จะบอกว่าเป็นหัองลับ ก็เป็นแค่ห้องหินที่มีขนาดประมาณห้าตารางเมตร แต่โหลชีสงสัยว่า ประโยชน์แต่เดิมของห้องหินนี่เพื่อเอาไว้เป็นห้องเก็บของ ส่วนจะเก็บอะไรนั้น ดูจากชั้นวางที่ใช้แท่นหินตัดเรียงกันสามชั้น และด้านบนวางขวดโถไว้หลายชั้นก็รู้แล้ว
ห้องยา
"หรือว่าเจ้าของที่น่าจะเป็นหมอยา?" โหลวซิ่นเข้าไปดูขวดโหลยาเหล่านั้น แต่ที่ทำให้คนแปลกใจคือ มันค่อนข้างจะเป็นขวดเปล่า
"คนบ้าที่ผลิตยาพิษก็อาจจะเป็นไปได้ " โหลชีบอก
ถ้ามิเช่นนั้นดอกไม้ขนาดมหึมาแปลกประหลาดพวกนั้นมาจากไหนกันล่ะ?
คนผู้นี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นอัจฉริยะโรคจิตที่ชมชอบการวิจัยพิษต่างๆ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนพันธุกรรมพืช บางครั้งอัจฉริยะกับคนโรคจิตก็ต่างกันแค่เส้นเดียวขวางกั้น
แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือรีบตามหาลูกนิลดำและออกไป อยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าด้านนอกเป็นยังไงบ้าง แถมในนี้ไม่มีอาหาร ปลาตัวเล็กที่ก่อนหน้านี้พวกเขาทานไปคนละตัวย่อยหมดจนไม่รู้จะย่อยยังไงแล้ว ตอนนี้แต่ละคนหิวจนตาเขียว และยังได้ยินเสียงท้องใครร้องเป็นพักๆ
"แยกกันหา" เฉินซ่าบอก
แสงค่อยสลัวลง พวกเขาจุดตะเกียงน้ำมันที่กำแพงขึ้น เหมือนความมืดจะมาเยือนอีกครั้ง โหลชีหยิบขวดหนึ่งออกมาจะมาดมดูว่า ด้านในยังมีกลิ่นอะไรไหม แต่ไหล่กลับหนักขึ้น เฉินซ่าเข้ามาหานาง ใช้สองไหล่ดึงนางเข้าอ้อมกอด
นางรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ใจเต้นแรงขึ้น ถามเสียงต่ำว่า "วันนี้เดือนเพ็ญรึ?"
"อืม"
ร่างกายแข็งเกร็งแต่เดิมของเฉินซ่า โชคดีที่ครานี้นางอยู่ข้างกาย เลยดึงนางเข้าอ้อมกอด ทำให้ความเจ็บปวดที่ยังไม่ทันขึ้นมากลับลงไป
โชคดี
อย่างนี้ดียิ่งนัก เขาไม่ต้องดื่มเลือดนางอีก
กอดนางสามารถระงับความเจ็บปวดได้ วิธีเช่นนี้เขาชอบนัก
พวกเยว่กับเฉิงสิบพากันมองมา และถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน อยู่ที่นี่ไม่เห็นเดือนตะวัน พวกเขาลืมไปแล้วว่าวันนี้เดือนเพ็ญ
จากนั้นเซียววั่งที่โดนมัดลากไว้มุมหนึ่งไม่อาจขยับได้สังเกตเห็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดพิกลเรื่องหนึ่ง คือทุกคนพากันเสาะหาลูกนิลดำ มีเพียงเฉินซ่าที่ดูไม่สนใจเรื่องนี้เลย ในใจคิดแต่สาวงาม เอาแต่เกาะติดโหลชี มือโอบเอวนางไว้ไม่ยอมห่างกาย
เขาพลันสงสัยขึ้นมา บุรุษที่ในใจมีแต่สาวงามเยี่ยงนี้จะสามารถทำงานใหญ่ได้จริงรึ?
"แม่นาง ท่านดูนี่สิ ใช่ลูกนิลดำหรือไม่?" จู่ๆเฉิงสิบก็ร้องขึ้นมา
ตอนนี้เขากลับย่อตัวลงด้านหลังชั้นวางด้านในสุด
"ข้าดูหน่อย" โหลชีที่หาอะไรไม่จอพลันใจกระตุก รีบพุ่งไปทางนั้น เกือบจะสลัดเฉินซ่าทิ้งซะแล้ว
เฉินซ่ายื่นมือดึงรั้งคอเสื้อด้านหลังนางไว้ สีหน้าทะมึน ไม่พอใจอย่างมาก "สิ่งนั้นสำคัญ หรือว่าข้าสำคัญ?"
เป็นกระสายยาให้เขา กลับลืมหน้าที่ซะได้
เดิมโหลชีจะพุ่งออกไปก็ได้สติกลับมา แต่เขาเร็วยิ่งกว่า รั้งคอเสื้อนางแล้วดึงนางเข้าอ้อมกอดอีกครั้ง นางก็ถอนหายใจโล่งอก อาจเพราะอยู่ที่นี่หลายวันเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ จะอย่างไรก็ร้อนใจอยู่บ้าง
"ไป ไปดูด้วยกันไป" นางเงยหน้ายิ้มแลบลิ้นให้เขา จับมือเขามาโอบเอวนางก่อน
พวกเยว่อดยิ้มไม่ได้ โหลชีไม่เคอะเขินเลยจริงๆ และไม่สนใจสายตาคนอื่นด้วย มิเช่นนั้นมีแม่นางบ้านใดเริ่มก่อนเช่นนี้บ้าง? ถึงจะมีสาเหตุ แต่การกระทำเช่นนี้ออกจะเปิดเผยอยู่สักหน่อย
เมื่อก่อนเฉิงสิบไม่ได้ค้นพบพืชพันธุ์ดูเหมือนแห้งตายแบบนี้ เพียงแต่เขาไม่ทันระวังชนขวดบนชั้นล้มลง ขวดหล่นลงไป ถูกเขาใช้หลังเท้าเกี่ยวไว้ทันเลยไม่แตก เขาย่อเอวลงไปหยิบ เลยเห็นเข้าพอดี
มันเป็นพืชพันธุ์ที่ลักษณะใบเหมือนกับเห็ดหลินจือ ดูแห้งเหี่ยวหมดแล้ว ไม่มีสีเขียวสักนิดเลย ทั้งต้นกลายเป็นสีเทา ด้านข้างราวกับโดนย้อมไปด้วยสีดำชั้นเล็กๆ แต่กลับไม่น่าเกลียด กลับดูเป็นโบราณด้วยซ้ำ ขอบสีดำประหนึ่งภาพวาดโบราณ มันสูงเพียงยี่สิบมิลลิเมตร แต่ใบเยอะมาก มีเป็นชั้นๆ เหมือนเห็ดหลินจือจำนวนมากมาอยู่รวมกัน
ด้านบนสุดแบ่งเป็นสามกระถาง กระถางละหนึ่งผล
ผลนั้นสีดำทั้งลูก เหมือนลูกเกดสีดำหนึ่งผล ผลตรงกลางดำสนิท ดำแบบนี้ราวกับสุกเต็มที่แล้ว ส่วนสองลูกด้านซ้ายขวายังมีสีเขียวแซมเล็กน้อย
"อันที่จริงข้าไม่เคยเห็นลูกนิลดำมาก่อน" โหลชีเงยหน้าบอกกับเฉินซ่า เฉินซ่ากลับพูดเสียงเรียบว่า "นี่คือลูกนิลดำ"
"ท่านเคยเห็น?"
"มิเคย" สายตาของเฉินซ่าที่มองลูกนิลดำนั่นไม่บอกชัดถึงอารมณ์ "แต่มีคนเคยให้ข้าดูภาพลูกนิลดำมาก่อน"
โหลชีอึ้ง และถามต่อทันทีว่า "นางฟ้าหลิวอวิ๋น?"
คราวนี้ถึงตาเฉินซ่าอึ้ง มองนางนิ่งอยู่นาน ถึงพยักหน้าช้าๆ "ข้าเคยทำสัญญาข้อตกลงกับนาง"
สัญญาข้อตกลงระหว่างเขากับซู่หลิวอวิ๋น ถึงโหลชีจะสงสัย แต่ก็ไม่มีทางถามในตอนนี้
"เฉิงสิบ หาขวดที่เล็กที่สุดมาสามขวด"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ