ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 262

โหลชีอดถลึงตาใส่ไม่ได้ พวกเจ้าจะไม่ช่วยกันอีกสักหน่อยไหมล่ะ? หา?

ไหนบอกรักกันฉันท์นายบ่าวน่ะ?

วู๊วูเจ้าจิ้งจอกทรยศ! ไหนว่าจะไม่จากไม่ทอดทิ้งน่ะ?!

เฉินซ่าเดินเข้ามาทีละก้าวอย่างช้าๆ แต่เดิมก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมาก แค่เจ็ดก้าว เขาก็มายืนต่อหน้านางแล้ว โหลชีไม่ถือว่าเตี้ยแล้วสำหรับผู้หญิง แต่เฉินซ่ากลับเป็นพวกสูงในบรรดาผู้ชายด้วยกัน ดังนั้นพอเขาเข้าใกล้ โหลชีรู้สึกกดดันจากคนตัวสูง

นางเบ้ปาก ก็ได้ จะหาข้ออ้างอะไรล่ะ? แรงกดดันของคนร่างสูงอะไร ก็แค่นางหวาดหวั่นเท่านั้นเอง

จะว่าไปก็แปลก จุดนี้โหลชีก็รู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย ถือสิทธิ์อะไรล่ะ? นาง โหลชี ขยับเครื่องบินยิงปืนในยุคปัจจุบันได้ ในยุคโบราณก็แก้พิษกู่แก้คำสาปได้ มีเรื่องอะไรบ้างไม่เคยเจอ ถือสิทธิ์อะไรมาหวาดหวั่นกับผู้ชายคนเดียว?

ก็แค่รังแกที่นางไม่เคยมีความรักมาก่อน ดังนั้นเลยรู้สึกเหมือนแมวเกาใจเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่ชอบงั้นสิ?

เฉินซ่ามองนาง มองอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากเม้มแน่น ริมฝีปากราบเป็นเส้นตรงอย่างเย็นชา ประกายตาวาบขึ้น และไม่พูดอะไร

ไม่พูดอะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน? ยังไงซะไม่พูดอะไรนางอึดอัดจะตาย โหลชีรู้สึกทั้งตัวอ่อนปวกเปียกไม่มีเรี่ยวแรง สมองยิ่งสับสนปนเปไปหมด

"เฉินซ่า เอ่อ ไม่เจอกันนานนะ--"

คำพูดของนางพึ่งจบ บางคนก็ยิ้มเย็นชา มีแววเยาะหยันที่มุมปาก ดูแล้วโหลชีอยาก--

กัดลงไป

"เจ้าคิดจะไม่พบกันตลอดชีวิตแล้วกระมัง?"

คำพูดเขาดูราบเรียบมาก ราบเรียบมากจริงๆ ฟังไม่ออกเลยว่าโกรธ แต่โหลชีพอเข้าใจผู้ชายคนนี้อยู่ นิสัยเจ้าอาวุธทำลายล้างเฉิน นางเคยพูดไว้แล้วเมื่อก่อนสี่ตัวเท่านั้น

เดี๋ยว!ดี!เดี๋ยว!ร้าย!

คำพูดนี้ของเขามีแววคุกคามปนติดตามอยู่ในที โหลชีถอยไปหนึ่งก้าว หัวเราะแหะๆว่า "จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง?"

"หือ? ยังมีคุยธุรกิจการค้ากันใช่หรือไม่?" เฉินซ่าขยับเข้าใกล้อีกก้าว

"เอ่อ ท่านไม่รู้สึกว่าข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์มากรึไง?" โหลชีถอยไปอีกก้าว "คนอื่นอยากซื้อข้ายังไม่ขายให้เลยนะ"

เฉินซ่าขยับเข้าใกล้อีกก้าว "อืม งั้นตอนนี้ข้าจ่ายเป็นตัวเองให้เจ้า เจ้าคิดจะรับ" เขาชะงักไปครู่ ก่อนหรี่ตามอง พูดต่ออย่างเน้นทีละคำ "หรือว่าไม่รับ?"

โหลชีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของเขา อดไม่อยู่กะพริบตาปริบๆ นางอยากบอกว่า นี่บังคับขายหรอ? ที่ไหนได้เขาดันแทรกมาว่า "ตอนนี้หยอกล้อข้าก็ไม่มีประโยชน์"

พรืด

นางแค่กะพริบตาเท่านั้นเอง หยอกล้อที่ไหนกัน? ไหนมีหยอกล้อ!

เสี่ยวโฉวยืนมือปิดตาอยู่ไม่ไกล ขอโทษนะเจ้าค่ะขอโทษ ยืนกะพริบตากลมโตปริบๆต่อหน้าบุรุษผู้รักใคร่นางแทบจะกลืนกินนั่น มิใช่หยอกล้อรึ?!

อย่าทำร้ายสตรีแก่ไร้คู่วัยสามสิบห้าได้หรือไม่?

"เรื่องพวกเราช้าหน่อยค่อยพูดกันได้ไหม?" โหลชีสะบัดหัว ไม่ได้ นางจะเห็นผู้ชายดีกว่าพวกพ้องไม่ได้ โหลวซิ่น พวกโหลวซิ่นยังรอนางไปช่วยอยู่เลย

เฉินซ่ารู้สถานการณ์คร่าวๆจากในจดหมายแล้ว เดิมคือเฉิงสิบและโหลวซิ่นต่างเกิดเรื่อง ตอนนี้เห็นเฉิงสิบที่ด้านบน งั้นก็ต้องไปช่วยโหลวซิ่น

เขาไม่รู้จักพวกถูเปิน ถึงก่อนหน้านี้ในจดหมายของตู้เหวินฮุ่ยมีพูดถึงพวกเขาไว้บ้าง แต่คนที่ไม่รู้จักเขาย่อมไม่ใส่ใจอยู่แล้ว

"ไป"

เขาจับมือนางแน่นมากจนนางสะบัดไม่หลุด ในตอนที่โหลชีคิดว่าเขาจะลากนางเดิน เขากลับจับนางโยนขึ้นหลัง ทำเอานางตกใจเกือบร้องอุทาน

หมอบคลานอยู่บนแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขา โหลชีรู้สึกเลื่อนลอยไปชั่วขณะ

ไม่อยากจะเชื่อเลย เขามาแล้ว และนางโดนเขาแบกขึ้นหลังอีกแล้ว

หลังจากได้สตินางก็บิดตัวไปมา "มาแบกข้าทำไม ข้ามีขาเดินเองได้---" เสี่ยวโฉวก็อยู่ นางยังเป็นคุณหนูของนางเลย มาโดนแบกอยู่แบบนี้เรื่องอะไรล่ะ

เพี๊ยะ

เสียงดังสนั่น โหลชีชะงักค้าง สีหน้าเหลือเชื่อ แม่ง! เขากล้าตีก้นนาง!

"อย่าขยับ!"

เฉินซ่ายังไฟลุกในใจอยู่เลย ตอนนี้ไม่มีเวลาระบาย นางยังมาทำตัวเยี่ยงนี้กับเขาอีก! จากไปหลายเดือน ไม่ยอมให้เขาแบกแล้ว?

คิดว่าเขาดูไม่ออกว่านางหิวใกล้เป็นลมแล้วรึ? แบกนางครั้งนี้เขารู้สึกได้เลยว่า นางเบากว่าเมื่อก่อนมาก!

โหลชีสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือก ทน นางทน ตอนนี้ไม่มีเวลามาถือสาเขา นางหันกลับไปมองเสี่ยวโฉวที่อุ้มจิ้งจอกม่วงอยู่ และปรายตามองชุดคลุมสีดำที่ตัวนางเหมือนกับของคนเผ่ามนุษย์ผี เมื่อกี้ไม่ทันได้ถามว่า ทำไมนางมิเป็นอะไร ทำไมนางยกถาดผลไม้มาให้พ่อลูกหัวหน้าเผ่า

"เสี่ยวโฉว เจ้ารู้ว่าพวกโหลวซิ่นอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?"

เสี่ยวโฉวพยักหน้าทันที "คุณหนู ข้ารู้เจ้าค่ะ"

"รีบนำทาง"

เสี่ยวโฉวเดินนำทางเฉินซ่าด้วยหัวใจหวั่นๆ เมื่อครู่เขาหักคอหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่ามนุษย์ผีนั่นในมือเดียว ใช้ร่างไปกระแทกตัวหัวหน้าเผ่าจนสลบลงไป ยังปักลงไปตรงๆที่หัวหน้าเผ่าราวกับเจาะฝาโลงรอไว้แล้วเลยเนี่ย

คุณหนูของนางเหตุใดนิยมชมชอบบุรุษเช่นนี้เล่า? ถึงเขาจะหน้าตาหล่อเหลามากก็เถอะ--

ช่างดุร้ายเกินไปแล้ว!

ระหว่างทางมานี้ เสี่ยวโฉวพึ่งได้คุยสถานการณ์ของพวกเขากับโหลชี ระยะทางไม่ยาวไม่อาจเล่าตั้งแต่ต้นได้ ได้แต่บอกว่ายายแม่มดเฒ่าคนหนึ่งบอกว่าบุรุษเผ่านางแต่ละคนร่างกายแข็งแรงกำยำ เผ่ามนุษย์ผีสองร้อยปีมานี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ถึงเวลาต้องหาแนวทางใหม่แล้ว และแนวทางใหม่ที่นางว่า คือให้สตรีในเผ่าลองมีสัมพันธ์กับบุรุษต่างเผ่าดูว่าจะมีลูกได้หรือไม่

บุรุษเผ่ามนุษย์ผีต่อให้มีสัมพันธ์กับสตรีต่างเผ่าก็ยากจะมีลูกได้ มิเช่นนั้นตอนนี้พวกเขานับวันคงมิได้คนน้อยลงทุกวันแบบนี้

แต่เมื่อก่อนมิเคยลองให้สตรีในเผ่ามีสัมพันธ์กับบุรุษต่างเผ่ามาก่อน บางทีอาจจะได้ผล?

โลกเรามักจะมีความคิดแบบนี้ สายเลือดฝั่งผู้ชายถึงจะเป็นสายเลือดของตระกูลตน ตอนนี้พวกเขาคิดถึงวิธีนี้ได้ ก็เพราะหมดสิ้นหนทาง

"ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ พวกโหลวซิ่นหลายวันนี้ได้รับการดูแลกินนอนอย่างดี รอให้พิธีบูชายัญของพวกเขาจบลง ก็จะให้พวกเขามีเมียเผ่ามนุษย์ผี?"

โหลชีได้ยินแล้วแทบกระอักเลือด

ถ้าเฉิงสิบรู้ น่ากลัวจะกระอักเลือดเหมือนกัน

พวกเขาไม่กล้าไปคิดถึงความเป็นความตายของหลายคนนั้น จงใจลืมก่อนที่จะเจออาจจะยิ่งเจ็บลึกหนัก ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะโดนเลี้ยงไว้เป็นเจ้าบ่าว กำลังถูกขุนเลี้ยงไว้!

หรือว่า พิธีบูชายัญที่นางทำลายไปเมื่อวาน คือเตรียมไว้เพื่อหาเมียให้พวกเขา!

ยายแม่มดเฒ่าที่เสี่ยวโฉวพูดถึง คงจะเป็นยายเฒ่าคนนั้นที่ควบคุมเสี่ยวเป่าน่ะแหละ

"เสี่ยวเป่าพาพวกเจ้ามา?"

"คุณหนู อย่าโทษเสี่ยวเป่าเลย เขาเองก็ไม่รู้สึกตัว"

เสี่ยวโฉวพึ่งพูดจบ ด้านหน้าก็สว่างโร่ เฉินซ่าแบกโหลชีไม่พูดอะไรสักคำ แต่เดินมั่นคงมาก

ระหว่างทางเจอสองคน แต่ยังไม่มีโอกาสส่งเสียงก็ถูกคนบางคนจับหักคอเสียก่อนแล้ว โหลชีมักรู้สึกคันคอพิกล ไม่รู้ว่าพอเรื่องสำเร็จแล้ว เขาจะหักคอนางด้วยไหม

"มนุษย์ผีพวกนั้นโดนแสงแดดไม่ได้ กลางวันไม่ค่อยออกมา โหลวซิ่นอาศัยจังหวะนี้เรียกร้องขออยู่ที่นั่น ดังนั้นเวลานี้ไม่มีใครคอยเฝ้าอยู่" เสี่ยวโฉวบอก

ภายใต้แสงตะวันสาดส่องมาที่ภูเขาเล็ก มีศาลาหญ้าแฝก ลมโกรกทั้งสี่ด้าน แต่ศาลาถือว่าใหญ่ โหลชีพริบตาเดียวก็มองเห็นเจ้าตัวใหญ่หลูที่กำลังนอนหลับพิงก้อนหินด้านนอกอยู่

"เจ้าตัวใหญ่หลูได้รับความนิยมที่สุดที่นี่ พวกเขาต่างคิดว่า บางทีบุรุษที่รูปร่างสูงใหญ่หน่อยอาจจะทำให้ผู้หญิงท้องได้ง่ายกว่า" เสี่ยวโฉวพูดเสียงต่ำ

"พรืด!"

โหลชีสำลักเลย "ทั้งที่โหลวซิ่นบ้านข้าหล่อที่สุดในนี้ต่างหากนะ! แน่นอน ถ้าเฉิงสิบอยู่ที่นี่ก็สามารถเอาชนะเขาได้ในทันที เฉิงสิบหล่อที่สุด" เพราะเห็นพวกเขาต่างไม่เป็นอะไร โหลชีเลยผ่อนคลายลง

แต่พอพูดคำนี้จบ นางก็รู้ว่านางลืมตัวแล้ว พูดผิดไป เพราะคนที่แบกนางอยู่ตัวแข็งเกร็งฉับพลัน เดิมก็เย็นอยู่แล้ว ตอนนี้แทบจะทำคนแข็งตายได้เลย

โหลชีสีหน้าแทบจะร้องไห้ออกมา "แน่นอน ท่านหล่อกว่าเฉิงสิบหลายเท่านัก ไม่ หลายสิบเท่าเลย!" นางหวังดีต่อเฉิงสิบกับโหลวซิ่นนะ ไม่อยากให้รอออกไป พวกเขาจะโดนหักคอ ผู้ชายคนนี้ใจแคบไหนนางรู้ดี

"เหมือนได้ยินเสียงแม่นาง!" โหลวซิ่นที่กำลังครุ่นคิดหาวิธีหัวแทบแตกในศาลาพลันกระโดดพรวดขึ้นมา

เจ้าลิงที่อยู่ข้างๆส่ายหัว "จะเป็นไปได้ยังไงกัน สถานที่เช่นนี้คุณชายจะมาได้ยังไง?"

"ข้ามาแล้วจริงๆด้วยสิ"

คราวนี้ทุกคนลุกพรวดขึ้นมา เจ้าลิงยังหัวชนคางของมนตรี มนตรียังเหยียบขาถูเปินเข้าอีก พวกเขาต่างลืมความเจ็บปวด พร้อมใจกันหันไปนอกศาลาที่มีเสียงออกมานั่น

มีเสี่ยวโฉวและผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาเย็นชารูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง--

โหลวซิ่นเกือบล้มหัวคะมำ

"ฝ่า ฝ่าบาท?"

เฉินซ่าปรายตามองเขาอย่างเย็นชา โหลวซิ่นเกือบล้มหัวคะมำอีกครั้ง สายตาที่ฝ่าบาทมองเขา เหตุใดจึงมีแววอำมหิตล่ะ?

"ฝ่าบาท?" พวกถูเปินงุนงงกันไปหมด หลังจากนั้นเหมือนมีประกายแล่นผ่าน แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยน และคุกเข่าลงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

อันที่จริงพวกเขาคุ้นชินกับอำนาจราชวงศ์ ตอนเป็นขอทานเวลาเจอพวกขุนนางก็ล้วนเคารพนบนอบ โลกนี้คนที่สามารถเรียกได้ว่าฝ่าบาท ตอนนี้มีเพียงคนเดียว นั่นก็คือ ฝ่าบาทพั่วอวี้คนนั้นที่ได้ยินในเรื่องเล่ามาตลอดทาง

โหลวซิ่นไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น ดังนั้นคนที่มาต้องเป็นฝ่าบาทพั่วอวี้ไม่ผิดแน่

ถูเปินกัดฟันกรอด จากนั้นเงยหน้าขึ้นถามว่า "คุณชายของพวกเราล่ะ?" แต่เขาไม่กล้าถามเฉินซ่า กล้าถามแต่เสี่ยวโฉว

โหลชีโผล่หัวออกมาจากแผ่นหลังเฉินซ่าอย่างหงอยๆ "พวกเจ้ายังดีอยู่ใช่ไหม?"

พวกถูเปินเหมือนโดนฟ้าผ่า

คุณชายของพวกเขา หล่อเหลามิธรรมดา วิทยายุทธ์สูงส่ง เป็นราวเทพเซียนในสายตาพวกเขา กลับโดนคนแบกแบบนี้...

ถึงจะรู้อยู่นานแล้วว่าโหลชีเป็นสตรี แต่ระหว่างทางนางแต่งกายเป็นชายมาตลอด พูดจาท่าทีต่างๆล้วนเปิดเผยยิ่งกว่าชายชาญ ดังนั้นพวกเขาจึงเคยชินที่จะเรียกนางว่าคุณชาย และเคยชินมองนางเป็นคุณชาย พอเห็นฉากนี้เข้า ทุกคนต่างรู้สึกสับสนอยู่บ้าง

โหลชีเองก็รู้สึกว่ามันออกจะทำนางเสียหน้าไปหน่อย "คือว่า วางข้าลง--"

"หือ?"

นางรีบหันไปถลึงตาใส่พวกถูเปินทันทีว่า "แม่งเอ๊ย! ข้าไม่กินอะไรมาหลายวันเพื่อตามหาพวกเจิ้วจนขาอ่อนยวบแล้ว แบกสักหน่อยจะเป็นไรไป? พวกเจ้าแต่ละคนกินกันอ้วนท้วนสมบูรณ์ ยังมีหน้ามาว่าข้าอีก!"

โหลวซิ่นพูดอะไรไม่ออกเบนหน้าไปทางอื่น

ใครกินอ้วนท้วนสมบูรณ์กัน แม่นาง ท่านไม่กล้าพูดเสียงดังใส่ฝ่าบาท ตะคอกพวกข้าสนุกรึ?

ตอนนี้เจ้าตัวใหญ่หลูที่เซ่อซ่าหันมาพูดอย่างจริงจังว่า "ท่านเดินไม่ไหวแล้วรึ? งั้นข้าแบกท่านเอง ข้าแบกท่านสบายกว่าคนผู้นั้น"

โหลวซิ่นถอยห่างออกไปไกลทันที ไกลอีกหน่อย อยากหาเรื่องตายหรือไง? แย่งสตรีกับฝ่าบาท?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ