ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 265

แส้สะบัดไปแส้แล้วแส้เล่านั่นประหนึ่งกำลังฟาดลงบนตัวและใจของยายเฒ่า พูดเรื่องเลี้ยงกู่ คนพวกนี้มีหรือจะมีพรสวรรค์อะไร พวกเขามิใช่คนหนานเจียง นางเองก็มิมีเวลามากมายมาสอนพวกเขาทีละคน พูดตรงๆคือ หนอนพวกนี้แทบจะเป็นนางเลี้ยงทั้งหมด นางเลี้ยงเอง!

พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่า จะเลี้ยงหนอนกู่ที่มีฤทธิ์โจมตีรุนแรงหลายร้อยตัวเช่นนี้ต้องใช้เวลาและพลังมากมายแค่ไหน? กลับมาโดนฆ่าเอาแบบนี้!

ยายเฒ่าสั่นเทาไปทั้งตัว พ่นคำโกรธเกรี้ยวลอดไรฟันออกมาว่า "ข้าจะให้พวกเจ้าตาย พวกเจ้าต้องตาย!"

"เหมือนเจ้าจะพูดคำนี้หลายครั้งแล้วนะ ยายแม่มดเฒ่า ตอนนี้ข้าต่างหากจะให้เจ้าตาย!" โหลชีพูดยังไม่ทันจบ เฉินซ่าก็ซัดฝ่ามือไปทางยายเฒ่าแล้ว

โหลชีรีบร้องบอก "อย่าตบหัวนางแหลกละเอียดล่ะ!"

เดิมเฉินซ่าคิดจะตบหัวนางแหลกละเอียดจริงๆ พอได้ยินคำพูดนี้ของนางจึงเปลี่ยนทิศทาง เปลี่ยนฝ่ามือเป็นคมมีด ฟาดฟันด้วยกำลังภายในเข้าไป

มีเลือดกระฉูดออกมาจากตัวยายเฒ่า นางก้มลงมองบาดแผลที่หน้าท้องตนอย่างไม่เชื่อสายตา "เจ้า เจ้าสามารถควบพลังเป็นคมมีดได้---"

กำลังภายในล้ำลึกสามารถดีดนิ้วส่งพลังออกมา แต่ฝ่ามือแปลงเป็นมีด จากนั้นสามารถฟันได้แหลมคมดุจมีด กำลังภายในสามารถฟันผ่านอากาศด้วยความคมดุจมีดจนเกิดบาดแผลได้ เยี่ยงนี้มิเพียงแค่กำลังภายในล้ำลึก ยังต้องมีความสามารถในการควบคุมกำลังภายในด้วย!

เฉินซ่าอายุแค่ยี่สิบกว่าปี กลับมีฝีมือถึงเพียงนี้! อัจฉริยะวิทยายุทธ์เยี่ยงนี้หากพูดออกไปย่อมตกตะลึงกันทั่วทั้งใต้หล้าแน่! แต่ใต้หล้ากลับรู้เพียงแค่เขามีวิทยายุทธ์สูงส่งเท่านั้น แต่กลับมิรู้เลยว่าจะสูงส่งถึงเพียงนี้! ใต้หล้าล้วนรู้ดีว่าเทพธิดาแห่งเขาเวิ่นเทียนเป็นอัจฉริยะวิทยายุทธ์ แต่ถ้าเทียบกับเฉินซ่าแล้ว นางยังจะเป็นอัจฉริยะอะไรได้!

ในตอนนี้ยายเฒ่าเสียใจนัก นางเสียใจยิ่งนัก นางเองก็กลัว เบื้องหน้า บุรุษในเผ่าเกือบร้อยคนที่นางพามาล้วนตายสิ้น และแทบจะตายอย่างอเนจอนาถด้วย ส่วนมากถูกหักคอทันที และบางส่วนโดนซัดฝ่ามือจนหัวใจแหลกสลาย บางส่วนยิ่งโดนกระชากแขนหลุดมาทั้งข้าง

เผ่ามนุษย์ผีของพวกเขาเดิมก็คนเหลือน้อยเต็มที บัดนี้ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ในเผ่าล้วนตายสิ้นที่นี่ สามีและลูกชายนางต่างตายแล้ว เมื่อครู่นางยังคิดว่าตนต้องชนะได้แน่ แต่ตอนนี้นางพบว่านางอาจจะต้องตายได้ ดังนั้นนางจึงเริ่มกลัว ถึงนางจะอายุมากแล้ว แต่นางก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ ยังอยากอยู่ต่อ

นางคุกเข่าลงกับพื้นทันที คร่ำครวญร้องเสียงดังว่า "นายท่านท่านนี้!" แม่นางโหล! พวกท่านได้โปรดใจกว้าง อภัยให้ข้าด้วยเถิด ข้ามิกล้าอีกแล้ว! ทั้งหมดนี่เป็นความต้องการของเทพธิดาแห่งเขาเวิ่นเทียน นางสั่งคนให้มาสั่งพวกข้า พวกข้าติดค้างน้ำใจเขาเวิ่นเทียนครั้งหนึ่ง ข้าไร้หนทาง! อภัยให้ข้าเถิด ข้าคำนับพวกท่านแล้ว!"

เดิมเฉินซ่าคิดเข้าไปซัดฝ่ามือนางให้ตายไปเสียรู้แล้วรู้รอด พอได้ยินคำนี้ เขาชะงักลงฉับพลัน ย้อนถามว่า "เจ้าว่ากระไรนะ?"

ถึงโหลชีจะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้มาได้ยินฮูหยินหัวหน้าเผ่าพูดออกจากปาก ความโกรธที่กดทับไว้ในใจนางก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด กดทับยังไงก็ไม่อยู่

เพราะนางไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน ไม่มีความแค้นต่อกันแท้ๆ กลับคิดให้ร้ายนางอย่างชั่วร้ายมาก และยังกัดไม่ปล่อย ไม่ยอมสิ้นสุด ทำแผนการชั่วร้ายเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อยๆครั้งแล้วครั้งเล่า

นางเดินเข้ามา ยื่นมือผลักเฉินซ่าอย่างแรง จนเขาแทบหัวคะมำ

"ไม่ต้องให้นางเล่า ข้าจะบอกท่านให้ จักรพรรดินีในอนาคตของท่านคนนั้นแหละ นางต้องการชีวิตข้า! นางหาคนเผ่ามนุษย์ผี ให้พวกเขาจับข้ามาเป็นนางบำเรอให้ผู้ชายทั้งเผ่า สืบพันธุ์ให้พวกเขา! จากนั้นก็ทรมานข้าจนกว่าจะตาย! ฝ่าบาทที่รัก ท่านพอใจรึไม่?"

นางพูดจบอย่างเย็นชา ร้องขึ้นเสียงดังว่า "โหลวซิ่น เอาพิชิตวันให้ข้า!"

โหลวซิ่นรีบเข้ามา ยื่นพิชิตวันให้ด้วยสองมือ

เขาไม่รู้ว่าโหลชีคิดจะทำอะไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของโหลชี เขาโพล่งด่ารัวๆว่า "น่าหลานฮั่วซิน นังแพศยานั่น! กล้าลงมือหวังฆ่าแม่นางตั้งแต่ที่หุบเทพมารแล้ว ไม่คิดว่าพอออกมายังต้องการชีวิตแม่นางอีก! ฝ่าบาท ท่านยังคิดจะแต่งตั้งนังแพศยานั่นเป็นจักรพรรดินีอีกหรือไม่?"

โหลชีโบกมือห้ามมิให้โหลวซิ่นพูดต่อไป และหันไปทางเฉินซ่าด้วยสีหน้าเย็นชาพลางว่า "จะบอกท่านให้ ไม่เพียงท่านเท่านั้นที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งข้าเองก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เช่นกัน อีกอย่างข้าชอบระบายอารมณ์ใส่คนอื่น ชอบประหารเก้าชั่วโคตร ใครมีเรื่องกับข้า ทุกคนที่เป็นสหายเขาจะถูกบันทึกชื่อเข้าบัญชีดำข้าทันที ท่านรู้ไหมว่าแปลว่าอะไร? ก่อนท่านจะแต่งงาน เราจะยังเป็นสหายกัน ถ้าท่านเกี่ยวดองกับน่าหลานฮั่วซินเมื่อใด ไม่ว่าจะให้นางเป็นจักรพรรดินีเป็นนางสนมหรือเป็นนางบำเรอ หรือต่อให้เป็นสหายเป็นน้องสาวเป็นศิษย์พี่หญิงเป็นสหายที่รู้ใจอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะอย่างไหน"

นางชะงักไป ก่อนพูดต่อด้วยเสียงดังฟังชัดว่า "เช่นนั้นพวกเราจะเป็นศัตรูที่ไม่ตายไม่เลิกรากัน! ข้าไม่รังเกียจจะบอกท่านว่า ข้าต้องเอาชีวิตน่าหลานฮั่วซินแน่!ถ้าท่านแต่งงานกับนาง เช่นนั้นข้าก็จะเอาชีวิตท่านเช่นกัน"

น่าหลานฮั่วซินจุดไฟโกรธนางอย่างสิ้นเชิง นางไม่เคยบอกมาก่อนเลยว่าตนเป็นคนดี ปกตินางยิ้มทะเล้น ยิ้มร่าด่ากราด บางครั้งเหมือนจะบ้าๆ บอๆ ดูเหมือนไม่มีหัวจิตหัวใจ บางครั้งยังจงใจแสร้งทำตัวเป็นลูกแกะน่าสงสาร แต่มันไม่แปลว่านางเป็นลูกแกะจริงๆ

เมื่อถึงเวลาต้องร้าย นางก็ร้ายได้ยิ่งกว่าใครทั้งนั้น

สองตาของเฉินซ่าเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธบ้าคลั่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด เขาจับจ้องมองเข้าไปในดวงตาโหลชี พูดเสียงเศร้าหมองว่า "เจ้าจะเอาชีวิตข้า?"

ถึงจะรู้ว่าไม่มีทางเกิดเหตุการณ์อย่างที่นางพูดแน่ แต่เมื่อได้ยินนางพูดจากปากนางเองว่าต้องการชีวิตเขา หัวใจเขารู้สึกราวกับถูกพิชิตวันแหวกออกไปจริงๆ เลือดสดไหลริน เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก ในตอนนี้เขาลืมคำพูดอื่นไปแล้ว ในสมองเอาแต่ครุ่นคิดประโยคนี้

ข้าเองก็จะเอาชีวิตท่าน

นางพูดอย่างมั่นใจอย่างนั้น เย็นชาอย่างนั้น ไม่ลังเลเลยสักนิด

เขาไม่เคยเห็นนางพูดกับเขาด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ในตอนนั้นเขาคิดว่าจะเจอแววตาอย่างตอนที่เขาฆ่าคน

เขาไม่อาจจะเชื่อได้จริงๆว่า หลังจากที่ทั้งสองผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน เขาแต่งตั้งนางเป็นสนมแล้ว และยังบอกว่าชีวิตนี้จะมีนางเพียงคนเดียว ตอนนี้นางยังสามารถพูดอย่างเย็นชาได้ว่าจะเอาชีวิตเขา

เฉินซ่าไม่เคยเจ็บปวดใจเท่านี้มาก่อน ในตอนนั้นสมองเขาว่างเปล่า แต่ความปวดใจราวกับหนอนเสียดกระดูก ควงสว่านทิ่มแทงแทรกเข้าไปกลางใจเขาอย่างรวดเร็ว

เขาสามารถทนรับความเจ็บปวดที่พิษกู่กำเริบได้ คิ้วมิได้ขมวดเลยสักนิด แต่ตอนนี้เขากลับพบว่าตนมิมีความสามารถทนรับความเจ็บปวดชนิดนี้ได้ หายใจแต่ละครั้งมันก็เจ็บปวดไปด้วย

สีหน้าโหลชียังคงเย็นชา สายตานางไม่หลบไม่ซ่อน สบตาเข้ากับเขาและพยักหน้าอย่างเย็นชาว่า "ใช่ ถูกต้อง ข้าหมายความเช่นนี้"

นางเป็นคนมีแค้นต้องชำระ นางไม่คุยเหตุผล นางจะดีกับใคร สามารถดีถึงขั้นสละชีวิตตนเองเลยก็ได้ แต่ถ้านางเกลียดใครก็จะเอาชีวิตเขา นางสามารถร้ายได้ถึงฆ่าล้างบางได้หมดเพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่สนใจว่าจะโดนคนบริสุทธิ์ด้วยไหม

นักพรตเลวเคยบอกว่า ในตัวนางมีเชื้อบ้าอยู่

ก็อาจจะ

พอพูดจบ นางสะบัดมือ พิชิตวันพุ่งออกไป เสียบเข้ากลางหลังของยายเฒ่านั่นพอดี ยายเฒ่านั่นกะอาศัยตอนพวกเขาคุยกัน คิดว่าไม่มีใครสังเกตนาง เลยคิดจะแอบหลบหนี ไม่คิดว่าตอนนี้ที่จริงแล้วโหลชีจะสงบนิ่งที่สุด สงบนิ่งอย่างที่สุด ดังนั้นการกระทำของนางมีหรือจะหลุดรอดพ้นหูของนางไปได้

โหลชีไม่ได้มองเฉินซ่าอีก เดินเข้าไปเหยียบกลางหลังยายเฒ่า ดึงพิชิตวันออกมา สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ตาไม่กะพริบเลยสักนิด นางดึงพิชิตวันอย่างแรง และตัดหัวนางออกมา

เลือดสดพุ่งกระฉูด นางคว้าหมับที่ผมของหัวนั่น เดินไปยืนข้างโหลวซิ่น "ถือไว้ เดี๋ยวหากล่องมาใส่"

โหลวซิ่นตกใจกับคำพูดนางเมื่อครู่ ยืนอ้าปากค้างอยู่ตลอดไม่ได้สติเลยรอจนโหลชียื่นหัวคนมาตรงหน้าเขา ยามประจันใบหน้ายายเฒ่าที่ซีดเผือดราวกับผี เขาตกใจร้องอุทานออกมาและกระโดดหนีก้าวใหญ่ ยังไม่รู้ว่าโหลชีหมายความว่ายังไง

"ข้าให้เจ้าถือไว้ รอหากล่องมาใส่!" โหลชีมองบนใส่เขา เหม่อลอยอะไรล่ะ

โหลวซิ่นยื่นมือออกไปรับหัวนั่นมาอย่างเหม่อลอยดุจหุ่นยนต์ และถามอย่างไม่เข้าใจว่า "แม่นาง จะเก็บของสิ่งนี้ไว้ทำไมเล่า? น่าขยะแขยงยิ่งนัก" ระหว่างพูด เขาเหล่เฉินซ่าอย่างเห็นอกเห็นใจ

ฝ่าบาทโดนกระทบกระเทือนรุนแรงเกินไปรึ? เหตุใดจึงเอาแต่ใช้แววตาเยี่ยงนั้นมองแม่นางเล่า? นี่มันนานแล้วนะ มิกะพริบตาเลยสักนิด มิเหนื่อยหรือไร?

แต่เขารู้สึกว่า ถ้าเป็นเขาเขาก็เสียใจเช่นกัน แต่ปัญหาคือ เรื่องนี้จัดการได้ง่ายนี่นา แม่นางบอกว่าจะฆ่าเขาก็มีเหตุนำก่อนนี่ เหตุนำคือถ้าฝ่าบาทแต่งตั้งนังแพศยาน่าหลานเป็นจักรพรรดินีหรือสนม หรือเป็นนางบำเรอ หรือจะนับนางเป็นน้องสาวเป็นศิษย์พี่หญิงเป็นสหายเป็นสหายที่รู้ใจ แม่นางจึงจะตัดขาดกับฝ่าบาทน่ะ เวลานี้ฝ่าบาทมิควรบอกจุดยืน บอกว่าไม่มีทางมีความเกี่ยวพันใดๆกับน่าหลานฮั่วซินเลยเด็ดขาด ขีดเส้นตัดขาดกับนางก็มิเป็นไรแล้วมิใช่รึ?

เรื่องที่โหลวซิ่นรู้ เฉินซ่าตอนนี้ไม่รู้ สมองเขาโดนคำพูดเย็นชานั้นเติมเต็มแล้ว และหลังจากที่เจ็บปวดเหลือจะบรรยาย ในใจเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้น

เขาคิดว่าเขากับโหลชีเป็นความสัมพันธ์ที่ยังไงก็ตัดไม่ขาดแล้ว แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่

โหลชีเดินเข้าไปในภูเขาหลายก้าว จากนั้นหันกลับมาบอกเขาว่า "จริงสิ เฉินซ่า"

เฉินซ่ามองนางอย่างเย็นชา

"ที่นี่มีลูกนิลดำ ตู้เหวินฮุ่ยได้บอกท่านหรือไม่?"

โหลชีพูดคำพูดพวกนั้น เพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง มิใช่บอกว่าตอนนี้จะตัดขาดจากเขาเลย หรือจะไม่ตายไม่เลิกรากับเขา ดังนั้นคำที่ควรพูดก็พูดแล้ว ความโกรธนางหายไปหลายส่วน อันที่จริงนางไม่รู้ว่าคำพูดนั้นจะส่งผลต่อเฉินซ่ามากมายขนาดนี้เลย

หลังจากนางถามเสร็จ และเห็นว่าเฉินซ่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยหลังจากได้ยินว่ากระสายยาของตนปรากฏขึ้น นางถึงพบว่าอารมณ์เขาแปลกๆ ไม่ ไม่ใช่แค่แปลกๆ แต่แปลกเอามากๆ

"เฉินซ่า? ฝ่าบาท?" นางเดินเข้าไป ตบบ่าเขาหลายที "นี่ ไม่ต้องแบบนี้กระมัง ตอนนี้พวกเรายังไม่ดัดขาดกันมิใช่รึ? ท่านก็ยังมิได้เกี่ยวดองกับน่าหลานฮั่วซินนี่นา"

เฉินซ่ามองสีหน้าทะมึนเปลี่ยนเป็นสดใสของนางอย่างไว และค้นพบอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา

สตรีนางนี้ สตรีนางนี้เห็นได้ชัดว่าเปิดเผยกว่าเขามากนัก!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ