ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 280

พอโหลชีได้ยินอย่างนั้นก็จะดำน้ำลงไป เยว่รีบบอก "พระสนมพักผ่อนเถิด ข้าน้อยจะไปนำเฉิงสิบกลับมา!" พูดจบ เขารีบดำน้ำลงไปทันที

"ท่านรู้สึกหรือไม่ว่า ใต้เท้าองครักษ์เยว่ดูแปลกๆไป?" โหลชีหันถามเฉินซ่า

เฉินซ่ายื่นมือจัดเส้นผมเปียกชิ้นที่ขมับนาง หัวเราะเสียงต่ำ สายตาเป็นประกาย ระยิบระยับตนทำให้โหลชีตาพร่าไปชั่วขณะ พระเจ้า ผู้ชายคนนี้ล่อลวงนางอีกแล้ว---

ทุกครั้งที่เขามีรอยยิ้มหายากแบบนี้ ประหนึ่งแสงสว่างของรุ้งเจ็ดสีที่ฉายแสงหลังน้ำค้างแข็ง ท่าทีสง่างามจนทำให้คนหลงใหลตาไม่กะพริบ

โหลชีโดนเขาช็อตจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร แต่โหลวซิ่นและเว่ยส่านที่อยากจะกำจัดศัตรูที่เหลือให้สิ้นซากกลับได้ยิน ฝ่าบาทพูดว่า นับแต่นี้เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นข้า

ไม่นาน เยว่พยุงเฉิงสิบโผล่ขึ้นมาจากน้ำ

พอโหลชีเห็นบาดแผลที่ไหล่เฉิงสิบ สีหน้าเคร่งเครียดทันที เฉิงสิบรีบบอก "แม่นาง ข้าน้อยแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น มิเป็นกระไร"

เยว่บอก "เฉิงสิบค้นพบบางอย่าง"

ทุกคนพากันหันมองเฉิงสิบ เฉิงสิบกลับก้มหน้าอย่างละอายพลางว่า "ข้าน้อยปล่อยให้เซียววั่งหนีไปได้ ในน้ำมีแนวค่ายหิน เซียววั่งเข้าไปในแนวหินนั่น ไม่นานก็หายไป ข้าไล่ตามไปสักพัก พบว่ามันเป็นหินปะการังที่ทำจากฝีมือมนุษย์ และด้านหน้ามีถ้ำหินที่ใหญ่มากถ้ำหนึ่ง"

เยว่พูดต่อ "เซียววั่งน่าจะเข้าไปในถ้ำหินนั้น"

"งั้นพวกเจ้าเห็นใต้น้ำมีน้ำวนหรือไม่?" โหลชีรีบถามอย่างร้อนใจ

เยว่กับเฉิงสิบพากันส่ายหัว

โหลชีกัดฟัน นางมัจฉาชุดดำสามคนนั่นหลอกพวกเขา หรือว่าน้ำวนมีอยู่จริง เพียงแต่ไม่ได้พาพวกเขาไปที่นั่น?

"ชีชีดูเหมือนจะสนใจน้ำวนเป็นพิเศษ" เฉินซ่าหรี่ตามองมาที่นาง

โหลชีแอบตกใจ ถ้าเขารู้ว่าเป้าหมายที่นางหาน้ำวนคืออะไร ไม่รู้จะจับนางหักคอด้วยความโกรธหรือเปล่า

นางเผยรอยยิ้มออกมา "แค่สงสัยเท่านั้น แค่สงสัย ผิวน้ำทะเลสาบนี้เงียบสงบ ข้าไม่รู้ว่าถ้าใต้น้ำมีน้ำวนจะเป็นสภาพประหลาดยังไง ดังนั้นเลยอยากดูเท่านั้นเอง"

เขาจ้องมองนางอยู่นาน "งั้นรึ?"

"ใช่สิใช่ไง ไม่งั้นท่านคิดว่าอันใดกัน?" โหลชีคันยุบยิบในหัวใจ มักรู้สึกว่าดวงตาทุ้มลึกคู่นั้นราวกับรู้เรื่องทุกอย่าง แต่พอคิดดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ เขาไม่รู้ว่าตนย้อนเวลามา จะมาเดาได้ยังไงว่านางอยากหาน้ำวนใต้น้ำนั่น เพื่อจะลองดูว่าจะย้อนกลับไปยุคปัจจุบันได้หรือเปล่า?

เฉินซ่าไม่ได้พูดอะไรอีก เขาจูงมือนาง "ลงไปดูกัน" ถ้าบอกว่าลูกนิลดำอยู่ในน้ำนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องลงไปหาดูสักที เมื่อก่อนเขาคิดว่าโดนพิษกู่เข้าก็ช่าง อยู่ได้หนึ่งวันเขาก็จะพยายามหนึ่งวัน และพยายามหากระสายยา ทำเรื่องต่างๆ ฟังชะตาชีวิต แต่ตอนนี้เขาไม่อยากตาย

ถ้าเขาตายไป สตรีของเขาจะทำเยี่ยงไร?

เขาจะไม่ยอมให้นางไปยืนข้างกายชายอื่น เอนพิงอยู่ในอ้อมกอดชายอื่น ไม่ยับยั้งชั่งใจกับชายอื่นหรือได้รับความรักจากชายอื่นเป็นแน่

นางเป็นของเขา จะรักก็ให้เขารัก นางเป็นของเขาเท่านั้น

ดังนั้นเขาจะตายไม่ได้

พอดำลงไปในทะเลสาบ ก็เห็นแนวค่ายหินพวกนั้น พวกเขาว่ายตามเฉิงสิบไปจนถึงสุด และก็เห็นถ้ำหินที่ใหญ่มหึมานั่น

ถ้าจะบอกว่าเป็นถ้ำหิน สู้บอกว่าเป็นประตูหินจะถูกต้องกว่า มันเป็นถ้ำประตูที่ใหญ่มหึมาบานหนึ่ง

พวกเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเข้าไม่เข้า เพราะหลังจากเข้าไปแล้วจะมีผนังด้านบน ใครก็ไม่รู้ว่าในนั้นยาวแค่ไหน ถ้ายาวมากและยาวมาก แทบจะไม่มีหนทางออกมาหายใจได้ทันเลย เป็นไปได้อย่างมากว่าจะจมน้ำตายอยู่ในนั้น

แต่แค่ลังเลอยู่ครู่เดียว โหลชีทำสัญญาณมือให้เข้าไป มาแล้วนี่ ไม่ลองเสี่ยงดูสักครั้งจะยอมแพ้ได้ยังไง?

เพียงแต่ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องเพิ่มความเร็ว พยายามว่ายไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต

ทางใต้น้ำนี่ดำมาก แสงเข้ามาไม่ได้ ได้แค่อาศัยความรู้สึกพยายามว่ายไปข้างหน้าตลอด และทั้งหมดพยายามเข้าใกล้ให้มากที่สุด ไม่งั้นหากคนใดเป็นอะไรไป คนอื่นคงไม่รู้กัน

โหลชีรู้ว่าเฉินซ่าอยู่ข้างกายนางตลอด

นางว่ายไปพลางคำนวณเวลาไปด้วย น่าจะผ่านไปสี่นาทีกว่า นางยังพอไหว แต่ไม่รู้ว่าพวกโหลวซิ่นจะไหวหรือเปล่า

มาถึงตรงนี้นางถึงเริ่มเสียใจนิดหน่อย น่าจะให้พวกเขาว่ายเข้าฝั่งไปรอก็สิ้นเรื่อง แต่ตอนนี้จะถอยออกไปมันเป็นไปไม่ได้แล้ว

ดีที่พวกเขายังมีโชคอยู่บ้าง ในตอนที่พวกโหลวซิ่นจะขาดอากาศหายใจตายแล้ว เบื้องหน้าพลันมีแสงสว่างขึ้นมา มีแสงเข้ามาในน้ำแล้ว พวกเขาออกจากทางหินที่ปิดตายนั่นแล้ว

ทุกคนรีบโผล่ขึ้นผิวน้ำ

วันนี้ใช้เวลาที่ว่ายน้ำทั้งหมดในชีวิตไปหมดแล้ว ทุกคนแช่อยู่ในน้ำจนผิวซีดย่น แต่ที่หนักที่สุดคือ รู้สึกเหมือนสองแขนไม่ใช่ของตัวเองแล้ว ปวดเมื่อยมาก

"เอ๋? ฝ่าบาท พระสนม พวกท่านดูสิ!"

เว่ยส่านอุทานขึ้นอย่างสงสัย

หลังจากพวกเขาโผล่พ้นผิวน้ำก็หอบหายใจเอาอากาศก่อนเลย จุดที่เว่ยส่านโผล่ขึ้นมาน้ำตื้นมาก เขาเหนื่อยจนนั่งอยู่ในน้ำตื้นนั่น หัวกลับมีใบไม้หล่นลงมา เขาเงยหน้าขึ้นไปฉับพลัน จากนั้นก็เบิกตากว้าง

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองบ้าง และก็เบิกตากว้างอย่างแปลกใจไปตามๆกัน

กำแพงภูเขาที่มีมอสขึ้นเต็ม สูงลิบลิ่ว เหนือหัวมองเห็นท้องฟ้าเป็นทรงกลมเล็กๆ พวกเขาเหมือนเป็นกบหกตัวที่นั่งอยู่ในบ่อ กำลังนั่งมองฟ้าอยู่

ทุกคนพากันถอนหายใจโล่งอก ไม่ว่าจะเป็นยังไง อย่างน้อยก็มีทางออกอยู่นี่ทางหนึ่ง ถึงทางออกจะสูงมากลิบลิ่ว แต่อาศัยวิทยายุทธ์ของพวกเขา จะปีนออกไปมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

พวกเขาก็พบว่าที่นี่ถึงฝั่งแล้ว ปีนขึ้นจากน้ำ หลายคนรู้สึกว่าสองขาแทบจะไม่ใช่ของตนแล้ว ขาอ่อนยวบจนสั่นไหว

"ที่นี่เหมือนแควเล็กๆเลย" ดึงสายตาที่เงยหน้ามองนั่นกลับ โหลชีถึงได้หันไปสำรวจสภาพแวดล้อม แสงสว่างส่องลงมาจากรูถ้ำเหนือหัวนั่น และที่จริงแล้วที่นี่เหมือนอุโมงค์ในหุบเขาที่ถูกขุดเจาะเป็นรู กว้างพอให้สามคนเดินเคียงไหล่กัน น้ำตื้นมาก ยืนขึ้นมาก็แค่ข้อเท้า ด้านบนสูงมาก แต่เพราะแสงน้อยมาก มีแค่แสงเหนือหัวตรงรูนั่นเลยมองไม่เห็นด้านใน ยืนอยู่ที่นี่มองไม่เลยว่าด้านในเป็นอะไร

โหลชียื่นมือออกไปหยิบเส้นผมเส้นหนึ่งที่กำแพงหินด้านข้าง

"เซียววั่งต้องมาที่นี่แล้วแน่ น่าจะเข้าไปแล้ว"

เยว่ถามอย่างสงสัย "ความหมายของพระสนมคงจะมิได้บอกว่านี่เป็นเส้นผมของเขากระมัง?"

โหลชีพยักหน้าบอก "ใช่"

"เส้นผมเส้นหนึ่ง ท่านแยกแยะได้ด้วยรึว่าของใคร?" เยว่กับเว่ยส่านต่างมีสีหน้าเหลือเชื่อ เฉิงสิบกับโหลวซิ่นต่างสงบนิ่ง เพราะพวกเขาเคยชินแล้ว และเชื่อว่าแม่นางของพวกตนเก่งกาจที่สุด นางทำอะไรได้มากมาย รู้อะไรมากมายมันเป็นเรื่องปกตินัก

ปกติเลย

โหลชีถอนหายใจยาว ที่จริงไม่ใช่นางเก่งกาจอะไร เพียงแต่นางสังเกตละเอียดมากเท่านั้นเอง โดยเฉพาะคนที่นางเคยเจอ คนที่นางจะสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุด ชนิดแรกคือคนกันเอง อีกชนิดคือศัตรูหรือคนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นศัตรู สรุปแล้วก็แค่คำพูดที่คนแก่ชอบพูดบ่อยๆว่า รู้เขารู้เขา

"เซียววั่งยังหนุ่มยังแน่น ใช้ชีวิตไม่เลว ดังนั้นเส้นผมของเขายังถือว่าแข็งแรงอยู่ จุดที่เอามาแยกแยะคือ เส้นผมของเขาหนากว่าคนทั่วไป และยังดำมาก" นางวางเส้นผมเส้นนั้นไว้บนมือเยว่ พอเขาก้มดู มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เฉินซ่ากลับพูดขึ้นว่า "ล้างมือ"

"หา?"

เขาลงมือด้วยตัวเองเลย ดึงมือนางมาเช็ดถู "ต่อไปอย่าไปหยิบเส้นผมใครมาแบบนี้อีก สกปรก"

โหลชี "..."

ถึงในใจจะเริ่มร้อนใจ แต่ก็เหนื่อยมากแล้ว เลยพักผ่อนสักหน่อย พอให้ฟื้นฟูกำลังค่อยว่ายน้ำเข้าไปต่อ

เนื้อย่างที่กินเมื่อเช้า ตอนนี้ย่อยหมดไปนานแล้ว ว่ายน้ำอย่างบ้าคลั่งและสงครามในน้ำเกือบสองชั่วยามนี่ ทุกคนล้วนแช่น้ำจนผิวเหี่ยวย่นซีดขาว เสื้อผ้าเองก็แนบติดอยู่กับร่างกาย เรื่องที่เฉินซ่าทำแล้วทำให้โหลชีรู้สึกน่าอายแต่ก็ไม่อาจจะต่อว่าเขาได้ นางรู้สึกว่าคงไม่มีคนอื่นทำเรื่องแบบนี้ได้อีกแล้ว

พอเข้าทางน้ำ แสงมืดมาก เขาให้คนเดินไปก่อน ดึงนางมาด้านข้าง และยื่นมือเข้าไปในชายเสื้อนาง ลูบเข้าไปช่วยผูกผ้าพันหน้าอกนางให้ดี!เดิมนางก็แต่งกายเป็นชาย ถึงการรัดหน้าอกจะไม่ดีต่อสิ่งนั้นเท่าไหร่ แต่ด้วยขนาดของนาง ไม่รัดไว้ก็ไม่ได้ ดังนั้นเลยต้องหาผาหนาๆพันไว้หลายๆชั้น จนแน่นปั้ก สี่มุมเย็บเป็นผ้าสี่เส้น สามารถดึงไปให้แน่นที่ด้านหลังได้ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องรัดหน้าอกจนแน่นมาก ด้านหน้าก็จะเป็นพื้นที่ราบเรียบ แถมดูแล้วรูปร่างก็ไม่ได้บอบบางอะไรขนาดนั้นด้วย

ปกติไม่มีอะไรผิดพลาด แต่วันนี้สมบุกสมบันในน้ำมารุนแรงจริงๆ ผ้าแถบที่พันด้านหลังเริ่มคลายปมลง นางเองไม่สังเกต ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มองออกได้ยังไง มองออกก็มองออกสิ บอกนางให้จัดให้ดีก็ได้แล้ว เขากลับดี ไม่บอกนาง เล่นลงมือช่วยนางพันซะเลย

จนได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วงข้างหู โหลชีถึงพบว่าหัวใจนางเองก็เต้นเป็นกลองเพล

แม่เจ้า ฝ่าบาททำลามกหื่นกามหรือเนี่ย?

แต่จะว่าเขาลามก เขาก็แค่ช่วยนางพันผ้าให้ดี ไม่ได้ถือโอกาสจับนม...

ทั้งสองคนหายใจติดขัด

ในตอนนี้เฉินซ่าอยากเข้าใกล้นางให้มากขึ้น เลยทำสัญญาณให้นางขึ้นหลังเขา โหลชีไม่ปฏิเสธ ปีนขึ้นหลังเขา และโดนเขาแบกเดินต่อ เดินไปเดินไป จู่ๆเฉินซ่าก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของนางขึ้นมาได้ รู้สึกอึดอัดหัวใจ จึงส่งกระแสจิตหานาง

"ข้าไม่เคยมีนางกำนัลรับใช้ ไม่เคยมีนางบำเรอ ยิ่งไม่เคยไปหอนางโลม หรือเล่นสนุกสำราญกับเหล่านางระบำใดๆ"

โหลชีได้ยินเขาส่งกระแสจิตมาแบบงงแบบนี้ ตอนแรกงุนงง พอฟังเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด นางอึ้งไปสักพัก จากนั้นทนไม่ไหวมือปิดปากหัวเราะจนไหล่สั่น และยังกลัวพวกเยว่ได้ยินนางหัวเราะ เลยทนกลั้นไว้อย่างทรมาน

เฉินซ่าโมโห "มีอันใดน่าขันกัน?"

"ไม่ขันไม่ขัน" โหลชีพยายามอดทนไว้ "ข้าแค่รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ ท่านอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว เหตุใด--"

"ไม่ชอบ"

เขาไม่ชอบอยู่ใกล้กับสตรีเหล่านั้นเท่าใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใกล้ชิดสนิทสนมด้วยเลย หากบนเตียงเขามีกลิ่นเครื่องหอมของผู้หญิงเขาจะอึดอัดนอนไม่หลับ เตียงของหญิงนางโลมยิ่งสกปรก และในเวลาที่เขาควรจะสงสัยในเรื่องพรรค์นั้น กลับคิดแต่จะล้างแค้น

โหลชีจำต้องยอมรับว่า พอได้ยินคำพูดเขาแล้ว นางดีใจมาก

ในทางน้ำดำมืด ได้ยินแค่เสียงพวกเขาลุยน้ำ สี่คนด้านหน้าเริ่มพูดคุยกัน

เฉินซ่าแบกนาง พลันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา

แต่มันไม่ใช่สถานที่ที่จะมาอบอุ่นกัน ยังไม่รอเขาเต็มตื้นดื่มด่ำกับความอบอุ่นนี้ ด้านหน้าพลันมีทางเลี้ยวโผล่มา และจากนั้นยังมีทะเลสาบแห่งหนึ่งโผล่สู่สายตาพวกเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ