ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 276

"นางมัจฉาชุดดำสามคนนั้นบอกว่าทะเลสาบนี้เรียกว่าทะเลสาบลืมทุกข์ ผิวเผินดูนิ่งสงบ แต่ที่จริงแล้วก้นทะเลสาบคดเคี้ยวเลี้ยวลดราวกับเขาวงกต ถ้ำลึกด้านล่างนี้ลึกจนแม้แต่พวกนางที่อยู่นี่มาสามปียังไม่กล้าเข้าไป" เยว่เอ่ย "แต่สภาพการณ์ทะเลสาบลืมทุกข์นี้คนภายนอกต้องไม่รู้แน่ เพราะมีบันทึกอยู่แต่ในบันทึกลับของราชวงศ์ พวกนางก็ไม่รู้ว่าบันทึกอะไร แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ หากมีคนมาทะเลสาบนี้เป็นการเฉพาะ เช่นนั้นต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เป่ยชางแน่"

โหลชีนึกถึงผู้หญิงที่เซียวหยงบอก

"ข้าว่า ข้ารู้ว่าเป็นใครนะ"

เฉินซ่าเหลือบมองมาแวบหนึ่ง "พูดเรื่องงานก็ช่างเถิด แต่ลองดึงมาเกี่ยวกับข้าอีกสิ"

โหลชีกรอกตาขาวใส่ "ไม่ดึงมาเอี่ยวกับเจ้าหรอก คนเขาจะแต่งงานกับตงสือยู่อยู่แล้ว ข้ายังจะพูดถึงเจ้าทำไมกัน?"

เยว่ตะลึง "พระสนมหมายถึงองค์หญิงใหญ่ของเป่ยชางหรือ?"

"มิผิด เป่ยฝูหรงผู้นี้ก็ใช่ย่อย นางต้องการลูกนิลดำ ไม่รู้ว่าจะแลกเปลี่ยนอะไรกับเฉินซ่าอีก เกี่ยวดองคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือร่วมมือ"

"เวลานี้สุขภาพฮ่องเต้เป่ยชางไม่สู้ดีนัก" เฉินซ่าเอ่ยเรียบ

ก็นั่นนะสิ เป่ยฝูหรงน่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างใช้ได้และทิ้งได้ เห็นว่าแต่งกับเฉินซ่าไม่ได้แล้ว จึงเบนเป้าแต่งงานไปทางตงสือยู่แทน จากนั้นค่อยตัดสินใจร่วมมือกับเฉินซ่าในอีกรูปแบบหนึ่ง

"ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายหกกับเป่ยฝูหรงจะเป็นอย่างไร หรือพวกเขาจะทำอะไร ข้าแค่รู้ว่าถือของอยู่กับมือปลอดภัยที่สุด"

ไม่ต้องขอไมตรีหรือถูกบีบให้ร่วมมือ ก็เหมือนกับน่าหลานฮั่วซินที่ต้องการงูยักษ์เย็นสารทฤดูในตอนนั้น ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์

แล้วยังมีเขาเฉินอวิ๋นกับเขาปี้เซียนอีก โหลชีล่วงเกินเสิ่นเมิ่งจวินกับจิ่งหยาวอะไรของเขาปี้เซียนนั้นหนักไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงยังไม่มาเอาเรื่องกับนาง หรือว่าไขหินพันปีของปลอมที่จิ่งหยาวเอากลับไปมอบจะมีปัญหา?

ยังมีเขาเฉินหวิ๋นอีกสำนัก ครั้งที่แล้วอยู่ๆ ก็ส่งคนมาวางกับดักเอาชีวิตนาง ก็คงเป็นได้แต่ศัตรูเป็นมิตรไม่ได้

แล้วยังมีลัทธิสิ้นโลกีย์อีก ดีไม่ดีถึงเวลายังมีตระกูลโหล ตระกูลซวนหยวนอะไรออกมาด้วย โหลชีถอนหายใจ รู้สึกว่าตนจะปล่อยใจให้สบายไม่สนเรื่องใต้หล้าคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ

เวลานี้นางมีความรู้สึกหนึ่ง รู้สึกว่าความรู้มากมายเหล่านั้นที่นักพรตเลวเริ่มสอนมาตั้งแต่เล็ก ให้นางแช่ร้อยยา และอะไรก็ให้นางเรียนหมดนั้น ก็เพื่อส่งนางมาโลกนี้ในสักวันหนึ่งนี่เอง

แล้วยังความฝันเหล่านั้นอีก นางราวกับรู้สึกว่าบ่าตัวเองหน่วงหนัก มีภาระที่ปลดระวางไม่ได้ ก่อนที่เรื่องราวจะปรากฏอยู่ตรงหน้า สบายได้วันหนึ่งก็วันหนึ่ง

แต่หากทางเดินในอนาคตของนางต้องเผชิญกับอุปสรรคเหล่านั้น เช่นนั้นนางก็ต้องเจาะจงติดตามความอิสระเบาสบายไร้ปัญหา หรือมิเช่นนั้น...ก็สู้มันเสียเลย!

ใครมาแหย่นาง นางก็ซัดกลับไปให้หนัก! ซัดจนกว่าอีกฝ่ายลงไปกองขยับไม่อีก!

หากจะสู้ แม้มีพันธมิตรแค่เฉินซ่าคนเดียวก็ยังดี! เพราะคนผู้นี้ดูแล้วก็คือเจ้าแห่งความวุ่นวายเหมือนกัน!

เฉินซ่าเหลือบมองโหลชีแวบหนึ่ง เขารู้ว่านางเหม่อลอยอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ดวงตานางกลับมีไฟสงครามลุกโชน เขาชอบจุดนี้ เขาชอบ

มักอยากจะหลบหลีก อยากอิสระผ่อนคลาย แต่นั่นไม่เหมาะกับนางเลย นางควรมีเปลวเพลิงแห่งการสู้รบลุกโชนเช่นนี้ เฉกเช่นเดียวกับหงส์อาบอัคคี

เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะผูกมิตรกับพวกองค์ชายหกทางเป่ยฝูหรงนั้นก็ไม่แน่ว่าจะได้เช่นกัน อย่าลืมว่าตอนแรกพวกเขาออกมาจากทุ่งน้ำแข็ง ตงสือยู่กับเป่ยฝูหรงแอบสั่งให้จับกุมพวกเขา

"ดังนั้นทะเลสาบลืมทุกข์นี้ พวกเราจำเป็นต้องสำรวจให้ลึก!" โหลชีมองเฉินซ่าอย่างมุ่งมั่น "ลูกนิลดำอาจไม่อยู่ที่ริมทะเลสาบ แต่เป็นไปได้ว่าจะอยู่ที่ก้นทะเลสาบ! มิเช่นนั้นเซียววั่งพาคนพวกนั้นไหนแล้วล่ะ?"

เฉินซ่าพยักหน้า

"ลงไปด้วยกัน ถึงตอนนั้นก็ระวังตัวด้วย หากไม่ไหวต้องขึ้นมา" โหลชีกวาดตามองทุกคนที่เหลืออยู่ ถามนางมัจฉาชุดดำสามคนนั้นรู้ว่าทางออกอยู่ที่ไหนแล้ว ดังนั้นจึงให้ตู้เหวินฮุ่ยพาผู้ส่งสารสิบคนอารักขาถูเปินสามพี่น้องและพวกเสี่ยวโฉวกับเซียวหยงเดินทางออกจากที่นี่ก่อน พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่เพียงช่วยเหลือไม่ได้ แล้วยังอาจพบกับอันตรายอีก เพียงแต่ผู้ชายสามคนนั้นที่ติดตามเซียวหยง ถูกองครักษ์เยว่แอบสั่งให้เก็บระหว่างทาง

พวกเขาล้วนเป็นพวกประสงค์ร้าย ที่นี่เกี่ยวพันถึงราชวงศ์แล้ว พวกเขารู้ฐานะของเฉินซ่ากับโหลชี ออกไปต้องเผยข่าวที่ทั้งสองอยู่ที่นี่ในเวลานี้แน่ ตอนนี้พวกเขาก็มีคนไม่เพียงพอ หากราชวงศ์เป่ยชางหรือตงสือยู่ต้องการฉวยโอกาสแอบกำจัดพวกเขา นี่ก็จะเป็นโอกาสดี!

เซียวหยงถูกโหลชีวางยา แต่เห็นแก่เซียวหั่วนางจึงละเว้นเซียวหยง แต่ก็ให้นางหมดสติไปก่อน เอาไว้ออกไปดูสถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร

"แม่นาง แล้ววู๊วูจะทำอย่างไร?" เฉิงสิบเบือนหน้า หางของจิ้งจอกม่วงปัดหน้าเขาอยู่

ก่อนหน้านี้โหลชีคิดจะให้จิ้งจอกม่วงตามเสี่ยวโฉวจากไปก่อน แต่อย่างไรจิ้งจอกม่วงก็ไม่ยอมไป เอาแต่ฉุดชายเสื้อผ้านาง ด้วยความจนใจจึงให้มันอยู่ต่อ

"วู๊วู" จิ้งจอกม่วงมองทางโหลชี

โหลชีส่ายหน้า "วู๊วู เราจะลงน้ำ หากไม่ได้อยู่บนฝั่ง เจ้าจะหาข้าเจอไหม?" นางพูดไปก็ทำมือทำไม้ไป

จิ้งจอกม่วงวู๊วูร้องสองเสียง มุดออกจากอ้อมแขนของเฉิงสิบ วิ่งพรวดไปไกลราวกับสายฟ้าสีม่วง ขยับเข้าดมที่ริมทะเลสาบ แล้วเงยหน้ามองนางอีก

"พระสนม จิ้งจอกน้อยตัวนี้ช่างรู้ความจริง" เยว่ประหลาดใจมาก นี่วู๊วูกำลังบอกพวกเขา ว่าไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน มันก็ตามกลิ่นพวกเขาได้

โหลชีกวักมือ จิ้งจอกม่วงวิ่งพรวดกลับมา แต่กลับไต่ขึ้นบ่าโหลชีเท่านั้น ไม่กล้าปีนไปอยู่ในอ้อมแขนนางอีก

เฉินซ่ากวาดสายตามองมันทีหนึ่ง มันขดตัว พยายามลดความมีตัวตนให้น้อยลงที่สุด

"นายท่าน สามคนนี้ล่ะ?"

เยว่ชี้นางมัจฉาชุดดำสามคนนั้น ครั้นเห็นแววตาที่พวกนางมองโหลชีมีความหวั่นเล็กน้อย อดลูบจมูกเป็นไม่ได้ เมื่อคืนที่ถามได้ความจากปากพวกนาง อันที่จริงสุดท้ายเขาก็อาศัยวิธีการนั้นของโหลชีเช่นกัน สามคนนี้ปิดปากสนิทมาก ไม่กลัวการลงทัณฑ์ อย่างไรก็ไม่ยอมพูด แต่รับไม่ได้กับวิธีการนั้นของโหลชีเพียงอย่างเดียว

โหลชีมองเขาอย่างยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม มิได้เปิดโปง

นางรู้ว่าตัวเองต่ำทราม นางมัจฉาทั้งสิบแปดฝึกฝนอยู่ที่นี่ตลอด คงจะเคยชินกับความเจ็บปวดแล้ว พวกนางย่อมไม่กลัวการลงทัณฑ์ แต่พวกนางไม่ได้สัมผัสชายมาเป็นเวลานาน ต้องมีความหวาดกลัวที่ไม่รู้แน่ แล้วยังเรื่องระหว่างชายหญิงอีก นอกจากหญิงที่แอ่นอกเข้าโจมตีเฉินซ่าและถูกนางสังหารไปในท้ายที่สุดแล้ว คนอื่นๆ เมื่อเห็นผู้ชายมากมายเพียงนี้ อันที่จริงก็มีความหวาดหวั่นอยู่ในแววตาเล็กน้อย ดังนั้นวิธีการที่นางเอ่ยจึงไม่ใช้แค่การล้อเล่นเรื่อยเปื่อย

"พาพวกนางลงไปด้วย ที่ที่พวกนางเคยสำรวจยังไม่ต้องไป" เฉินซ่าเอ่ย

โหลชีราวกับมีความคิด ถามพวกนาง "พาพวกเราไปที่ที่พวกเจ้ากลัวที่สุด ไม่กล้าไปสำรวจ "

นางมัจฉาทั้งสามต่างเผยอารมณ์ตะลึงกลัวออกมาพร้อมกัน "คุณชาย ที่นั่นมีกระแสน้ำวนใต้น้ำ!"

"กระแสน้ำวนใต้น้ำ?" โหลชีตะลึง นางนึกถึงครั้งนั้นที่ตนข้ามมิติมา ก็มิใช่กระแสน้ำวนหรอกหรือ? เป็นไปได้ไหมว่ากระแสน้ำวนนี้จะทำให้นางกลับไปได้?

ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวสมองนาง จากนั้นก็ลุกลามออกไปอย่างบ้าคลั่งราวกับได้เชื้อเพลิง

หากนางกลับไปได้ อย่างนั้นก็ไปเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวกับนักพรตเลว ถามให้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากัน! อีกอย่าง เจ้าคนที่ซ่อมเฮลิคอปเตอร์ให้นางในตอนนั้น นางยังคิดถึงอยู่เสมอ ต้องกลับไปอัดให้หนักสักยก!

เฉินซ่าไม่ชอบสีหน้าคึกคักในเวลานี้ของโหลชีเลย ไม่ชอบ ไม่ชอบเอามากๆ

เขารู้สึกว่าสิ่งที่นางกำลังคิดในเวลานี้ต้องเป็นความคิดอะไรที่ทำให้เขาโมโหแน่ เขาจึงยื่นมือออกไปกระชากแขนนาง เอ่ยอย่างอันตราย "สนมรักของข้าคิดอะไรอยู่หรือ?"

สนมรักของข้า...

ฮะ นางพูดได้ไหมว่าไม่ชินสุดๆ?

"ไม่ได้คิดอะไร เราก็ไปที่นั่นนั่นแหละ ผิวทะเลสาบนิ่งขนาดนี้ ข้างใต้กลับมีกระแสน้ำวน เช่นนั้นต้องมีอะไรผิดปกติแน่"

เฉินซ่ามองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง "ได้"

"คุณชาย ที่นั่นอันตรายจริงๆ..." นางมัจฉาชุดดำยังคงห้ามปราม แต่โหลชีตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปที่นั่น

เนื่องจากต้องลงน้ำ พวกเขาจึงต้องสะสมพลังงานและความร้อนให้เพียงพอ ดังนั้นจึงไปล่ากระต่ายจำนวนหนึ่งมาย่าง ให้กินอิ่มกันทุกคน

"แถวนี้ไม่พบพวกเซียววั่งเลย" ระหว่างที่เฉิงสิบกับโหลวซิ่นล่ากระต่ายก็ลวดค้นหาคนพวกนั้นด้วย แต่กลับไม่ได้อะไรเลย

"พวกเขาต้องลงน้ำไปแล้วแน่" โหลชีเอ่ย

ด้วยเช่นนี้พวกเขาจึงยิ่งมั่นใจว่าลูกนิลดำต้องอยู่ในน้ำแน่

เดิมสถานที่นี้ก็แปลกอยู่แล้ว พระตำหนักของยี่อ๋องเกิดเพลิงไหม้ แผ่นดินไหวอย่างไม่มีสาเหตุ ใต้พิภพยังมีพระราชวังใต้ดินที่ราวกับวังผี ถูกเผ่าอมนุษย์ครอบครอง แม้แต่ดอกพิษขนาดยักษ์ก็ยังมี เช่นนั้นหากเบื้องล่างทะเลสาบลืมทุกข์นี้จะมีกลไกก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ก่อนลงน้ำ โหลชีดึงดันนำพวกเขาบริการอบอุ่นร่างกายก่อนชุดหนึ่ง

"แม่นาง กระบวนท่าพวกนี้แปลกจริง มีประโยชน์กับการลงน้ำหรือ?" โหลวซิ่นสะบัดมือสะบัดเท้าพลางกระตุกมุมปาก เขารู้สึกว่าท่าทางนี้ไม่เท่สักนิด

โหลชียื่นมือออกไปชี้เยว่ที่ยืนอยู่ "ใช่สิ มีประโยชน์ ใต้เท้าองครักษ์เยว่รีบบิดเอวยืดขาตามเร็ว นี่เป็นการป้องกันการเป็นตะคริว"

เยว่มองทางเฉินซ่าอย่างจนใจ "นายท่านก็ไม่ได้ทำสักหน่อย"

"เจ้าเทียบกับเขาได้หรือ?" โหลชีเหล่ตามองเขา

เยว่นึกว่านางหมายถึงวิทยายุทธ์ของฝ่าบาท คิดไม่ถึงว่านางกลับพูดต่อว่า "เขามีข้าดูแลอยู่"

เยว่ "..." นี่ไม่ใช่การฉวยโอกาสเอาคืน บวกกับเปลี่ยนมาชมเชยตัวเองจริงๆ หรือ?

"แล้วเหตุใดท่าทางของข้าน้อยจึงไม่เหมือนกับพวกเฉิงสิบเล่า?" เยว่ทำไปๆ ก็งุนงงอีก

โหลชีนิ่งมาก "เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งไปล่าสัตว์มา ฉะนั้นเจ้าต้องทำอีกกระบวนท่าหนึ่ง"

เยว่พยักหน้า แล้วทำท่าทางตามที่นางสอนต่อ ไม่เห็นสีหน้านางมัจฉาชุดดำสามคนด้านหลังที่กลั้นหัวเราะจนเกือบจะเป็นลมไปแล้ว

โหลชีนวยนาดมาอยู่ข้างเฉินซ่า หันหน้าเขาให้ตรงกับทิศทางขององครักษ์เยว่ ยิ้มตาหยีเอ่ย "เฉินซ่า ข้าร้องเพลงให้เจ้าฟังดีไหม? ดูสิ ใต้เท้าองครักษ์เยว่กำลังเต้นอยู่ด้วยแน่ะ"

เฉินซ่ามองเยว่อย่างงุนงง เต้นอยู่?

โหลชีกระแอมๆ ล้างลำคอ "กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา..."

ท่าทางที่กำลังโบกของเยว่หยุดชะงักทันที...

อุ๊บ!

โหลวซิ่นกลั้นไม่อยู่หัวเราะลั่น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ