ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 284

โหลชีสังเกตสีหน้านางตลอด หลังจากนางพูดจบ นางสะบัดแส้ออกไปเร็วปานสายฟ้าแลบ แส้นั่นสะบัดไปที่กำแพงอย่างแรง

นางมัจฉาคนที่หนึ่งสีหน้าตกตะลึง แต่ไม่นานก็ผ่อนคลายลง เผยให้เห็นความสิ้นหวังว่าต้องตายแน่ และหัวเราะร่วนอย่างเย้ยหยันว่า "คิดจะใช้แค่แส้เดียวทำลายประตูหินนี่รึ? เจ้าช่างคิดไปได้! รวบรวมกำลังของพวกเจ้าทั้งหมดยังไม่มีทางทำลายประตูนี้ได้เลย!"

"งั้นรึ?" แส้นี้ลงไป กำแพงไม่ขยับเลยจริงๆ แต่โหลชีกลับเลิกคิ้วน้อยๆ

เฉินซ่ามองนางหนึ่งที สายตามีแววขบขัน แต่ปล่อยให้นางทำตามใจ

โหลชีดึงแส้กลับ ส่งสัญญาณให้เยว่ปล่อยนาง ยังไงซะนางก็หนีไม่ได้ นางมัจฉาคนที่หนึ่งยืนตัวตรง พลันได้ยินโหลชีพูดอย่างมั่นใจว่า "พวกเขาสามคนอยู่ด้านในกระมัง?"

"เจ้ารู้ได้อย่างไร?" นางหลุดปากถาม

โหลชีหัวเราะออกมา "เดาน่ะ"

"ต่อให้เจ้าเดาได้ ประตูนี้พวกเจ้าก็เปิดไม่ออก" นางมัจฉาคนที่หนึ่งมองไปที่ทางน้ำออกที่พวกเขาตกลงมา เฉิงสิบมองตามนางไป พลันอุทานด้วยความตกใจว่า "น้ำไหลมากขึ้นแล้ว!"

เดิมตอนพวกเขาเข้ามาน้ำยังไม่แรง แต่ตอนนี้น้ำไหลมากขึ้นสองเท่า! พอเขาพูดจบ เยว่หันไปมองทางน้ำออกทันที และพบว่าทางนั้นโดนปิดแล้ว!

"เห็นแล้วหรือยัง? ที่นี่กลายเป็นห้องปิดตายได้ รอน้ำเติมเต็มแล้ว พวกเจ้าต้องจมน้ำตายอยู่ที่นี่" นางมัจฉาคนที่หนึ่งไม่คิดว่าพวกเขาจะรู้ตัวเร็วขนาดนี้ และไม่คิดว่าสองสาวพี่น้องในห้องนั้นจะโหดร้ายเพียงนี้ แค่อีกฝ่ายพบว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกำแพงนั่น ก็เปิดกลไกขังพวกเขาตายในนี้เลย! อย่างน้อยให้เวลานางมากขึ้นก็ดี ก่อนที่พวกเขาจะฆ่านาง ให้น้ำเต็มก่อน อาศัยวิทยายุทธ์การกลั้นหายใจในน้ำ บางทีนางอาจมีโอกาสรอด!

ตอนนี้นางต้องพูดให้มากเพื่อยับยั้งมิให้อีกฝ่ายโมโห และเกิดอยากฆ่านาง

แต่ยังไม่รอนางคิดแผนการเสร็จ ฟิ้วดังขึ้น โหลชีสะบัดแส้มาทางนาง นางรู้สึกเหมือนโดนแส้ฟาดจนเอวจะขาดเป็นสองท่อนแล้ว จากนั้นร่างลอยขึ้น นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนสะบัดออกไปอย่างแรง

ไม่ จะเรียกสะบัดไม่ได้ ต้องเรียกว่ากระแทก! โหลชีตวัดนางขึ้นมาเป็นค้อนมนุษย์ เอาไปกระแทกกำแพงด้านหน้าอย่างแรง

"พรืด!"

การกระแทกรุนแรงขนาดนี้ แรงสั่นสะเทือนเพียงนี้ นางมัจฉาคนที่หนึ่งมีหรือจะรับไหว กระอักเลือดออกมาคำโต

"เจ้าบอกว่าข้าทำลายกำแพงนี้ไม่ได้ ดังนั้นเลยต้องให้เจ้าช่วยหน่อย เจ้าคงมิรังเกียจกระมัง?"

นางมัจฉาคนที่หนึ่งกระอักเลือดกับคำพูดนี้อีก หลังจากนางโดนจับทำค้อนกระแทกกำแพงแล้วก็ตกลงมานอนแบบข้างกำแพง หน้าอกหายใจรัวเร็ว นางรับรู้ได้ทันทีว่าอวัยวะภายในทั้งห้าของตนย้ายที่หมดแล้ว อย่างน้อยซี่โครงหักไปสองท่อน ที่ทำให้นางเจ็บจนแทบหายใจไม่ออกที่สุดคือด้านหลัง

อาการบาดเจ็บเช่นนี้น่าจะไม่รอดแล้ว

ตีนางจนตาย และยังมาบอกว่าแค่ขอให้ช่วย นางคงจะไม่รังเกียจ!

เยว่ยืนอยู่อีกด้าน นางก็มิคิดดูเลย พวกนางหลอกพวกเขาเข้าไปในเขตน้ำของปลากินคน โหลชีจะปล่อยพวกนางไปได้ยังไง นางมัจฉาทั้งสามคนต้องตาย

นางมัจฉาคนที่หนึ่งเหลือเพียงลมหายใจรวยริน ตอนนี้นางหวังเพียงให้ตนตายไปโดยไว เพราะมันช่างทรมานเหลือเกิน ทรมานจริงๆ

"อยากตาย? ตอนนี้ยังไม่ได้ดอก ข้าจะให้พี่น้องเจ้าออกมาเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?" ตอนนี้โหลชีไม่ได้คิดจะไว้ชีวิตพวกนางจริงๆ มีแค้นไม่ชำระมิใช่วิญญูชน พวกเขาเกือบตายคาปากปลากินคน จะปล่อยให้พวกนางรอดได้ยังไง?

นางมัจฉาคนที่หนึ่งเผยแววตาเย้ยหยันออกมา ให้พวกนางออกมา? เจ้ามีวิธีรึ?

นางเห็นโหลชีตวัดแส้นั่นมาที่กำแพงข้างนางอีกครั้ง

เฉินซ่ามองอย่างประหลาดใจที่แส้ปลิดวิญญาณนั่นของนางพลันยิงเข็มสั้นแหลมคมสิบกว่าเข็มออกมา ยามสะบัดไปที่กำแพง เข็มเหล่านั้นปักลงไปในกำแพง และแยกตัวออกจากตัวแส้

นี่คือสะบาดจนเข็มหักงั้นรึ?

แต่ฉากต่อมากลับทำพวกเขาตกใจเบิกตากว้างแทบถลน

เข็มเหล่านั้นที่ปักลงไปในกำแพง พลันส่งเสียงระเบิดสิบกว่าเสียง กำแพงด้านนั้นพลันเกิดรอยแตกปริสิบกว่ารอย! โหลชีสะบัดแส้อีกครั้ง กำแพงหินที่ดูแข็งแกร่งหาใดเปรียบพลันแตกออกและพังทลายลง!

นางมัจฉาคนที่หนึ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และโดนก้อนหินที่หนักอึ้งหล่นทับกลบเสียมิด

"สวรรค์--" เดิมเยว่ไม่ได้สนใจแส้ของโหลชีอะไรมากมาย แต่ตอนนี้แส้นี่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งนัก!

"แม่นาง แส้นี้ยังมีอานุภาพเยี่ยงนี้ด้วย!" เฉิงสิบกับโหลวซิ่นแทบกระโดด แข็งแกร่งนัก แข็งแกร่งร้ายกาจยิ่ง!

โหลชีสะบัดแส้เข้าไป ในขณะเดียวกันก็สะบัดโดนนางมัจฉาคนที่สองคนที่สามที่คิดหนี เห็นพวกนางร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดและล้มลงพื้น ถึงได้เก็บแส้กลับ ทำสัญญาณมือ

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นเข้าใจความหมายของนาง ปราดร่างเข้าไป และหิ้วพวกนางออกมาทีละคน

เฉินซ่าเดินมาข้างกายโหลชี "แส้ของเจ้านี่กลไกไม่น้อย"

"ระเบิดเข็ม ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ใช้ครั้งนี้เสร็จต้องออกไปใส่เข็มเพิ่มเข้าไป"

น้ำเสียงโหลชีส่อแววเสียดายมาก คำพูดนี้ทำทุกคนแทบกระอักเลือด จะมาทำร้ายกันเยี่ยงนี้มิได้นะ แค่อานุภาพครั้งเดียวนี่ก็น่าตกใจมากพอแล้ว หากเจ้าสามารถใช้ได้อย่างไม่จบไม่สิ้น เช่นนั้นจะดีรึ? เป็นคนอย่าละโมบให้มากเลยแม่นาง!

เยว่มองแส้นาง แทบจะมีประกายแสงออกจากตาแล้ว

คราวนี้ฝ่าบาทของเขามิพอใจแล้ว มองที่ใดกันนั่น?

แส้น่ะพันอยู่ที่เอวโหลชี!

เยว่รับรู้ถึงไอเย็น สะดุ้งเฮือกรับรู้ได้ทันทีว่าตนทำผิดอะไรไป รีบผลุบไปยืนด้านข้าง เหงื่อแตกซิก เป็นเพราะแส้ของพระสนมทำให้คนอิจฉาตาร้อน!

เดิมโหลชีก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตนางมัจฉาสองคนนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงลงมืออย่างหนัก ถ้าทั้งคู่ไม่ได้โดนเฉิงสิบกับโหลวซิ่นหิ้วคอเสื้อไว้ มิมีทางยืนได้อยู่แล้ว พวกนางอาจจะหนีอย่างรีบร้อน ดังนั้นเลยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงเป็นชุดนางเงือกที่ลงน้ำสะดวกและแสดงสัดส่วนเรือนร่างเย้ายวนออกมา แต่พอโดนโหลชีสะบัดแส้ใส่อย่างแรงเยี่ยงนั้น เสื้อผ้าบริเวณเอวด้านหลังฉีกขาด เลือดสดไหลออกมา พวกนางรู้สึกว่าขานั้นแทบจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว

เดิมทีพวกนางคิดว่าโหลชีเป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่งที่เล่นสนุกแต่งกายเป็นชายเท่านั้น และยังเคยหยอกล้อองครักษ์หน้าตาหล่อเหลาชุดขาวนั่นอีก ตอนนั้นพวกนางยังเคยโดนนางหยอกเย้าจนกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว พวกนางหวาดกลัวชายชุดดำแดงนั่นที่สุด

แต่ตอนนี้พวกนางจึงรู้ว่าตนคิดผิด ผิดอย่างมหันต์! สาวน้อยที่ร่าเริงสดใสรักสนุกผู้นี้ต่างหากเวลาร้ายขึ้นมากลับร้ายได้ถึงเพียงนี้!

โหลชีกลับไม่ได้สนใจพวกนาง แต่เริ่มมองสำรวจรอบด้าน เยว่เข้าไปสืบสวนพวกนาง แต่ทั้งๆที่พวกนางรู้ดีว่าคงไม่รอดแล้ว กลับไม่ยอมพูดอะไร ต่อให้พูดก็ไม่แน่จะเป็นเรื่องจริง

แส้แรกที่ก่อนหน้านั้นโหลชีสะบัดไปที่กำแพงก็แค่ยืนยันข้อสงสัยของตนเอง เพราะกำแพงหินด้านนอกไม่มีทางไม่มีกลไกประตูลับ เพียงแต่มอสที่กำแพงนั่นมีร่องรอยขยับ ดังนั้นจึงต้องเริ่มจากกำแพงด้านนั้น

ผลสุดท้ายพอสะบัดไปนางกับเฉินซ่าต่างได้ยินเหมือนกันว่า กำแพงด้านนั้นว่างเปล่า มีเสียงสะท้อนแผ่วเบา และพอสะบัดไป เสียงแส้ทำเอาคนทางนั้นตกใจจนหายใจสะดุด และหายใจแรงขึ้น นางกับเฉินซ่าได้ยินว่าทางนั้นมีเสียงหายใจสามเสียง หนึ่งเสียงหายใจหนักแรงหน่อย อีกสองเสียงด้อยกว่าหน่อย เลยเดาว่าอาจจะเป็นเซียววั่งและนางมัจฉาชุดดำอีกสองคน

แต่พวกเขามารวมตัวกันได้ยังไง นี่เป็นปัญหาที่น่าสนใจ เพียงแต่เซียววั่งหนีเร็วนัก อีกสองคนอาจเพราะยังห่วงใยหนึ่งสาวที่อยู่ด้วยกันมาสามปีอยู่บ้าง เลยอยากรอฟังว่านางมัจฉาคนที่หนึ่งเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

ที่เยว่อยากถามคือลูกนิลดำ แต่นางสองคนกลับไม่รู้ว่าลูกนิลดำอยู่ที่ไหน พวกนางรู้เพียงว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ และเคยมา แต่ก็ไม่แน่ใจเส้นทางในนี้เช่นกัน

ครั้งนี้มีคนมากมายเข้ามายังที่ลับใต้ดินแบบนี้ พวกนางกลัวว่าจะมีคนลอบเข้ามา จึงตัดสินใจมาดูหน่อย แต่กลับพบกับเซียววั่ง และพวกโหลชีก็มาเช่นกัน

แต่พวกนางกลับมิได้คิดจะปกป้องเซียววั่ง จึงชี้ทางที่เซียววั่งหลบหนีไปเมื่อครู่

โหลชีหาทางลับได้พอดี และไม่รอพวกนางชี้ให้ นางก็เปิดกลไกประตูนั้นเลยทันที แต่ในตอนที่นางเปิดประตูลับ สายตาเฉินซ่าส่อประกายวาบขึ้น

เยว่ให้พวกเฉิงสิบจัดการพวกนางซะ จากนั้นทั้งหมดก็เข้าไปในทางลับ

น้ำไม่ได้เข้ามาในนี้แล้ว ในอากาศมีกลิ่นเน่าเหม็นชนิดหนึ่งที่อยู่มานานแล้ว ถึงจะไม่มีน้ำ แต่ยังคงรู้สึกอับชื้น ทางลับไม่ยาว พวกเขาสงสัยว่าในนี้จะเป็นสิ่งก่อสร้างสุดท้าย ดังนั้นเลยเอาแค่ดูดี ไม่ต้องใหญ่

ในตอนที่จะเลี้ยวไป เฉินซ่าพลันตวัดจับโหลชีที่นำหน้าอยู่ตลอดเข้ามา พลางถามอย่างหน่ายใจว่า "เห็นกลไกแล้วหรือไม่?"

โหลชีถลึงตาใส่ทันที "ข้าอยากดูว่าท่านจะพูดหรือไม่พูดกันแน่"

"มีสิ่งใดพูดไม่ได้กัน? กลเครื่องจักรของเขาเฉินอวิ๋น" เฉินซ่าเหล่นาง "ข้ากลับอยากรู้ว่า ในสมองเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?"

"ใต้เท้าองครักษ์เยว่" โหลชีจู่ๆก็หันมาถามเยว่ที่อยู่ด้านหลัง "นางฟ้าหลิวอวิ๋นแห่งเขาเฉินอวิ๋น มิใช่หนึ่งในตัวเลือกจักรพรรดินีของพวกเจ้าหรือไง?"

เยว่เหงื่อไหลพราก ตอนนี้ใครจะกล้าพูดถึงจักรพรรดินีอะไรพระสนมอะไรล่ะ? ตำหนักจิ่วเซียวมีเพียงพระสนมเดียว งั้นหลังสร้างแคว้นแล้วก็จะมีจักรพรรดินีเพียงคนเดียว!

"นางฟ้าหลิวอวิ๋นมิได้ติดต่อกับฝ่าบาทนานแล้วขอรับ" เยว่บอก

โหลชีไม่ได้จงใจจะมาหึงหวงกับเฉินซ่าในเวลานี้ เพียงแต่เมื่อครู่ตอนนางลูบโดนกลไก นางจับประกายแสงในตาเฉินซ่าได้ และเดาได้ว่าเขามองออกว่ากลไกนี่มาจากไหน พอคิดถึงครั้งก่อนที่เขาพูดถึงกลเครื่องจักรของเขาเฉินอวิ๋น ยิ่งสงสัยว่าเขานึกถึงเขาเฉินอวิ๋น แต่กลับไม่แสดงชัดถึงสาเหตุที่ไม่บอกออกมาว่าคืออะไร

แต่คำพูดของเยว่จุดประกายสนใจของนางอย่างเห็นได้ชัด "ถ้าเช่นนั้น ก่อนหน้านี้นางฟ้าหลิวอวิ๋นติดต่ออะไรกับฝ่าบาทของพวกเจ้าล่ะ?"

ระหว่างพูด นางเลิกคิ้วเหล่มองเฉินซ่า ความหมายของสายตานั้นคือ ทางที่ดีท่านอย่าให้ข้าจับได้ว่าทำอะไรกับคนอื่น ไม่เช่นนั้นข้าไม่สนใจว่าพวกท่านเป็นอดีตไปแล้ว ข้าจะทิ้งท่านแน่

เฉินซ่าหน้าดำทะมึนลง

"พูดให้ดีๆ!" คำพูดนี้เขาบอกกับเยว่ เดิมไม่มีอะไร กลับโดนเขาพูดซะเหมือนมีลับลมคมใน!

"ห้ามข่มขู่องครักษ์เยว่" โหลชียื่นมือไปหยิกเนื้อที่เอวเขาหนึ่งที

พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ขยับ เซียววั่งที่รอพวกเขาเข้ามาหาของฝั่งตรงข้ามร้อนใจดุจแมวเกาใจ เขาไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ได้แต่ครุ่นคิด ตอนนี้ไม่รีบออกไป มีอะไรน่าคุยกัน?!

เยว่เล่าเรื่องนางฟ้าหลิวอวิ๋นกับโหลชีอย่างหน่ายใจ เฉินซ่ากลับขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ใช้เท้าวาดภาพเปรียบเทียบไปด้วย

อันที่จริงโหลชีค่อนข้างเซ็งว่า ทำไมเฉินซ่าถึงได้ทำลายกลเครื่องจักรของเขาเฉินอวิ๋นได้ซะงั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ