ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 258

"เจ้า--" โหลชีรับจิ้งจอกม่วงที่ตกใส่อ้อมแขนนางได้ทัน พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจยาว ลูบเขาหัวของมัน

ไม่คิดว่าจิ้งจอกม่วงจะให้ความสำคัญกันขนาดนี้ ไม่จากไม่ทอดทิ้งกับนางซะแล้ว

"วู๊วู"

วู๊วูตัวน้อยเงยหัวใช้ดวงตาฉ่ำน้ำคู่นั้นมองดูนาง ราวกับน้อยอกน้อยใจหนักหนา

ทิ้งมันไว้ดีจริงหรอ? ไหนบอกจะย่างเนื้อให้มันกินไง

โหลชีแนบหน้าลงไปกับมัน ถูไปมา "ได้ ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อไปต่อให้เจอตาเฒ่าจิน ข้าก็จะไม่คืนเจ้าให้เขาแล้ว ให้หลานสะใภ้เขาไปหาถุงน้ำร้อนแทนไป เจ้าเป็นของข้าแล้ว!"

"วู๊วู"

"เจ้าเห็นด้วยแล้วใช่ไหม? งั้นตกลงแบบนี้นะ ต่อไปพวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เอ๋อ ตอนนี้ยังไม่มีสุขให้เสพ ทุกข์มาแล้วล่ะ"

สายตานางจับจ้องไปที่เจ้าสิ่งที่ดูเป็นของหนักสีดำกดทับนั่น นางกอดวู๊วูแน่น น่าตาย น่าตายนัก นี่คงไม่ใช่ของที่ควรจะมีแต่ในสุสานหรอกนะ? นางไม่ได้เป็นโจรปล้นสุสานและก็ไม่ได้ประลอง เรื่องอะไรให้นางมาเจอด้วย?

ตัวที่สีเขียวแปลกๆ หน้าตาน่าเกลียดไร้ที่เปรียบแต่ละตัว หนอนศพ

เยอะมาก เยอะขนาดนั้น มีเป็นพันเป็นหมื่น คลานกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับแมลงน้ำ

โหลชีไม่กล้าแน่ใจว่าดีจิ้งจอกมารจะมีผลกับของแบบนี้ เพราะมันไม่ถือเป็นหนอนตามแบบต้นตำรับจริงๆ บางทีอาจจะได้ผล แต่พอเห็นหนอนศพมากขนาดนี้ หรือจะให้นางยืนนิ่งอยู่นี่ทดสอบประสิทธิภาพของดีจิ้งจอกมารกัน? เกิดไม่ได้ผลขึ้นมา งั้นนางไม่ต้องโดนเจ้าพวกนี้ไต่ตัวหมดหรือไง?

แค่คิดๆก็ขยะแขยงแล้ว!

วิ่ง วิ่งสิ

โหลชีอุ้มจิ้งจอกม่วง หันหลังวิ่งทันที เร็วประดุจสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็สลัดหนอนศพฝูงใหญ่ไปไม่เห็นฝุ่นเลย

หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกพร้อมใจกันถอนหายใจโล่งอก

"ด้านล่างเลวร้ายขนาดนี้ พวกเขาน่าจะร้ายมากกว่าดี" ถึงในใจโหลชีจะเจ็บปวดนัก แต่สีหน้ากลับสงบนิ่ง ก่อนจะได้เห็นกับตา นางจะไม่ยอมแพ้ ไม่มีหลักฐานก็ประกาศการตายของเพื่อนพ้อง ไม่ใช่ความเคยชินของนาง

นางค่อยๆเดินไปข้างหน้า ท่องสวดพวกนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความสนใจของโหลชีอยู่ที่จับตำแหน่งที่เสียงส่งออกมา จากนั้นเท้าเหยียบพลาด นางหล่นลงไปข้างล่างทันที

ในวินาทีนี้ เสียงท่องสวดชัดเจนมาก นางแยกแยะได้ทันทีว่า ถ้านางตกลงไปตรงนี้ต้องเข้าใกล้คนส่งท่องสวดออกมาแน่ ถ้าตกลงไปก็เข้าทางมันสิ!

ชั่วเวลาประกายไฟติด โหลชีควักแส้ปลิดวิญญาณออกมา ยิงส่วนปลายที่แหลมคมปราดออกไป เสียบปักเข้ากับผนังหน้าผาด้านหนึ่ง นางลอยตัวตาม จิ้งจอกม่วงให้ความร่วมมือดีมาก พริบตาเดียวก็ตวัดตัวกับไหล่นาง ให้นางมีมือว่างอีกหนึ่งมือ คอยจับหินที่โผล่ออกมา จนตัวนางกลายเป็นเหมือนสิงโตหินแนบติดกับกำแพง

ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี่ไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย

ดูท่าจะเป็นตัวนางเหยียบกลไกพลาดเอง ไม่มีใครพบเห็นนาง ดังนั้นเลยไม่ได้ทำอะไรเอิกเกริก เสียงท่องสวดนั่นยังคงมีอยู่ตลอด โหลชีลงมาอย่างแผ่วเบา เห็นประตูที่เกิดจากดินแข็งเปิดช่องบานหนึ่ง ในนั้นมีแสงตะเกียงสีเหลืองหม่น

นางคิดว่าในที่สุดก็จะได้เจอคนที่ทำเรื่องเหล่านี้แล้ว คิดว่าจะได้เจอพวกโหลวซิ่นแล้ว แต่พอนางชะโงกหัวเข้าไปดู กลับเห็นว่าในนั้นมีคนหลายร้อยคุกเข่ากันอยู่ คนพวกนี้ล้วนแต่งกายสีดำ และยังเป็นคนแก่ สตรีและเด็กทั้งหมดด้วย!

หรือแม้กระทั่งยังมีเด็กทารกที่ถูกกอดไว้ในอ้อมแขน และเด็กน้อยที่รูปร่างผอมโซสีหน้าซีดเผือด

พวกเขาล้วนหันหลังให้นาง คุกเข่าอยู่กับพื้น นี่เป็นห้องโถงใหญ่ที่สร้างขึ้นมาจากดินแข็ง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยสักชิ้น ตรงกลางมีโต๊ะดินทรงกลมหนึ่งตัว ด้านบนตัดเป็นเตียงดินทรงยาว ตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่

เพราะว่าอยู่ไกล นางมองออกแค่ว่าบนนั่นเป็นผู้หญิง แต่มองไม่ออกว่าใคร ขนาดเสื้อผ้าสีอะไรยังมองไม่เห็นเลย

กำแพงสี่ด้านประดับตะเกียงแบบง่ายๆ ด้านบนมีจุดเทียนไว้ แต่แสงตะเกียงพวกนั้นกลับมืดมาก เหมือนเงามืด ทำให้ห้องโถงที่มีสตรีชุดดำมากมายคุกเข่าอยู่ยิ่งดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

ใจโหลชีรู้สึกเหมือนโดนมีดกรีด ถึงนางจะไม่ควรรู้สึกผูกพันอะไรกับเสี่ยวโฉวที่ไม่คุ้นเคยนัก แต่ถ้านางพึ่งตามหาคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้านายนางเจอแล้วก็ต้องมาตายแบบนี้ โหลชีคงรู้สึกตัวเองนี่ไร้ประโยชน์จริงๆ และยังผิดต่อนักพรตเลวด้วย เรื่องที่รับปากเขาแล้วก็ยังทำไม่ได้

ผู้หญิงคนนั้น นอกจากจะเป็นเสี่ยวโฉวแล้ว โหลชีไม่รู้จริงๆว่าเป็นใคร

นางแอบลอบเข้าใกล้ ร่างปราดไปผ่านหัวคนชุดดำที่กำลังคุกเข่าก้มหน้าท่องสวดอยู่ ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกตัว

หัวใจนางตื่นเต้น มองไปทางผู้หญิงคนนั้น

เอ๋? ไม่ใช่เสี่ยวโฉว!

แต่ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตาย! เพียงแต่ปากนางโดนด้ายสีดำเย็บปากไว้ ยังมีเลือดติดอยู่ ดูแล้วเหมือนมีตะขาบอยู่บนปากนาง

ดวงตานางเบิกกว้าง มีแววสิ้นหวังและหวาดกลัวรุนแรงอยู่ในนั้น ความสิ้นหวังนั้นทำให้คนที่มองอดหนาวสะท้านไม่ได้

นางเห็นโหลชี ดวงตาเบิกกว้างกว่าเดิม ร่างกายบิดแต่กลับไม่สามารถขยับได้ นางเหมือนโดนตรึงตัวไว้บนนั้น ปากพูดไม่ได้ มือขยับไม่ได้ คนชุดดำทั้งฝูงต่างพากันท่องสวด อะไรสักอย่างที่นางไม่รู้ แถมยังสถานที่ที่แปลกประหลาดน่ากลัวนี่อีก ถ้าผู้หญิงคนนี้มาจากด้านนอก เป็นคนปกติธรรมดา ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นางยังไม่ตกใจจนเป็นบ้าไปถือว่าเก่งมากแล้ว!

สตรีนางนั้นมองโหลชี แววตาส่องประกาย โหลชีมองออกถึงแววตาขอความช่วยเหลือของนาง แต่ตอนนี้นางเองก็ยังเอาตัวไม่รอด นางเป็นคนเห็นแก่ตัว นางมาเพื่อช่วยคนของตัวเอง ก่อนจะหาพวกเขาเจอ นางไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น

แต่นางยินดีให้ความช่วยเหลือนางเล็กน้อย ส่วนนางจะช่วยตัวเองได้ไหมนั้นก็ต้องพึ่งตนเองแล้ว

นางค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างช้าๆ

สตรีนางนั้นเข้าใจนางจะช่วยนางจริงๆ แววตาลิงโลดยินดี

คนพวกนั้นที่กำลังคุกเข่าต่างก้มหน้าตลอด ยังคงรักษาท่าทางแบบเดิม คุกเข่าก้มหน้าต่ำ ปากท่องสวดไม่หยุด

เสียงพวกเขาท่องสวดราบเรียบสนิท น้ำเสียงแทบจะวางราบ ความรู้สึกที่ท่องออกมาแข็งเกร็งแปลกพิกล แต่ห้องโถงนี้เป็นที่เดียวที่ไม่ได้หนาวยะเยือกขนาดนั้น เหมือนความหนาวยะเยือกถูกตัดขาดออกไป

โหลชีเดินเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่าสองมือสองเท้าของสตรีนางนั้นถูกล็อคไว้ด้วยสองห่วงเหล็กติดไว้กับเตียง ที่คอของนางก็มีห่วงเหล็กแบบเดียวกันล็อคไว้

นางยกนิ้วชี้แนบริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้นางอย่าส่งเสียง หยิบพิชิตวันออกมา ตัดห่วงเหล็กที่ล็อคนางไว้ทั้งหมดออก กำลังจะตัดด้ายที่เย็บปากนาง สตรีนางนั้นก็ผุดลุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กระโดดลงจากเตียงดินพุ่งไปทางประตู

โหลชีรีบถอยอย่างรวดเร็ว ปราดร่างเข้ามุมอีกข้างหนึ่งทันที แนบร่างเข้าซอกผนังหินที่เกือบจะผลุบเข้าไป ลดการคงอยู่ของตนเองให้ต่ำที่สุด

นางมองสตรีนางนั้นเหมือนมองสัตว์ประหลาด

พี่สาว มีสมองหรือเปล่า? หา!

มีสมองไหม! นี่มันหาความตายชัดๆนะรู้ไหม?

ถ้าเจ้ค่อยๆย่องออกไปยังพอว่า นี่เล่นทะเล่อทะล่าพุ่งออกไป และยังพุ่งผ่านพวกคนชุดร้ายหลายร้อยนั่นอีก เจ้กลัวตัวเองตายไม่เร็วพอหรือไง?

ต่อให้นางยังไม่กล้าดูถูกคนพวกนั้นเลย ถึงจะเป็นคนแก่งเด็กสตรี แต่ในสถานที่อย่างนี้ สถานการณ์อย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ปกติ แปลกๆกันทั้งนั้นนะจริงไหม?

นางรู้ว่าคนปกติต้องตกใจจนสติไม่เหลือ แต่การกระทำหาเรื่องตายแบบนี้นางก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน แถมเมื่อกี้ถ้าไม่ติดว่านางหนีได้เร็วมาก นางจะโดนจับไปด้วย ต้องโดนพบเจอแน่

ไม่โง่ก็ไม่ตาย พูดถึงคนแบบนี้เอง

"ทำลายพิธีบูชายัญ โทษสถานใด"

เสียงเย็นเยียบดังขึ้น จากนั้นในหลายร้อยคนนั่นมีเหล่าตาแก่ลุกขึ้นยืน และล้อมสตรีนางนั้นเข้าไปด้วยกัน หลายคนยื่นมือที่ซ่อนใต้เสื้อคลุมสีดำไปจับตัวสตรีนางนั้น โหลชีถึงพึ่งเห็นว่ามือของพวกเขาผอมจนเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ไว้เล็บยาวมาก ดูแล้วเหมือนซากกระดูกเลย

นางโดนจับได้แล้ว พวกตาแก่ผอมโซดูแล้วอ่อนแอมาก แต่ที่จริงแล้วมีกำลังมากนัก พวกเขาจับสตรีนางนั้นวางตัวราบและส่งกลับไปที่เตียงดินนั่น ทั้งหมดไม่ได้คุยกัน พากันยกนางขึ้นสูง และวางโครมลงไปที่เตียงดิน เสียงปึ้งดังขึ้น โหลชีได้ยินแค่เสียงนี้ก็แทบปวดฟันแล้ว

นางได้ยินเสียงกระดูกสันหลังทั้งเส้นของนางแตกหัก

นางปากถูกเย็บร้องไม่ออก แต่ใบหน้าที่เจ็บปวดจนถึงขั้นบิดเบี้ยวนั้นบอกให้คนรู้ว่านางเจ็บปวดแค่ไหน

นางเหมือนตุ๊กตายางไร้ลมตัวหนึ่ง เนื้อตัวอ่อนยวบขยับตัวไม่ได้อีก

มีตาแก่คนหนึ่งมองเห็นห่วงเหล็กที่โดนตัดขาด แต่กลับมิได้พูดอะไรอย่างน่าประหลาด

เสียงเย็นเยียบนั่นดังขึ้นอีกครั้ง "ของสังเวยไม่เชื่อฟัง ข้ามไปจัดการขั้นต่อไป"

ขั้นต่อไปคืออะไร?

เสียงท่องสวดยังไม่ได้หยุดลง มียายแก่คนหนึ่งเดินจูงมือเด็กคนหนึ่งเดินออกจากฝูงชน โหลชีพบว่า เด็กคนนี้คือเสี่ยวเป่า!

เจียวเทียนเป่า!

ตอนนี้เขาเหมือนคืนนั้นที่ออกไปหาเด็กทารกคนนั้น ดูเหมือนเดินละเมอ แต่ใบหน้าซีดเผือดระคนสีเทาอยู่ ถ้าแบบนี้เรียกนอนหลับ งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายแล้ว

เสี่ยวเป่าเดินเข้าไป ยายแก่นั่นยื่นมือเล็กให้เขา เขารับมาอย่างชำนาญ จากนั้นตวัดกรีดข้อมือสตรีนางนั้น จนเกิดรอยแผล เลือดไหลออกมา

โหลชีเบิกตากว้าง มองเสี่ยวเป่าทำพิธีบูชายัญด้วยคนเป็นแบบนี้ด้วยความตะลึง

เลือดสดไหลออกมา ยายแก่จับมือนางไว้ ไม่นานก็มีสตรีผู้หนึ่งอุ้มทารกเข้าไป อ้าปากทารกออก ให้เขารับเลือดสักหลายหยด

นี่มัน---

คนทุกคนพากันเข้าไป รับเลือดสักหลายหยดด้วยปาก คนอื่นยังคงท่องสวดกันต่อไป

โหลชีเห็นหน้าคนพวกนั้นชัดแล้ว และเพราะเห็นชัดแล้ว นางถึงยิ่งตกใจ คนพวกนี้ไม่มีสีเลือดเลย ตาคล้ำโบ๋ เหมือนคนตาย

ทุกคนพากันเข้าไปดื่มเลือด สตรีนางนั้นกลับยังเหลือลมหายใจ กลับไม่ตาย

เสี่ยวเป่ายกมีดเล่มนั้นขึ้นอีกครั้ง ปักแทงเข้าไปกลางหว่างคิ้วของนางในมีดเดียว ปักลงไปอย่างจัง จากนั้นยายแก่ก็รับมีดเขามา และเริ่มเฉือนเนื้อตัดกระดูกต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้

โหลชีอยากด่าสักคำว่าโรคจิต แต่พอนางพึ่งจะหายใจติดขัด ก็เห็นยายแก่นั่นหยุดชะงักมือ หันมาทางนาง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ