อนระโหยนี่เหมือนลูกแมวพึ่งเกิดเลย

ในใจโหลชีอ่อนยวบ คราวนี้จึงหยิบเม็ดยาออกมาป้อนให้มันอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ไม่ให้มันทำเรื่องโง่ๆอีก อุ้มมันแน่นขึ้น ตัวเองคลำหาทางเดินต่อไป

ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหนแล้ว นางได้ยินเสียงหนูจิ๊กจั๊กๆไปมาก็หยุดชะงัก นางยังทนไม่กินไม่ดื่มได้ เพราะยังไงตอนนี้กำลังภายในนางลึกล้ำ แต่เมื่อกี้จิ้งจอกม่วงเสียพลังงานเกินไป จะอาศัยเม็ดยาคอยฟื้นฟูดูจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่

นางหยิบเข็มเงินหลายเข็มออกมาจากสายรัดเอว ยืนอยู่ในที่มืดไม่ขยับเลยสักนิด ผสานตัวเองเข้าไปในความมืด ดวงตาเริ่มใช้ได้นิดหน่อย พอเห็นเค้าโครงของทางเดินลางๆ

จิ๊กจิ๊ก

เข็มในมือโหลชีพุ่งออกไป ปักเข้ากับหนูป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้าอย่างจัง

นางเดินเข้าไป หยิบหนูป่าตัวนั้นขึ้นมา พิชิตวันปาดลงไป เลือดหนูไหลริน "วู๊วู"

วู๊วูอาศัยกินสัตว์เล็กดำรงชีวิตตอนอยู่ในหุบเทพมาร สัตว์ประเภทหนูป่านี่เป็นสิ่งที่มันรักที่สุด พอมาติดตามนางถึงเริ่มกินเนื้อสุก แต่ตอนนี้ไม่สามารถย่างได้ และไม่มีอย่างอื่นที่อร่อยให้กิน การกินเลือดหนูดีกว่าหิวตายคอแห้งตาย

วู๊วูเหมือนรู้ว่านางไม่กินเลือดหนู เลยไม่ได้แบ่งให้นาง ดูดกินเลือดหนูเข้าไปอย่างตะกลุมตะกลาม ดื่มสิ ทำไมจะไม่ดื่ม ไม่ดื่มก็ตายแล้ว

เลือดหนูป่าตัวหนึ่งไม่ได้มีมากมายนัก แต่มันก็เพียงพอให้วู๊วูพอคลายหิวไปได้บ้าง

โหลชีรู้ว่า มีหนูป่าอยู่ ใกล้ๆนี้ต้องมีทางออกอื่นหรือห้องอื่นแน่ นางเลยยิ่งระแวดระวังมากขึ้น

เวลานี้มือของนางลูบไปเจอจุดนูนขึ้นบางจุด ตอนจะเริ่มสำรวจสักหน่อย จุดที่นูนขึ้นมานั่นกลับเซ็นซิทีฟอย่างน่าตกใจ มือนางขยับไปโดนแค่นิดเดียวก็ทำมันกดลงไป

ครึก---

เสียงประตูหินเปิดออก จากนั้นแสงสว่างสาดเข้ามา เหมือนกับมีช่องทางเปิดไปสู่โลกใหม่ ด้านนอกประตูเป็นป่าลึก มีระเบียงหินที่มีตะไคร่ขึ้นเขียวครึ้มไปหมด ด้านบนมีต้นไม้ที่ลำต้นแห้งและมีเถาวัลย์เกี่ยวพันไปมา ใยแมงมุมที่ตกลงมาจากด้านบน มีแมงมุมตัวใหญ่สีน้ำตาลแดงปีนอยู่ด้านบนเป็นหินรูปร่างแปลกๆมากมาย ดอกไม้ที่ดูสีสดสวยงาม ทางที่ดูไม่เหมือนทาง--

มีรอยฝ่าเท้าเล็กใหญ่แทรกกันไปมา

โหลชีรีบควบคุมหัวใจที่เต้นแรก รีบเข้าไปสำรวจดูอย่างแน่วนิ่ง นางสามารถแยกรอยฝ่าเท้าเฉิงสิบกับโหลวซิ่นได้ เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนที่ร่วมเดินทางผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน นี่เป็นความเคยชินของนาง เพื่อนพ้องทุกคน นางมักจะแอบสังเกตลักษณะพิเศษและความเคยชินบางอย่างของพวกเขาเสมอ เพราะบางครั้งเวลาเจออันตราย ลักษณะพิเศษพวกนี้จะสามารถทำให้นางมีโอกาสหาพวกเขาเจอ บางทีเวลาตนเจออันตรายก็จะคิดว่าใครกันที่จะสามารถมาช่วยนางได้ เรื่องนี้แทบจะกลายเป็นความเคยชินของนาง

บวกกับเฉิงสิบกับโหลวซิ่นหลายเดือนมานี้อยู่กับนางตลอด ต่อให้นางไม่จงใจสังเกตพวกเขา ความเคยชินนี้ก็จะทำให้นางจดจำพวกเขาได้

โหลชีลิงโลดในใจ หวังว่านางจะเจอรอยเท้าของเฉิงสิบกับโหลวซิ่นที่นี่

นั่นไง นางเจอรอยเท้าของทั้งสองคนแล้ว! หนึ่งในนั้นมีรอยเท้าหนึ่งใหญ่เป็นพิเศษ นั่นต้องเป็นของเจ้าตัวใหญ่หลูแน่ เขาสูงมาก ในขณะเดียวกันรอยเท้าก็ใหญ่มากด้วย

ยังมีที่เล็กลงมาหน่อย เป็นของเสี่ยวโฉว

อีกห้ากลุ่มล้วนเป็นรอยเท้าของชายวัยฉกรรจ์ ถ้าอย่างนั้นควรจะเป็นของพวกถูเปิน

สรุปนี่มากันหมดจริงๆแฮะ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย? โหลชีถอนหายใจยาว กำลังจะลุกขึ้นมา พลันใจกระตุกวูบ นางรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากลตลอด แต่ตอนนี้พึ่งนึกออกว่า รอยเท้าของทุกคนนางเห็นแล้ว แล้วของเสี่ยวเป่าล่ะ?

รอยเท้าของเจียวเทียนเป่าล่ะ?

ตามหลักแล้ว เขาเป็นเด็กเพียงคนเดียวในนี้ รอยเท้าของเขากับของเสี่ยวโฉวที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในนี้น่าจะหาได้ง่าย แต่ทำไมรอยเท้าของทุกคนอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีของเขา

โหลชีขมวดคิ้ว คนอื่นค่อยว่ากันแล้วกัน ลองไล่ตามรอยเท้านี่ไปก่อน

ด้านบนเป็นซากปรักหักพังทั้งแถบ พระราชวังใต้ดินด้านล่างยังมีหลายส่วนที่ยังคงสภาพดีอยู่มีแค่บางส่วนที่พื้นแตก อันที่จริงถึงจะไม่ได้สืบเรื่องที่นี่ แต่หลังจากตรวจสอบดูแล้วโหลชีก็สรุปออกมาได้แบบนี้ ที่นี่เคยมีแผ่นดินไหวมาก่อน และมันก็นานมาแล้ว ชั้นหินที่แตกเหล่านั้นล้วนขึ้นหญ้าหมดแล้ว บางแห่งยังมีต้นไม้ขึ้น

ตอนอยู่ที่เมืองนั่วรานางยังรู้สึกถึงลมหนาวฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเล็กน้อย บางจุดที่มีหิมะเกาะยังไม่ละลาย เห็นได้ชัดว่าฤดูใบไม้ผลิมาเร็วที่สุดในป่า ในนี้เขียวชอุ่มมานานแล้ว แต่เขียวชอุ่มในนี้ไม่ถือเป็นคำคุณศัพท์ที่ดีเลย เพราะพันธุ์พืชพวกนี้ถึงจะดูมีชีวิต แต่ไม่รู้ทำไม โหลชีรู้สึกว่าที่นี่ดูมีกลิ่นอายความตายและความมืดทะมึนอยู่

ความรู้สึกนี้ยิ่งนางเดินเข้ามายิ่งรุนแรงขึ้น

ในใจโหลชีเริ่มร้อนใจขึ้นมา นางมีลางสังหรณ์ ด้านหน้าต้องมีเรื่องอะไรที่ทำคนตกตะลึง และยังต้องอันตรายอย่างมากแน่ นางไม่รู้ว่าพวกเฉิงสิบจะผ่านไปกี่วันแล้ว แต่นางหวังว่าจะสามารถสกัดพวกเขาก่อนที่เรื่องจะไปถึงจุดที่ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว

ตอนนี้ถึงนางจะหิวจนถึงขีดสุด แต่ก็ไม่มีเวลาหาของกิน ระหว่างทางเห็นข้างทางมีต้นผลไม้ป่า ก็ไม่มีเวลาดูว่ามีพิษหรือไม่ ได้แต่เด็ดมาหลายอัน และหยิบออกมากัดกินระหว่างเร่งเดินทางเท่านั้น พอเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรก็ส่งให้วู๊วูสองอัน ที่เหลืออีกสองอันก็กินเองจนหมด

เป็นผลไม้ป่ารสเปรี้ยวมาก เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงดอกไม้จะบาน ผลไม้ป่าเหล่านี้หลงเหลือจากปลายฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้ว รสชาติต้องไม่ดีอยู่แล้ว แต่พอมีผลไม้พวกนี้ สำหรับหนึ่งคนและหนึ่งจิ้งจอกถือเป็นสิ่งช่วยชีวิตแล้ว ถือว่ามีอะไรรองท้องบ้าง

ระหว่างทางนางเร่งร้อนเดินทาง ทุกที่ที่ผ่านเหล่ายุงและแมลงพากันรีบถอยหนี ช่วยประหยัดเวลาให้นางได้มาก ในเวลาแบบนี้โหลชีโชคดีที่ตนได้ดีจิ้งจอกมารมา

พอคิดถึงดีจิ้งจอกมาร โหลชีก็อดคิดถึงผู้ชายบ้าอำนาจไร้ใครเทียมคนนั้นไม่ได้ เขามักคิดแต่จะอยากกักตัวนางไว้ในกำมือ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่หลายครั้งเขาไม่ได้เห็นแก่ตัวเลย เหมือนดีจิ้งจอกมารนี่ ถึงนางจะได้มา แต่ตอนแรกนางไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาบอกกับนางเอง จากนั้นเขาไม่คิดจะยึดครองมันไว้เลยสักนิด ถึงเหตุผลของเขาจะเป็นเพราะตัวเขาโดนพิษกู่แล้ว ไม่กลัวพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีวันหนึ่งพิษกู่ของเขาหายดีแล้วล่ะ?

คนเคยโดนพิษกู่ เคยได้รับความทรมานมาต่างๆนานา ยิ่งจะอยากครอบครองของที่สามารถต้านทานสองอย่างนี้ได้ ดีจิ้งจอกมารคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่เขากลับเอาแต่บอกให้นางรีบกิน

ยังมีไขหินพันปีนั่นอีก ตอนนั้นไขหินพันปีควรจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากพิษกู่มานานมาก ถ้ากินไขหินพันปีลงไปทั้งหมด กำลังภายในจะเพิ่มพูน อย่างน้อยร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้น มันจะทำให้เขามีพลังมากขึ้นยามต้องต้านทานการทรมานของพิษกู่

แต่เขากลับยกให้นางทั้งหมด ให้นางคืนเขาแค่คำเล็กๆ

ยังมีพิชิตวัน ท่าเสวี่ย อย่างแรกเป็นอาวุธเทพอันดับหนึ่งในใต้หล้า อันหลังเป็นม้าเหงื่อโลหิตที่มีปัญญาสูงมาก คิ้วเขาไม่ขมวดสักนิดก็ยกให้นางหมดเลย

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนแรกที่อยู่หุบเขาลึกลับ นางตกหน้าผา เขารีบปล่อยมือและตามนางตกหน้าผาด้วย ใต้แอ่งน้ำของอุทยานเขาเฟิงหยุน ในค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้ม เขาพุ่งทลายด่านสกัดกั้นอย่างไม่สนใจอะไรเพื่อมาต่อลมหายใจให้นาง ช่วยชีวิตนางไว้

เขาบ้าอำนาจ แข็งแกร่ง แต่พูดโดยรวมแล้ว สำหรับนาง เขาไม่เคยงกกับนางเลย

ทัศนคติทางความรักไม่เหมือนกัน เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่อยู่ทั้งหมด นางแค่ขี้เกียจจะบังคับเขาให้หันมาเท่านั้น นางจะผิดหวัง ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดและไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่จุดหนึ่งที่นางแฟร์พอคือ นางจะไม่เหมารวมปฏิเสธเขาไปเสียหมดด้วยเหตุนี้

มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมนางจากไปแล้วแต่ยังคงหาทางช่วยเขาสุดกำลังอยู่ พวกเขาร่วมเป็นร่วมตายกันมา ในสายตาโหลชี ต่อให้ไม่อาจเป็นคนรักหรือสามีภรรยาได้ เฉินซ่าก็เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่สุดของชีวิตนาง นางยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขา ช่วยเขาให้ประสบความสำเร็จ และนางเชื่อมั่นมาตลอดว่า ถ้านางต้องการ เขาก็จะมาโดยไม่ลังเล

นี่เป็นความรู้ใจกันระหว่างพวกเขา

ความหนาวเย็นเสียดกระดูกพลันพัดเข้ามา โหลชีหน้าเกร็ง ชะงักฝ่าเท้าที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าลงทันควัน

นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว ตอนนี้ถึงเริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว ไม่มีต้นไม้ บนพื้นผิวเต็มไปด้วยหญ้า ด้านหน้ามีร่องเขาลึกๆอยู่ พื้นผิวปรากฏความสูงต่ำที่ต่างกันมากมาย นางมองไม่เห็นว่าด้านหน้าคืออะไร และตำแหน่งที่นางยืนอยู่ตอนนี้ก็เป็นร่องลึกเส้นยาวเส้นหนึ่ง นางยืนอยู่ระหว่างร่องเขาที่สูงราวสองคนได้ มองซ้ายขวายังมีช่องว่างที่ยุบลงไปด้วย

พื้นตรงนี้ถูกธรรมชาติทำร้ายเอาอย่างรุนแรงเลยนะ

รอยเท้าพอมาถึงตรงนี้เริ่มเลือนรางไม่ชัดเจนแล้ว เพราะบางพื้นที่มีหญ้าขึ้นเต็ม บางจุดกลับเป็นดินแข็งบวกหิน เลยมองรอยเท้าไม่ออก แต่นางรู้ว่าพวกเขาต้องเคยผ่านทางนี้แน่ เพราะมันมีแค่ทางเดียวให้ไป

ตอนนี้นางได้ยินเสียงท่องสวดลอยมา

ฟังไม่ออกว่าท่องสวดอะไร เป็นเสียงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เสียงนั้นราวเสียงปีศาจ คอยจะเข้าหูตลอดเวลา สีหน้านางเริ่มเปลี่ยนแล้ว ถึงจะเข้าไปใกล้ได้สองก้าว ก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาจากด้านข้าง มาจับแขนนางไว้ อีกมือของโหลชีตวัดมา พิชิตวันอยู่ในมือแล้ว ร่างบิดเอน มือนั้นที่พิชิตวันนำพาประกายสว่างเย็นเยือกนั่นฟันลงไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ