ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 286

จะบอกว่าเป็นหัองลับ ก็เป็นแค่ห้องหินที่มีขนาดประมาณห้าตารางเมตร แต่โหลชีสงสัยว่า ประโยชน์แต่เดิมของห้องหินนี่เพื่อเอาไว้เป็นห้องเก็บของ ส่วนจะเก็บอะไรนั้น ดูจากชั้นวางที่ใช้แท่นหินตัดเรียงกันสามชั้น และด้านบนวางขวดโถไว้หลายชั้นก็รู้แล้ว

ห้องยา

"หรือว่าเจ้าของที่น่าจะเป็นหมอยา?" โหลวซิ่นเข้าไปดูขวดโหลยาเหล่านั้น แต่ที่ทำให้คนแปลกใจคือ มันค่อนข้างจะเป็นขวดเปล่า

"คนบ้าที่ผลิตยาพิษก็อาจจะเป็นไปได้ " โหลชีบอก

ถ้ามิเช่นนั้นดอกไม้ขนาดมหึมาแปลกประหลาดพวกนั้นมาจากไหนกันล่ะ?

คนผู้นี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นอัจฉริยะโรคจิตที่ชมชอบการวิจัยพิษต่างๆ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนพันธุกรรมพืช บางครั้งอัจฉริยะกับคนโรคจิตก็ต่างกันแค่เส้นเดียวขวางกั้น

แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือรีบตามหาลูกนิลดำและออกไป อยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าด้านนอกเป็นยังไงบ้าง แถมในนี้ไม่มีอาหาร ปลาตัวเล็กที่ก่อนหน้านี้พวกเขาทานไปคนละตัวย่อยหมดจนไม่รู้จะย่อยยังไงแล้ว ตอนนี้แต่ละคนหิวจนตาเขียว และยังได้ยินเสียงท้องใครร้องเป็นพักๆ

"แยกกันหา" เฉินซ่าบอก

แสงค่อยสลัวลง พวกเขาจุดตะเกียงน้ำมันที่กำแพงขึ้น เหมือนความมืดจะมาเยือนอีกครั้ง โหลชีหยิบขวดหนึ่งออกมาจะมาดมดูว่า ด้านในยังมีกลิ่นอะไรไหม แต่ไหล่กลับหนักขึ้น เฉินซ่าเข้ามาหานาง ใช้สองไหล่ดึงนางเข้าอ้อมกอด

นางรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ใจเต้นแรงขึ้น ถามเสียงต่ำว่า "วันนี้เดือนเพ็ญรึ?"

"อืม"

ร่างกายแข็งเกร็งแต่เดิมของเฉินซ่า โชคดีที่ครานี้นางอยู่ข้างกาย เลยดึงนางเข้าอ้อมกอด ทำให้ความเจ็บปวดที่ยังไม่ทันขึ้นมากลับลงไป

โชคดี

อย่างนี้ดียิ่งนัก เขาไม่ต้องดื่มเลือดนางอีก

กอดนางสามารถระงับความเจ็บปวดได้ วิธีเช่นนี้เขาชอบนัก

พวกเยว่กับเฉิงสิบพากันมองมา และถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน อยู่ที่นี่ไม่เห็นเดือนตะวัน พวกเขาลืมไปแล้วว่าวันนี้เดือนเพ็ญ

จากนั้นเซียววั่งที่โดนมัดลากไว้มุมหนึ่งไม่อาจขยับได้สังเกตเห็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดพิกลเรื่องหนึ่ง คือทุกคนพากันเสาะหาลูกนิลดำ มีเพียงเฉินซ่าที่ดูไม่สนใจเรื่องนี้เลย ในใจคิดแต่สาวงาม เอาแต่เกาะติดโหลชี มือโอบเอวนางไว้ไม่ยอมห่างกาย

เขาพลันสงสัยขึ้นมา บุรุษที่ในใจมีแต่สาวงามเยี่ยงนี้จะสามารถทำงานใหญ่ได้จริงรึ?

"แม่นาง ท่านดูนี่สิ ใช่ลูกนิลดำหรือไม่?" จู่ๆเฉิงสิบก็ร้องขึ้นมา

ตอนนี้เขากลับย่อตัวลงด้านหลังชั้นวางด้านในสุด

"ข้าดูหน่อย" โหลชีที่หาอะไรไม่จอพลันใจกระตุก รีบพุ่งไปทางนั้น เกือบจะสลัดเฉินซ่าทิ้งซะแล้ว

เฉินซ่ายื่นมือดึงรั้งคอเสื้อด้านหลังนางไว้ สีหน้าทะมึน ไม่พอใจอย่างมาก "สิ่งนั้นสำคัญ หรือว่าข้าสำคัญ?"

เป็นกระสายยาให้เขา กลับลืมหน้าที่ซะได้

เดิมโหลชีจะพุ่งออกไปก็ได้สติกลับมา แต่เขาเร็วยิ่งกว่า รั้งคอเสื้อนางแล้วดึงนางเข้าอ้อมกอดอีกครั้ง นางก็ถอนหายใจโล่งอก อาจเพราะอยู่ที่นี่หลายวันเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ จะอย่างไรก็ร้อนใจอยู่บ้าง

"ไป ไปดูด้วยกันไป" นางเงยหน้ายิ้มแลบลิ้นให้เขา จับมือเขามาโอบเอวนางก่อน

พวกเยว่อดยิ้มไม่ได้ โหลชีไม่เคอะเขินเลยจริงๆ และไม่สนใจสายตาคนอื่นด้วย มิเช่นนั้นมีแม่นางบ้านใดเริ่มก่อนเช่นนี้บ้าง? ถึงจะมีสาเหตุ แต่การกระทำเช่นนี้ออกจะเปิดเผยอยู่สักหน่อย

เมื่อก่อนเฉิงสิบไม่ได้ค้นพบพืชพันธุ์ดูเหมือนแห้งตายแบบนี้ เพียงแต่เขาไม่ทันระวังชนขวดบนชั้นล้มลง ขวดหล่นลงไป ถูกเขาใช้หลังเท้าเกี่ยวไว้ทันเลยไม่แตก เขาย่อเอวลงไปหยิบ เลยเห็นเข้าพอดี

มันเป็นพืชพันธุ์ที่ลักษณะใบเหมือนกับเห็ดหลินจือ ดูแห้งเหี่ยวหมดแล้ว ไม่มีสีเขียวสักนิดเลย ทั้งต้นกลายเป็นสีเทา ด้านข้างราวกับโดนย้อมไปด้วยสีดำชั้นเล็กๆ แต่กลับไม่น่าเกลียด กลับดูเป็นโบราณด้วยซ้ำ ขอบสีดำประหนึ่งภาพวาดโบราณ มันสูงเพียงยี่สิบมิลลิเมตร แต่ใบเยอะมาก มีเป็นชั้นๆ เหมือนเห็ดหลินจือจำนวนมากมาอยู่รวมกัน

ด้านบนสุดแบ่งเป็นสามกระถาง กระถางละหนึ่งผล

ผลนั้นสีดำทั้งลูก เหมือนลูกเกดสีดำหนึ่งผล ผลตรงกลางดำสนิท ดำแบบนี้ราวกับสุกเต็มที่แล้ว ส่วนสองลูกด้านซ้ายขวายังมีสีเขียวแซมเล็กน้อย

"อันที่จริงข้าไม่เคยเห็นลูกนิลดำมาก่อน" โหลชีเงยหน้าบอกกับเฉินซ่า เฉินซ่ากลับพูดเสียงเรียบว่า "นี่คือลูกนิลดำ"

"ท่านเคยเห็น?"

"มิเคย" สายตาของเฉินซ่าที่มองลูกนิลดำนั่นไม่บอกชัดถึงอารมณ์ "แต่มีคนเคยให้ข้าดูภาพลูกนิลดำมาก่อน"

โหลชีอึ้ง และถามต่อทันทีว่า "นางฟ้าหลิวอวิ๋น?"

คราวนี้ถึงตาเฉินซ่าอึ้ง มองนางนิ่งอยู่นาน ถึงพยักหน้าช้าๆ "ข้าเคยทำสัญญาข้อตกลงกับนาง"

สัญญาข้อตกลงระหว่างเขากับซู่หลิวอวิ๋น ถึงโหลชีจะสงสัย แต่ก็ไม่มีทางถามในตอนนี้

"เฉิงสิบ หาขวดที่เล็กที่สุดมาสามขวด"

"ขอรับ" เฉิงสิบหาขวดเล็กๆมาได้สามขวด โหลชียื่นมือจะไปเด็ดลูกนิลดำนั่น แต่ไม่คิดเลยว่า ในตอนที่นิ้วมือนางพึ่งจะโดนลูกไม้นั่น ลูกไม้ผลนั้นก็หล่นลงพื้นทันที ผิวแตกออกในฉับพลัน น้ำด้านในไหลออกมา ไม่นานก็ถูกพื้นดูดเข้าไป ต่อหน้าพวกเขาเหลือเพียงเปลือกผลสีดำเท่านั้น

โหลชีตกใจ มองอย่างตกตะลึง

"เฉินซ่า! ข้าทำตกไปหนึ่งลูก..." นางทำหน้าจะร้องไห้ รู้สึกใจแตกสลาย! นี่เป็นกระสายยาของเฉินซ่า และเขายังมีทำสัญญาข้อตกลงกับซู่หลิวอวิ๋นอีก ตอนนี้โดนนางทำพังไปหนึ่งผล!

เฉินซ่าเพียงปรายตามองพื้นหนึ่งที คล้ายกับไม่ได้ใส่ใจ "มิใช่ยังเหลืออีกสองลูกรึ?"

โหลชีถอนหายใจยาว เห็นสองผลที่ยังเหลืออยู่ "แต่มือโดนไม่ได้ ข้าเลยไม่รู้จะเด็ดอย่างไร"

"อื้ออื้ออื้อ!" เซียววั่งที่โดนจี้จุดใบ้อยู่ดูท่าทางตื่นเต้น

"คลายจุดให้เขา" เฉินซ่าบอก

เยว่คลายจุดใบ้ให้เขา เซียววั่งผ่อนลมหายใจคำโต เกือบจะขาดใจตายแล้ว "พระสนม ลูกนิลดำไม่อาจเด็ดได้ด้วยมือเปล่า และมิอาจใช้ขวดเก็บได้!"

โหลชีหันมาถลึงตาใส่เขา "เหตุใดเมื่อครู่เจ้าไม่พูดเล่า?"

"เมื่อครู่ข้าน้อยลืมไปขอรับ" เซียววั่งหยิบกล่องหน้าตาประหลาดออกมาจากในอกเสื้อ "องค์หญิงใหญ่ให้สิ่งนี้กับข้าน้อยมา และยังบอกอีกว่า ลูกนิลดำจะต้องบรรลุลงในกล่องไหมทองชนิดนี้เท่านั้น ด้านนอกของกล่องใช้ทองทำขึ้นมา ด้านในเป็นไหมทอง"

เยว่รับกล่องนั้นมายื่นให้โหลชี

กล่องนั้นเล็กกว่าฝ่ามือนาง ดูงดงามมาก ด้านนอกเป็นผ้าไหมห่อหุ้มกล่องทองไว้ชั้นหนึ่ง พอเปิดออก ด้านในเย็บไปด้วยไหมทองอ่อนนุ่มประหนึ่งผ้าฝ้ายเป็นชั้นๆ

"นี่คือไหมทอง?"

"ไหมทองจริงๆ" เฉินซ่าเหล่มอง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ แต่โหลชีรู้จักไหมทอง หนอนไหมทองเป็นหนอนที่หาได้ยากยิ่งในหนานเจียง หนอนไหมน่ะหาไม่ยาก แต่หนอนไหมทองกลับเป็นราชาหนอนไหม หนึ่งล้านหนอนไหมตัวจึงจะมีสักตัว และหนอนไหมทองปีหนึ่งถึงจะพ่นใยออกมาสักครั้ง ปริมาณนั้นก็พอที่จะห่อหุ้มตัวเองกลายเป็นดักแด้

เห็นได้ชัดว่า ไหมทองในกล่องทองใบเล็กนี่มีราคามากเพียงใด

ครั้งนี้เป่ยฝูหรงลงทุนหนักมากจริงๆ

เพียงแต่นางคงจะคิดไม่ถึงว่า ลูกนิลดำไม่ได้กลับไป โดยให้นางมอบให้กับเฉินซ่า แบบนี้กล่องทองใบนี้ ไหมทองกล่องนี้ นางคงได้แต่ยกให้ฟรีเท่านั้น

โหลชีแอบหัวเราะฮิๆ เรื่องได้กำไรแบบนี้ นางยินดีปรีดานัก

ยื่นกล่องเข้าไป และกดกิ่งของลูกนิลดำนั่นเบาๆ ผลสองลูกก็หล่นบนไหมทองอย่างแผ่วเบา

นางยื่นกล่องให้เฉินซ่า เขากลับบอก "เจ้าเก็บไว้"

โหงชีได้ยินดังนั้นก็ยัดกล่องเข้าไปในสายรัดเอว

"เซียววั่ง ต่อมาเจ้ารู้ว่าจะออกไปได้อย่างไรกระมัง?" เพราะเซียววั่งมีประโยชน์ขึ้นมาหน่อย และยังมอบกล่องแบบนี้ให้ โหลชีเลยไม่คิดฆ่าเขาละ

เซียววั่งรีบพยักหน้ารัวเร็ว

มีการชี้ทางของเขา พวกเขาจึงได้ออกไปจากทางออกถ้ำที่มิดชิดมากในตอนสายวันต่อมา

แสงตะวันด้านนอกดูงดงามกระจ่างตา อากาศสดชื่นขึ้นมาก ทุกคนพากันถอนหายใจโล่งอก โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นถนนที่อยู่ไม่ไกล พอเห็นถนนมีรถม้าและคนเทียมรถลากวัวไปมา พวกเขาถึงรู้สึกจริงๆว่าพวกตนยังมีชีวิตอยู่

ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักยี่อ๋องแล้ว แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากเมืองนั่วรา เพราะพวกเขายืนอยู่บนยอดเขาก็มองเห็นเมืองนั่วราได้

ที่ตีนเขามีเพิงชาพอดี

"รีบลงเขาไปเร็ว ดูว่ามีอะไรอร่อยบ้าง!" โหลชีรู้สึกดวงตาเปล่งประกายแสงสีเขียว ราวกับหมาป่าที่กล้ายอดตาย

ทุกคนราวกับโจร ถึงจะหิวจนสายตาเปล่งประกาย แต่พอคิดว่าอีกเดี๋ยวก็มีของกิน แต่ละคนออกตัวด้วยความเร็วสูง

เพิงชาอยู่ที่นั่น อันที่จริงการค้าไม่ถือว่าดี เพราะอยู่ไม่ไกลจากเมืองนั่วราแล้ว คนเดินไปมาส่วนมากอยากจะรีบเข้าเมือง ถึงเวลานั้นกลัวจะไม่มีของกินอีกรึ? ดังนั้นคนมาพักขาที่นี่ล้วนเป็นพวกคนเดินทางที่อดทนไม่ได้กินไม่ได้ดื่มมาหลายวันหรือไม่ก็เหน็ดเหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว เห็นจะเข้าเมืองแล้ว ยังพอมีเวลา เลยพักผ่อนสักหน่อยค่อยว่ากัน

เพิงชามีปู่-หลานสาวสองคนดูแล ปู่อายุราวห้าสิบหกสิบ หลานสาวอายุราวสิบสองสิบสาม ทั้งคู่แต่งตัวอย่างเรียบง่าย แต่ดูออกว่าซักสะอาดแล้ว

"ท่านปู่ เหลือซาลาเปาแค่สองเข่งและไข่ต้มสิบเอ็ดลูกแล้ว จะเข้าไปทำเพิ่มอีกหน่อยดีหรือไม่?" เด็กสาวหน้าตาสดใสพูดกับคนแก่ที่กำลังต้มชาอยู่

เวลานี้เอง มีคนหลายคนพุ่งเข้ามาที่เพิงชา น้ำสเยงใสกระจ่างเสียงหนึ่งลอยเข้าหูเด็กสาว

"น้องสาว พวกข้าเหมาซาลาเปาและไข่ต้มทั้งหมดเอง!"

แต่ทันทีที่เสียงนี้พูดจบ ก็มีเสียงหญิงสาวใสกระจ่างอีกเสียงดังขึ้น "นี่ เด็กน้อย เอาซาลาเปาและไข่ต้มมาที่นี่ทั้งหมด!"

เด็กสาวอึ้งตะลึง

เสียงแรกเป็นเสียงของโหลชี เดิมนางยังกลัวที่นี่จะเป็นแค่เพิงชา ขายแต่น้ำชาไม่มีอย่างอื่น พอได้ยินคำพูดของเด็กสาวก็ดีใจมาก ไม่สนใจว่ามีซาลาเปาและไข่ต้มเท่าไหร่ เหมามาก่อนค่อยว่ากัน! แต่นางไม่คิดเลยว่า จะมีคู่แข่ง

พอหันไปดู นางเห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ