ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 269

เสียงที่ทุ้มต่ำ โหลชีฟังออกถึงไฟโกรธที่แผดเผาอย่างบ้าคลั่งและเจตนาฆ่าที่รุนแรง

นางด่าเซียวหยงในใจเป็นสิบๆรอบ คุณหนูห้าเซียวแกว่งเท้าหาเสี้ยนเองก็พอแล้ว ทำไมยังจะต้องลากนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย?

ผู้หญิงคนหนึ่งหากแกว่งเท้าหาเสี้ยนขึ้นมา ประสิทธิภาพการทำลายล้างไม่เล็กเลยจริงๆ!

"ข้าไปชื่นชมคุณชายเซียวบ่อยครั้งเมื่อไหร่กัน?" นางใช้สองมือกำเป็นหมัดยันไว้บนหน้าอกของเขา ถูกเขารวบเข้าไปในอ้อมแขนแน่น นางหวนนึกถึงวันเวลาที่ทั้งคู่เคยร่วมเรียงเคียงหมอน แต่ว่าหัวใจดวงน้อยยังคงเต้นระรัวเช่นนี้มันเพราะอะไรกัน?

โหลชีรู้สึกได้อย่างสุดซึ้ง ไก่อ่อนเรื่องความรักรับความผิดหวังไม่ไหว

หากนางมีประสบการณ์โชกโชน ความใกล้ชิดเช่นนี้จะต้องมีภูมิต้านทานอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่ตัวนางเองยังไม่อยากมีประสบการณ์โชกโชนทางด้านนี้ มีประสบการณ์โชกโชนในเรื่องของความรักมันแสดงถึงอะไร?

หนึ่งคือชินชา สองก็คือบาดเจ็บสาหัสเป็นแผลไปหมดทั้งตัว

"ไม่มี?" มือเหล็กของเฉินซ่าล็อกเอวของนางแน่น ในใจก็ผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย นางบอกว่าไม่มีก็คือไม่มี ข้อนี้เขาเชื่อ เขาเชื่อ

"ไม่มีไม่มี! ไม่มีอย่างแน่นอน!" โหลชีส่ายหน้าจนหัวจะหลุดออกจากบ่า ยังพูดเสริมออกมาคำหนึ่ง: "หลอกท่านเป็นลูกหมา" ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าเซียวฉิงคนนี้เป็นคนไม่เลว แต่มันยังไม่ถึงระดับที่จะให้นางชื่นชมบ่อยครั้งหรอก อีกอย่าง นางแต่งเป็นผู้ชายอยู่ ผู้ชายคนหนึ่งไปชื่มผู้ชายอีกคนบ่อยๆ เดี๋ยวคนอื่นก็นึกว่านางเป็นพวกชายรักชายหรอก----

เดี๋ยวก่อนนะ!

โหลชีได้สติกลับมา หันหน้าไปมองทุกคน เฉิงสิบโหลวซิ่นตู้เหวินฮุ่ยและคนอื่นๆต่างก็เข้าใจหลักเหตุผลที่ว่าสิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่าไปสนใจกันอย่างชัดเจน ต่างก็เบือนหน้าออกไปกันหมด ต่างพากันถอนต้นหญ้ามันหมายความว่าอย่างไรกัน? จะแกล้งทำเป็นยุ่งก็แกล้งให้มันมีความหมายหน่อยไหม?

ยังมีเจ้าตัวใหญ่หลูอีกคนหนึ่งที่อ้าปากค้างจนสามารถยัดไข่เข้าไปได้หนึ่งฟอง จ้องมองพวกเขาอยู่เช่นนี้ไม่ขยับเขยื้อนเลย

อืม อันนี้ไร้เดียงสา ไร้เดียงสามาก จนสามารถไม่สนได้

ที่ทำให้คนมองข้ามไม่ได้มากที่สุดก็คือเซียววั่งกับเซียวหยง และยังมีลูกน้องของเซียววั่งแปดคนนั่น ที่อยู่ไม่ไกลออกไป

พวกเขาต่างก็มองดูพวกเขาราวกับเห็นผี เหมือนกับว่าถูกคนสกัดจุดเอาไว้ รักษาความตื่นตกใจและความสงสัยบนใบหน้าเอาไว้ตลอด

นางลืมไปว่าตอนนี้ตนเองเป็นคุณชายเจ็ดอยู่

"ยังไม่ปล่อยอีก? ท่านเป็นถึงฝ่าบาท จะทำให้คนนึกว่าท่านเป็นพวกชายรักชายหรือ?" โหลชีถลึงตามองเขาครู่หนึ่ง

"หากผู้ชายหน้าอมชมพูปากแดงเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คนสะอิดสะเอียนเท่านั้นแหละ" เฉินซ่าฮึออกมาคำหนึ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยามสายตาของคนพวกนั้น

พวกโง่เง่า ท่าทางเช่นนี้ของนางเหมือนผู้ชายตรงไหนกัน?

บางทีแม้แต่ตัวโหลชีเองก็ไม่ได้สังเกต อยู่ต่อหน้าเฉินซ่านางมักจะเปิดเผยความงามที่อ่อนโยนตามธรรมชาติอย่างควบคุมไม่ได้ บวกกับเดิมทีเฉินซ่าก็มีนางอยู่ในใจอยู่แล้ว จะคอยสังเกตทุกการแสดงออกของนางโดยสัญชาตญาณ ทุกสายตานุ่มนวล ย่อมเห็นนางงดงามอ่อนโยนราวกับผู้หญิงอยู่แล้ว และตอนที่โหลชีสวมชุดผู้ชายอยู่ต่อหน้าคนอื่นนั้นเป็นอิสระไม่ถูกจำกัดอย่างสิ้นเชิง บางครั้งยังดูเงียบขรึมเล็กน้อย สีหน้าท่าทางก็ย่อมไม่สดใสเช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นคนอื่นมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วนางเป็นผู้หญิงก็ไม่แปลกเลย

การแสดงออกและสายตาของคนคนหนึ่ง แค่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มันจะมีผลต่อลักษณะท่าทางของคนทั้งคนอย่างมาก

"ท่านว่าข้าน่าสะอิดสะเอียน?" โหลชีจงใจหาเรื่อง

เฉินซ่าหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาหยุดอยู่บนริมฝีปากแดงของนาง เขาไม่พูดอะไร แต่ความหมายแสดงออกอย่างชัดเจน ข้าหมายความเช่นนี้หรือไม่ สามารถพิสูจน์ด้วยวิธีบางอย่าง

โหลชีพ่ายแพ้

เขากล้าจูบนางต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จริงๆ เขากล้า แต่นางไม่กล้า

"แหะๆ ข้าล้อเล่น ไปกันเถิดไปกันเถิด หากยังไม่ไปอีก ลูกนิลดำจะถูกคนเด็ดไปแล้ว"

"ถูกคนเด็ดไปก็ไม่เป็นไร แย่งมาก็พอ" ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่กล่าวอย่างใจเย็น

ใต้เท้าโหลชีลื่นไถล เกือบจะล้มลงไป

ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ ท่านกล่าวเช่นนี้จะดีหรือ? ตรงนี้ยังมีคนที่เห็นลูกนิลดำเป็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเอามาได้อย่างง่ายดายอย่างเห็นได้ชัดอยู่ท่านหนึ่ง

นางชำเลืองมองไปที่ลูกน้องแปดคนนั้นของเซียววั่งโดยไม่ทิ้งร่องรอยครู่หนึ่ง วรยุทธขององครักษ์บ่าวรับใช้ในจวนของเซียววั่งนางรู้ดี มีครึ่งหนึ่งคือหมัดเท้าปักบุปผา ยังมีอีกครึ่งหนึ่งสูสีกับพวกถูเปิน มีไม่กี่คนที่เหนือกว่าเล็กน้อย ครั้งก่อนถูกนางทำลายวรยุทธไปกว่าครึ่ง หากจะกล่าวว่าแปดคนนี้เป็นคนที่เขาว่าจ้างมาใหม่ นาง----

ไม่เชื่อจริงๆ

วรยุทธของแปดคนนี้สูงมาก นางกล้าพูดกระทั่งว่า สูงกว่ากลุ่มคนสองร้อยคนที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ด้วยซ้ำ แน่นอนว่า วรยุทธสูงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร บางทีเขาอาจจะยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อจ้างคนพวกนี้ล่ะ?

แต่ว่า ลักษณะท่าทางของแปดคนนี้ผิดปกติ

ต่อหน้าเซียววั่งพวกเขาโอหังมาก ถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนอยู่เหนือมวลชนรางๆด้วยซ้ำ เหมือนเซียววั่งหันกลับมาติดตามพวกเขามากกว่า โดยเฉพาะชายหนุ่มหน้าตาหยาบกระด้างมากที่เป็นผู้นำคนนั้น

คนคนนั้นดูแล้วน่าจะแค่ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าผ่านลมหนาวมาแล้วนับไม่ถ้วน สุขุมมาก ลักษณะท่าทางที่แสดงออกมาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆมาก

เป็นไปไม่ได้ที่คนพวกนี้จะเป็นคนประเภทที่จะยอมลดสถานะลงมาเป็นองครักษ์ให้กับคนธรรมดาคนหนึ่งเพื่อเงินเพียงเล็กน้อย

เซียววั่งได้สติกลับมา มองโหลชีด้วยสายตาซับซ้อนครู่หนึ่ง คุณชายเจ็ดคนนี้คงไม่ใช่สนมชายของคุณชายที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้หรอกนะ?

เขาถึงรู้สึกว่ารูปร่างท่าทางของคุณชายเจ็ดคนนี้ดูงดงามเกินไปหน่อย หากบอกว่าเป็นสนมชายของท่านผู้นี้ เขาเชื่อจริงๆ

"ท่านนี้----" เขาไม่รู้ว่าควรจะเรียกท่านผู้นี้อย่างไร หยุดไปครู่หนึ่งถึงได้กล่าวต่อไป: "คุณชายท่านนี้ อยู่ดีๆท่านก็ทำร้ายน้องสาวของข้าโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ ไม่มีความรู้สึกขอโทษสักนิดเลยหรือ?"

น้องสาว?

นึกว่าเขาโง่หรือ? พวกเขาเหมือนพี่น้องที่ไหนกัน? เฉินซ่ากวาดตามองครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่เซียววั่งนึกว่าที่เขาพยักหน้าเพราะต้องการจะขอโทษนั้น เฉินซ่าก็พูดออกมาอย่างราบเรียบ เยือกเย็นไม่สะทกสะท้านมากสองคำ "ไม่มี"

พุด

โหลชีเกือบจะหัวเราะก๊ากออกมา

เซียววั่งชะงักงัน จากนั้นก็มีไฟพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก เขายังจะพูดอะไรต่ออีก เซียวหยงก็กล่าวออกมาอย่างเศร้าสร้อยแล้ว: "พี่ชาย เราไปกันเถิด"

นางมองดูเฉินซ่าด้วยสายตาตำหนิครู่หนึ่ง ก้มหน้าลงไป ตนเองดูทุลักทุเลเช่นนี้ ไหนเลยยังจะกล้าอยู่ต่อหน้าเขาอยู่อีก

เซียววั่งฮึออกมาคำหนึ่ง ประคองนางเดินไปทางองครักษ์แปดคนนั้นอย่างเร่งรีบ

ก่อนที่เซียวหยงจะจากไปยังจ้องมองโหลชีอย่างโกรธแค้นครู่หนึ่ง ทำให้โหลชีรู้สึกงุนงงเล็กน้อย คนที่ตบนางกระเด็นคือเฉินซ่า ไม่ใช่นางสักหน่อย!

พวกเขาจากไปอย่างรวดเร็ว ในร่องคูลึกนี้เหลือแค่พวกเขาอีกแล้ว

"นายท่าน ควรไปได้แล้ว" เยว่เดินไปถึงข้างกายเฉินซ่า

ครั้งนี้พวกเขามาเพื่อโหลชี ลูกนิลดำคือความโชคดีที่คาดไม่ถึง

ในเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ย่อมต้องเดินทางไปพร้อมกันอยู่แล้ว ถึงแม้เฉินซ่าจะยังโกรธโหลชีอยู่ แต่ครั้งนี้ไม่เดินแยกกับนางแล้ว เยว่เดินอยู่ด้านหน้า ต่อด้วยเฉินซ่ากับโหลชี เฉิงสิบกับโหลวซิ่นยังมีองครักษ์ที่มาจากตำหนักจิ่วเซียวอีกคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง ตามด้วยเสี่ยวโฉวกับถูเปินและคนอื่นๆ พวกตู้เหวินฮุ่ยอยู่รั้งท้าย

มองเช่นนี้ ขนาดกลุ่มของพวกเขาไม่เล็กเลย

เมื่อเดินไปถึงหน้าทุ่งดอกไม้นั่น จู่ๆโหลชีก็ทำจมูกฟุดฟิดกะทันหัน จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย "ไม่ถูก ไม่ถูก กลิ่นหอมที่ข้าได้กลิ่นเมื่อครู่นี้ไม่ได้ลอยมาจากดอกไม้พวกนี้"

คำพูดของนางทำให้ทุกคนอึ้งไป ที่นี่ก็มีแค่ทุ่งดอกไม้นี้เท่านั้น แล้วยังเบ่งบานด้วยสีสันสดสวยเช่นนี้อีก แล้วอยู่ตรงต้นลมพอดีด้วย หากกลิ่นหอมที่ได้กลิ่นไม่ได้ลอยมาจากดอกไม้พวกนี้ เช่นนั้นแล้วมันลอยมาจากไหน?

ทุ่งดอกไม้นี้ถูกคนที่ผ่านไปก่อนหน้านี้ทำลายไปเกือบหมดแล้ว อาจเพราะมีคนใช้ดาบใช้กระบี่ฟันไปเรื่อย กิ่งไม้หักไป ดอกไม้ก็ร่วงหล่นเป็นกลีบๆ บนพื้นมีกลีบดอกไม้สีสันสวยสดหนาชั้นหนึ่ง ดอกที่ไม่เสียหายยังเหลืออยู่บนกิ่งไม้อีกแค่ไม่กี่ดอก

"แม่นาง ท่านดู!"

จู่ๆเฉิงสิบก็ชี้ไปทางดอกไม้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยต้นหนึ่ง ดอกไม้ต้นนั้นไม่ได้แออัดอยู่ในทุ่งนี้ แต่เติบโตเพียงลำพังอยู่ด้านหนึ่ง เลยรอดพ้นจากการถูกฟันไปเรื่อย ตอนนี้บนยอดกิ่งไม้ยังมีดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างดีอยู่หลายดอก

แต่สิ่งที่เฉิงสิบต้องการจะให้โหลชีดู กลับเป็นบนพื้น ระยะห่างจากตรงนี้จนถึงตรงกลางดอกไม้นั่นมีเพียงไม่กี่เมตร แต่ระหว่างทางของระยะห่างไม่กี่เมตรนี่ มีกิ้งก่าตายอยู่มากมาย

ความจริงเพราะระยะห่างจากสถานที่ที่เดิมทีพวกเขาอยู่ก็ไม่ได้ใกล้มากนัก ดังนั้นกิ้งก่าที่อยู่ในแกนดอกไม้ก็มีเพียงผู้ที่มีกำลังภายในลึกล้ำเท่านั้นถึงจะเห็นได้อย่างชัดเจน เฉินซ่ากับโหลชีมองเห็นอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ก็มีหลายคนที่มองเห็นรางๆ

เดิมทีโหลชีนึกว่ากิ้งก่าพวกนี้ผิดปกติ นางยังเดาว่าถูกพวกมันกัดจนคนพวกนั้นอาจจะถูกพิษหรืออะไรทำนองนั้น แต่ตอนนี้เห็นกิ้งก่าตายมากมายที่นี่ นางพบว่าตนเองเดาผิดอีกแล้ว

หากกิ้งก่าพวกนี้เก่งกาจอย่างที่นางคิดเอาไว้ขนาดนั้นจริงๆ ทำไมใต้พุ่มดอกไม้ถึงไม่มีซากศพเหลือทิ้งไว้สองสามศพล่ะ และไม่มีคนร้องตะโกนว่ากิ้งก่ามีพิษอะไรทำนองนั้นเลย

คนผ่านไปหมดแล้ว กิ้งก่ากลับตายหมด

"ทางออกอยู่ตรงนี้" เยว่ทะลุผ่านทุ่งดอกไม้เล็กๆแห่งนี้ ตรงนั้นมีทางผ่านระหว่างกำแพงภูเขาอยู่ทางหนึ่ง มันเล็กมาก สามารถผ่านได้แค่คนเดียวเท่านั้น "นายท่าน รีบไปกันเถิด"

เยว่รู้สึกใจร้อนเล็กน้อย มีคนผ่านไปมากมายขนาดนี้แล้ว ถึงแม้ทะเลสาบจะใหญ่มาก จะเดินรอบทะเลสาบก็ต้องใช้เวลา แต่ว่าคนมากมายขนาดนี้ หากลูกนิลดำเติบโตอยู่ริมทะเลสาบจริงๆ เช่นนั้นไม่ช้าก็จะถูกคนเด็ดไป

หากพวกเขายังต้องเดินกลับมาทางเก่ายังพอว่า อย่างมากก็แค่ทำอย่างที่ฝ่าบาทกล่าว รอพวกเขากลับมา ก็แย่งเอา แต่ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือที่นี่ไม่จำเป็นต้องเดินกลับมา ได้ยินมาว่าตรงนั้นมีทางที่ใช้ออกไปได้ อ้อมกลับไปที่เมืองนั่วรา หากมีคนได้ลูกนิลดำไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็แอบออกไป พวกเขาจะไปหาที่ไหน?

"ใต้เท้าองครักษ์เยว่มักจะรีบร้อนเช่นนี้ไปทำไมกัน?" โหลชีกลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ "ใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้"

"พระสนม คำกล่าวนี้ใช้ตรงนี้ไม่เหมาะสม" เยว่กล่าวออกมาอย่างจนปัญญา

"คำพูดอาจจะธรรมดาแต่เหตุผลถูกต้องมาก" โหลชีสั่งให้เฉิงสิบและคนอื่นๆถอยไปด้านหนึ่งแล้ว แล้วดึงเฉินซ่าเดินไปทางดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลออกไปต้นนั้น แล้วก็กล่าวเสริมขึ้นมาอย่างยินดีปรีดาในความโชคร้ายของคนอื่นเล็กน้อย "อีกอย่างหนึ่ง หากเจ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นต่อ อีกเดี๋ยวก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ลมพิษลอยมาจากทางออกนั้นนั่นแหละ เจ้ายืนอยู่ตรงนั้น พอดีจะได้สูดดมเข้าไปให้หมดคนเดียว"

สีหน้าเยว่เปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบถอยออกไปทันที

ตรงนั้นมีลมพัดเข้ามา ในสายลมมีกลิ่นหอมหวานเลี่ยนที่พวกเขาได้กลิ่นก่อนหน้านั้นติดมาด้วย แต่ลมไม่ได้พัดตลอดเวลา และดูเหมือนจะไม่ต่อเนื่อง พัดมาเพียงครั้งคราวเท่านั้น

โหลชีใช้นิ้วมือสะกิดแขนของเฉินซ่า "ฝ่าบาท ท่านลองดูหน่อยว่ากิ้งก่าพวกนั้นตายเพราะถูกพิษใช่หรือไม่"

เมื่อก่อนนางเป็นสาวใช้ของเขา ยังประจบประแจงเรียกเขาว่านายท่านตามเยว่กับอิง ในตอนที่โกรธก็เรียกชื่อพร้อมแซ่ของเขาเป็นครั้งคราว ตอนนี้ไม่เรียกนายท่านแล้ว เปลี่ยนมาเรียกฝ่าบาท เขาไม่ชอบ

"ฝ่าบาทสองคำนี้ คือให้คนนอกเรียก" ขณะที่เขาก้มลงไปหยิบกิ้งก่าขึ้นมาตัวหนึ่ง ก็กล่าวเสียงขรึมไปด้วย

โหลชีตะลึงงัน "ข้าก็เรียกเพื่อแสดงความเคารพที่มีต่อท่านไง" เป็นคนดีช่างยากจริงๆ

"ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเคารพ"

เคารพคำนี้ ถูกนางใช้กับเขา ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ไม่ชอบใจเลย ไม่ชอบใจ

โหลชีแอบทำหน้าทะเล้นใส่เขา เป็นการแสดงว่าท่านผู้นี้ช่างเอาใจยากแท้

"เช่นนั้นต่อไปข้าเรียกท่านด้วยชื่อโดยตรงเลย?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ