บทที่ 277 ช่วงความเป็นความตาย – ตอนที่ต้องอ่านของ ใต้ร่มยาใจ
ตอนนี้ของ ใต้ร่มยาใจ โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายประวัติศาสตร์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 277 ช่วงความเป็นความตาย จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เบื้องล่างทะเลสาบลืมทุกข์ต้องมีอันตรายนานัปการแน่ จากสีหน้านางมัจฉาทั้งสามก็รู้ได้ แต่ด้วยการแทรกเรื่องขบขันของโหลชี บรรยากาศตึงเครียดตุ้มๆ ต่อมๆ จึงหายไปพลัน
นอกจากสีหน้าจนใจขององครักษ์เยว่แล้ว ทุกคนก็ลงน้ำด้วยมุมปากที่อมยิ้ม รวมไปถึงเฉินซ่าด้วย
ทุกคนลืมศพนับร้อยไปเสียสนิท แต่ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าลอยไปถึงไหนแล้ว ที่พวกเขาต้องระวังกลับเป็นนางมัจฉาที่นำทางต่างหาก
ครั้นพวกนางลงน้ำก็ประหนึ่งมัจฉาน้อยที่พลิ้วไหว ขณะแหวกว่ายร่างกายเคลื่อนไหวงดงาม ท่วงท่าองศาเล็กแต่กลับเร็ว ช่างน่าถอดถอนใจชมเชยนัก แต่เมื่อคิดว่าพวกนางทั้งสิบแปดสังหารคนนับร้อยในน้ำแล้ว หัวใจพวกเขาก็ชาขึ้นมา น้ำเป็นถิ่นของพวกนาง และนี่ก็เป็นที่ที่พวกนางคุ้นเคย ดังนั้นพวกเขาต้องระวังแล้วระวังอีก
น้ำทะเลสาบใสกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก มองเห็นความสูง หลังจากลงน้ำแล้วนางมัจฉาก็ว่ายอยู่ข้างหน้า ว่ายไประยะหนึ่งก็ทำท่ามือให้กัน แต่ไม่ได้ทำลับสายตาพวกเขา
โหลชีว่ายอยู่ข้างเฉิงสิบ จับมือเขา ว่ายน้ำพลางเขียนอักษรนิดหน่อยบนฝ่ามือ เฉิงสิบพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ จากนั้นนางก็ว่ายไปอยู่ข้างโหลวซิ่นอีก เขียนอักษรในมือเขาเช่นกัน โหลวซิ่นพยักหน้าด้วย
พวกเขาลงน้ำกันแค่หกคน เฉิงสิบกับโหลวซิ่นแยกไปว่ายอยู่ข้างองครักษ์เยว่กับองครักษ์อีกนามหนึ่ง องครักษ์นามนี้เฉิงสิบกับโหลวซิ่นย่อมรู้จัก เพราะพวกเขาเคยอยู่ร่วมกันมา ล้วนเป็นองครักษ์ยอดหัวกะทิของตำหนักจิ่วเซียว ขณะที่โหลชีเพิ่งว่ายกลับมาอยู่ข้างเฉินซ่า เขาก็จับมือนางแล้วบีบแรงๆ โหลชีรู้สาเหตุที่เขาทำเช่นนี้ แต่กลับทำเป็นไม่รู้
ไม่ใช่ว่าไม่พอใจที่นางเพิ่งไปจับมือเฉิงสิบกับโหลวซิ่นหรอกหรือ? แต่นางอยู่ในน้ำนี่ ทำอย่างไรได้? พูดไม่ได้สักหน่อย
เบื้องล่างทะเลสาบลืมทุกข์นี้มีฟ้าดินอีกแห่งจริงๆ ลักษณะพื้นที่ก้นทะเลสาบสูงๆ ต่ำๆ แล้วยังมีโขดหินใต้น้ำอยู่บ้าง บางครั้งก็ว่ายผ่านร่องหินไป
พวกเขาจะลอยขึ้นมาหายใจที่จุดน้ำตื้นได้ทันเวลา ว่ายมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังที่เผาผลาญพลังงานมาก และการแช่อยู่ในน้ำนานยังทำให้รู้สึกไม่สบายอีก เสียแต่ที่นี่ไม่มีเรือ ดังนั้นจึงได้แต่ว่ายน้ำจากฝั่งไปยังสถานที่เป้าหมาย
ใต้ทะเลสาบมีปลามากมาย แล้วยังมีปลาแก้วหิมะที่โหลชีจับในหุบเขาลึกลับตอนเพิ่งมาถึงโลกนี้ใหม่ๆ และปลาแก้วหิมะของที่นี่ก็ใหญ่กว่าปลาแก้วหิมะทางหุบเขาลึกลับมากด้วย
ว่ายอีกระยะหนึ่ง นางมัจฉาด้านหน้าก็ชี้ขึ้นข้างบน เป็นการบอกให้ขึ้นไปหายใจ ทุกคนเหยียบอิฐที่พื้นน้ำทันที ครั้นขึ้นมาถึงผิวน้ำทุกคนก็หายใจกระหืดกระหอบ เหนื่อยอ่อนประมาณหนึ่ง เยว่รูดน้ำบนใบหน้าแล้วถามนางมัจฉา "อีกไกลไหม?"
นางมัจฉานางนั้นเอ่ย "ก็ไม่ไกลมาก แต่ก็อยู่ที่ความเร็วของพวกท่าน จะเพิ่มความเร็วอีกไหม?"
"พวกเจ้ายังว่ายได้เร็วกว่านี้อีกหรือ?" เมื่อทุกคนได้ยินแล้วก็ตกตะลึง ความเร็วของพวกเขาเมื่อครู่ก็ไม่ถือว่าช้าแล้ว แถมยังว่ายมาเกือบครึ่งชั่วยาม เรี่ยวแรงถดถอย ตอนนี้พวกนางยังบอกว่าเพิ่งความเร็วได้อีก?
นางมัจฉานางนั้นเอ่ย "พวกเราได้ แต่อยู่ที่พวกท่านจะเพิ่มความเร็วหรือไม่เท่านั้น หากเร็วขึ้น ว่ายอีกหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว"
ในบรรดาพวกเขาโหลวซิ่นกับองครักษ์เว่ยส่านว่ายน้ำได้แย่ที่สุด โหลวซิ่นตามเยว่ เว่ยส่านคู่กับเฉิงสิบ
เยว่มองทางเฉินซ่า รอการตัดสินใจของเขา
"เพิ่มความเร็วแล้วกัน" เฉินซ่าเอ่ย เมื่อคืนก็ช้าไปคืนหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเซียววั่งหาสถานที่พบลูกนิลดำแล้วหรือยัง หากพวกเขาได้ไปก็ต้องรีบไล่ตาม ถือจะเอาลูกนิลดำมาไม่ได้ พวกเขาก็ต้องรีบออกไปก่อนที่จะถูกเปิดเผยร่องรอย
"ได้" นางมัจฉานางนั้นรับคำ แล้วมุดลงน้ำไปพร้อมกับนางมัจฉาอีกสองคน
"ตามไป ระวังด้วย" เฉินซ่าพูดจบก็พาโหลชีลงน้ำไปอีกครั้ง
ครั้งนี้นางมัจฉาทั้งสามว่ายนำอยู่ด้านหน้าเร็วมากจริงๆ ไม่นานพวกเขาก็แทบไม่เห็นร่องรอยสองคนแล้ว
ทีแรกโหลชีคาดเดาว่าสามคนนี้ต้องการหนี ตอนนี้ก็เห็นท่าทางพวกนางจะเหมือนหนีจริง แต่ขณะที่นางส่งสัญญาณมือให้เฉิงสิบกับโหลวซิ่น ให้พวกเขาเตรียมแยกกันว่ายไปล้อมสามคนนั้น ทันใดนั้น ไม่รู้จากที่ใดก็ปลาสีเทาเขียวฝูงหนึ่งก็มุดออกมาทันที ฝูงใหญ่แน่นขนัดเข้าล้อมพวกเขา
บุ๋มๆๆ!
เยว่เหมือนจะจำปลาชนิดนี้ได้ พริบตาเดียวก็เบิกตาโพลง ลืมว่าเตือนให้ทุกคนรีบหนี
"ปลากิน...บุ๋มๆๆ..."
ฟองอากาศออกมาจากปากเขา แม้คำพูดเขาจะไม่สมบูรณ์ อยู่ในน้ำเสียงก็เบาจนไม่ได้ยิน แต่โหลชีเข้าใจว่าเขาพูดอะไรแล้ว
ปลากินคน!
เชี่ย! ปลากินคนฝูงใหญ่ขนาดนี้!
นางเคยเห็นปลากินคนในป่าฝนเขตร้อนเหมือนกัน แต่แค่ไม่กี่ตัว ไม่ก่อเป็นภัยคุกคามกับนางสักนิด แต่นางรู้ความน่าเกรงขามของปลากินคน เพื่อนร่วมงานของนางคนหนึ่งเคยพบปลากินคนตอนปฏิบัติภารกิจ เขาเคยบรรยายโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นกับนาง เขาหนีสุดชีวิต แต่เพื่อนในทีมที่ร่วมเดินทางมาด้วยคนหนึ่งหนีไม่รอด ถูกปลากินคนฝูงใหญ่รุมทึ้งจนเหลือแต่โครงกระดูกในพริบตา
หากเจอปลากินคนตัวเล็กตัวหนึ่ง อย่างมากก็แค่ถูกกัดนิดหน่อย รีบหนีก็ไม่ตาย แต่ถ้าเป็นปลากินคนฝูงใหญ่เข้าล้อมบุกเล่า? แค่กัดไปตัวละคำก็เหลือแต่โครงกระดูกแล้ว!
เวลานี้ปลากินคนแน่นขนัดฝูงใหญ่ว่ายมาตรงหน้าพวกเขา นี่นับไม่ได้เลยว่ากี่ตัว แต่ต้องไม่น้อยกว่าห้าร้อยแน่!
หากถูกปลากินคนห้าร้อยตัวเข้าล้อมบุก จะเด็ดสะระตี่เพียงใด...
คงไม่เหลือเวลาให้รู้สึก ก็ถูกแทะจนเกลี้ยงในชั่วแวบเดียวแล้ว!
"หนี!"
บุ๋มๆๆ...
สีหน้าเฉินซ่าในน้ำเห็นได้ว่าตึงเครียด เมื่อหันไปเห็นโหลวซิ่นที่อยู่ข้างหลังกำลังพยายามหนักหน่วงแต่กลับเร็วกว่านี้ไม่ได้ ท่าทางจะแย่แล้ว ก็ยื่นมือไปฉุดเสื้อด้านหลังเขา เขวี้ยงเขาไปข้างหน้าพรวดพราดราวกับผลักดัน!
แรงต้านในน้ำมีมาก แต่โหลวซิ่นถูกเฉินซ่าเขวี้ยงไปแบบนี้แล้ว กลับพุ่งไปอยู่ด้านหน้าสุดในพริบตาเหมือนศรวารี
แต่เพราะแรงกิริยาสะท้อน ตัวเฉินซ่าจึงถอยไปด้านหลังประมาณหนึ่งอย่างชัดเจน
เขายื่นมืออีก นิ้วทั้งห้าคว้าเว่ยส่าน แล้วเขวี้ยงเขาออกไปเหมือนกัน ส่วนตัวเขาก็ถอยไปอีกหน่อย
เมื่อเฉิงสิบเห็นเขาจะคว้าตน ก็ส่ายหน้าแรง ไม่! ไม่ได้! ฝ่าบาทจะช่วยเขาไม่ได้อีก มิเช่นนั้นก็จะถ่วงตัวเขาเองให้ช้าลง!
เขาอยากปฏิเสธ แต่เฉินซ่ากลับคว้าเขาไว้ แล้วเขวี้ยงเขาออกไปเหมือนกัน เฉิงสิบรู้สึกว่ากระแสน้ำผ่านตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว แพล็บเดียวก็ทิ้งระยะห่างกับปลากินคนแล้ว
แต่ครั้นหันกลับไป เฉินซ่ากลับใกล้ถูกปลากินคนฝูงนั้นไล่ตามทันแล้ว
"ฝ่า..." บุ๋มๆๆๆ
แม้ทิ้งระยะห่าง แต่ลมที่กลั้นไว้ก็เกือบหมดแล้ว หากไม่ขึ้นไปหายใจอีกต้องได้จมน้ำตายแน่ แต่ถ้าพวกเขาต้องขึ้นข้างบนในเวลานี้ เช่นนั้นก็ต้องถูกปลากินคนไล่ตามทันในไม่ช้า
มิใช่ว่าขึ้นผิวน้ำแล้วจะขึ้นฝั่งได้ พวกเขายังอยู่ใจกลางทะเลสาบ!
เฉินซ่าเขวี้ยงเยว่ไปเหมือนกัน ส่วนตัวเองกลับหันกลับไป
เมื่อโหลชีเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าเขาจะทำอะไรทันที! ที่เหลือก็เอาแต่หันไปมองตลอด นางเดือดพลุซัดฝ่ามือทั้งสองกับน้ำผลักพวกเขาจากด้านหลัง ด้วยกระแสน้ำที่เข้าปะทะจึงทำให้พวกเขาทิ้งห่างออกไปอีกระยะในคราวเดียว แต่ก็เช่นกัน ด้วยกิริยาสะท้อนนางจึงถอยไปอยู่กับแนวเดียวเฉินซ่า
ไปสิ! จะหันมาทำไม!
เยว่หันมาเห็นใบหน้าเดือดพลุของนาง ในใจก็ระทึก
โหลชี! โหลชี! หลายวันมานี้เขาเอาแต่คิดว่านางเอาคืนเขาเรื่องที่นางไปหุบเทพมารเมื่อก่อนหน้านี้ เขาจนใจมาก แต่ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว เรื่องที่นางทำพวกนั้นไหนเลยจะเรียกได้ว่าเอาคืน นั่นเป็นแค่การหยอกล้อเท่านั้น!
ช่วงเวลาความเป็นความตาย นางยังคงช่วยเขาเหมือนเดิม! ในความเป็นความตาย การเลือกและการกระทำของนางเหมือนกับฝ่าบาทของพวกเขา! ให้ทางรอดกับพวกเขา ส่วนตัวเองก็ขวางอยู่หน้าอันตราย! ในความเป็นความตาย นางยืนเคียงกายฝ่าบาท!
นี่ก็คือโหลชี นี่ก็คือผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่ฝ่าบาทต้องการ! นาทีนี้ เยว่ราวกับรู้และเข้าใจในโดยพลัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ