พอทุกคนเห็นทะเลสาบนั้นก็สะท้านเยือกในใจ ไม่เพื่ออะไร เพราะถึงทะเลสาบนี้ไม่เล็ก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจคือ ใจกลางทะเลสาบนั่นมีน้ำวนหนึ่งกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว!
"แม่นาง มีน้ำวนอยู่จริงด้วย--" เฉิงสิบหันมามองนาง
โหลชีอึ้งไป
พวกเขาพึ่งจะออกมาจากทางน้ำดำมืดนั่น ตอนนี้เท่ากับอยู่ปากทางออกของทางน้ำ น้ำใต้เท้าค่อยๆไหลเข้ามาในทะเลสาบที่อยู่พื้นที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาอยู่ห่างจากทะเลสาบไม่ถึงหนึ่งเมตร จนสามารถรู้สึกถึงน้ำในทะเลสาบที่เย็นอย่างชัดเจน เพราะยืนอยู่ตรงนี้มีไอน้ำเย็นจัดโผเข้ามา และบนทะเลสาบยังมีไอหมอกจางๆ ด้านซ้ายเป็นกำแพงภูเขาติดทะเลสาบ ไม่มีที่ยืนเลยสักนิด ด้านขวามองขึ้นไป เป็นป่ามืดทึบ
"ขึ้นไปภูเขาก่อน" เฉินซ่ารู้สึกได้ว่าโหลชีจับจ้องน้ำวนนั่นเขม็ง คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่ไม่เคยคลายออกเลย
ปีนขึ้นภูเขาทางด้านขวา ยืนตรงนี้สูงหน่อย โหลชีสามารถมองเห็นน้ำวนนั่นได้ชัดเจน
น้ำในทะเลสาบนี้เป็นน้ำเป็น มีน้ำจากทางน้ำนั่นพวกเขาพึ่งออกมาลงไปด้วย อีกด้านมีทางออกของน้ำอีกทาง แต่พื้นที่ไหลออกมามันต่ำยิ่งกว่าทะเลสาบอีก มองไม่เห็นสภาพตรงนั้น
น้ำวนนั่นอยู่ตรงกลางทะเลสาบ มองจากที่สูงลงไปแบบนี้ ใจกลางทะเลสาบไม่ใหญ่ น้ำไหลไม่แรง เทียบไม่ติดกับน้ำวนในยุคที่นางย้อนเวลามา อันนี้ดูแล้วสงบกว่ามาก แต่โหลชีมองดูน้ำวนนี่ ในใจรู้สึกแปลกพิกล
ความรู้สึกแปลกพิกลนี่อธิบายไม่ได้จริงๆ
แต่ตอนนี้ให้นางออกไปนางไม่ยอมไปแน่ ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองดูสักตั้ง ดูสิว่าน้ำวนนี่มีประโยชน์พิเศษอะไรไหม
ถ้าเกิดทำให้นางกลับไปได้จริงๆล่ะ?
เดิมก็คิดจะกลับไปอยู่แล้ว แต่พอมีน้ำวนมาอยู่ตรงหน้าจริงๆ ใจนางกลับไม่ได้ตื่นเต้นร้อนใจอย่างที่คิดไว้
"คิดอะไรรึ?" เสียงเฉินซ่าดังเข้าหู โหลชีตกใจสะดุ้ง ตอนนี้นางพบว่าสิ่งที่นางไม่อยากจากไปที่สุดคือเขา ถ้านางไปจริงๆ เขาจะทำยังไง?
ถึงจะพยายามควบคุมไว้แล้ว แต่บุรุษบ้าอำนาจผู้นี้ก็ยังเข้ามาอยู่ในใจนาง และเริ่มเกี่ยวรัดหัวใจนางไว้
นางลอบถอนหายใจ ส่ายหัวบอก "แค่คิดถึงนักพรตเลวขึ้นมาน่ะ"
"ซวนหยวนคง?"
ตอนแรกที่นางพูดถึงพ่อบุญธรรมกึ่งอาจารย์กับข่งซิวและท่านจินเขาก็เก็บปัญหานี้ไว้ในใจ ได้ยินนางบอกว่า นางถูกซวนหยวนคงเลี้ยงดูสั่งสอนมาจนโต เท่ากับหลายปีมานั้นพวกเขาใช้ชีวิตกันมาสองคน แต่เขากลับไม่เคยได้ยินร่องรอยเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวกับซวนหยวนคงเลยสักนิด ความหมายของตาเฒ่าจินคือ ซวนหยวนคงหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว
แถมโหลชียังบอกว่าไม่อาจจะเจอเขาได้อีก หลายปีมานี้อยู่ด้วยกันมา แล้วทำไมจู่ๆจะไม่มีทางได้เจอเขาอีกเล่า?
พอคิดถึงว่านางหล่นลงมาจากฟ้าเข้าสู่อ้อมกอดตน เขาเลยคาดเดาถึงที่มาของนางอย่างเหลือเชื่อ
โหลชีไม่รู้ว่าเฉินซ่าเดาอะไรได้บ้างแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพูดถึงนักพรตเลวด้วยกัน นางพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดว่าคิดถึงนักพรตเลวเรื่องอะไร
เฉินซ่ารู้สึกแค่ว่าในใจเริ่มร้อนรน เขารั้งนางไว้ เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกว่า "ชีชี"
"หา?"
"เจ้าฟังให้ดี เจ้าเป็นของข้า ไม่มีใครสามารถแย่งเจ้าไปจากข้าได้" เขาพูดอย่างบ้าอำนาจ
โหลชีอึ้งไป อดถามไม่ได้ว่า "ถ้าข้าอยากไปเองเล่า?"
"ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปที่ใด ข้าจะไปตามจับเจ้ากลับมา ไม่ว่าขึ้นสวรรค์หรือลงนรก" เขาพูดอย่างเย็นเยือก สีหน้าเย็นชา
นางเคยคิดจากไปจริงๆ?
เขาไม่อนุญาต
โหลชีตกตะลึง พูดน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย "ถือสิทธิ์อะไรมาบอกว่าข้าเป็นของท่านกัน?"
"เจ้าไม่ใช่ของข้า ตกลงมาในอ้อมกอดข้าทำไมกัน?" เฉินซ่าแค่นเสียงหึ
โหลชี "..."
นางจะรู้ได้ยังไงล่ะ? ที่ไหนมีไม่ตก ดันตกลงมาในอ้อมกอดเขาพอดี แถมยังไม่กระแทกเขาจนตายด้วย ไม่รู้จะพูดอะไรด้วยจริงๆ
"นายท่าน พระสนม ไม่พบร่องรอยเซียววั่งและคนอื่นรอบบริเวณนี้เลยขอรับ" เยว่เดินเข้ามาใกล้และรายงาน ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน คนอื่นต่างแยกย้ายไปสำรวจกันแล้ว
"พักผ่อนที่นี่ครึ่งชั่วยาม" เฉินซ่าบอก
"ขอรับ"
แช่น้ำนานขนาดนี้ ทุกคนเริ่มทนไม่ไหวกับเสื้อผ้าเปียกชื้นแล้ว ที่นี่มีโหลชีเป็นสตรีคนเดียว โชคดีที่ฝ่าบาทพานางไปอีกด้าน มีต้นไม้สิบกว่าต้นกันไว้มองไม่เห็น พวกเขาจึงก่อกองไฟผึ่งเสื้อผ้าให้แห้ง ตนเองก็ล้อมวงนั่งลงรอบกองไฟเพื่อพักผ่อน ตอนนี้ทุกคนต่างหิวไส้กิ่ว แต่ไม่พักผ่อนใครก็ไม่มีเรี่ยวแรงออกไปหาของกิน
ถึงจะสายมากแล้ว แต่วันนี้ยังสว่างมาก แสงตะวันหลังเที่ยงยังคงอบอุ่นมาก พวกเขานั่งตากแดดและผิงไฟไปด้วยกัน รู้สึกราวกับมีชีวิตอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ