ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 287

เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่บนรถม้าได้ยินคำพูดของนางมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่สาวใช้ในชุดกระโปรงสีชมพูคนหนึ่งก็บินออกมาจากรถม้า แล้วร่อนลงตรงหน้าของโหลชีในทันที

เคล็ดวิชาตัวเบานี้ช่างสวยงามยิ่งนัก

แต่ตอนนี้ใครจะไปสนล่ะว่าวิชาตัวเบาของนางจะสวยหรือไม่สวย ในสายตาในหัวใจและในสมองของโหลชีและคนอื่นๆมีเพียงซาลาเปากับไข่ต้มเท่านั้น

"นังหนูคนนี้เจ้ามัวตกตะลึงอะไรอยู่? รีบเอาของพวกนี้ขึ้นมาเก็บให้หมด ข้าจะเอาไปเอง" สาวใช้พูดขึ้นเสียง หลังจากนั้นนางก็ถอดกระเป๋าเงินใบหนึ่งออกมาจากเอว แล้วล้วงเอาเงินหนึ่งเสี้ยวออกมาจากในกระเป๋าเงิน แล้วโยนไปทางหญิงสาวตามใจชอบ "เงินนี่ไม่จำเป็นต้องหามาชดใช้หรอก ที่เหลือข้าจะให้เจ้าเป็นรางวัล"

มือของหญิงสาวรีบคว้าเงินเสี้ยวนั้นเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้รับเอาไว้ มันก็ตกลงไปพื้นเสียแล้ว

เมื่อนางก้มตัวลงไปเก็บ โหลชีก็ทำเสียงหึหนึ่งครั้ง แล้วตะโกนว่า "โหลวซิ่น! ไปดูกันว่ามีซาลาเปากี่ลูก พวกเราห่อของเรียบร้อยแล้ว!"

"ได้ แม่นาง!"

โหลวซิ่นก้าวไปข้างหน้าทันที แล้วยื่นศีรษะออกไปดูเข่งไม้ไผ่ และตะโกนออกมาทันทีว่า "แม่นาง ซาลาเปาเข่งนี้มีเพียงสิบสองลูกเท่านั้น!"

อีกทั้ง ซาลาเปาลูกหนึ่งก็ไม่ใหญ่มาก เด็กหนุ่มที่อ่อนเยาว์และแข็งแรงอย่างพวกเขา คำเดียวก็สามารถยัดเข้าไปได้ชิ้นหนึ่งแล้ว

"ยังไงก็กินรองท้องก่อนเถิด พอถึงในเมืองแล้วค่อยกินอาหารมื้อใหญ่ เข้าไปนั่งกินกัน ไปไปไป" โหลชีพูดพร้อมกับลากเฉินซ่าเข้าไปที่เพิงน้ำชา ในเวลานี้ในเพิงน้ำชามีแขกเพียงสองคนเท่านั้น และตรงหน้าพวกเขาก็มีจานเปล่าอยู่ ในขณะที่พวกเขากำลังดื่มชาอยู่นั้น ก็คิดว่าซาลาเปาคงจะถูกกินไปหมดแล้ว

"พวกเจ้ายังฟังเหตุผลกันอยู่หรือไม่? ตอนนี้พวกเจ้าคิดที่จะมาแย่งของใช่ไหม?" พอพวกเขาเดินเข้ามาสาวใช้คนนั้นก็ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาเลย อย่างไรเสียดูจากแสงที่มุมตาของนางแล้วเห็นเพียงกลุ่มคนที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และหน้าสกปรกมอมแมมกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับขอทานเลย จนนางรู้สึกว่าการที่นางเหลือบมองพวกเขามันจะทำให้ตาของตัวเองแปดเปื้อนได้ ดังนั้นนางก็เลยไม่เคยหันไปมองพวกโหลชีเลย

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว โหลชีก็ไม่ได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้ามาหลายวันแล้ว เสื้อผ้าบนร่างกายของนางนั้นได้ผ่านการต่อสู้และฆ่าคน ถูกคนแทงจนเป็นรู ผ่านการกลิ้งไปบนพื้นดินและผ่านการลงน้ำมา ตอนนี้จึงมองไม่ออกเลยว่าสีเดิมคือสีอะไร อีกทั้งยังยับยู่ยี่เสียจนเหมือนกับใบกะหล่ำปลีอย่างไรอย่างนั้น และผมก็ยุ่งเหยิงไปหมดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ ประมาณว่าขอทานในเมืองทั้งหมดยังดูสะอาดเรียบร้อยกว่าพวกเขาอยู่บ้างเล็กน้อย

แม้แต่เฉินซ่าก็ไม่มีข้อยกเว้น

โหลวซิ่นหันศีรษะไปมองดูนางแวบหนึ่ง แล้วเผยฟันขาวของเขาออกมา "แม่นางท่านนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก พวกเรามาก่อนแท้ๆ ถ้าจะพูดว่าแยงของ เช่นนั้นก็ต้องเป็นเจ้านั่นแหละที่กำลังแย่งของอยู่อ่ะ"

หญิงสาวหยิบเงินเจี่ยวเหรียญนั้นขึ้นมา มองดูเหรียญนี้แล้วก็เหรียญนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปยื่นเงินเจี่ยวนั้นไป "แม่นาง ข้าขอคืนเงินให้ท่าน พวกเขามาก่อนจริงๆ"

"เจ้าว่าอะไรนะ?!" สีหน้าของสาวใช้คนนั้นเปลี่ยนไปแล้วอย่างกะทันหัน "เจ้าปัญญาอ่อนหรือเปล่า? คนพวกนี้จะไปมีให้เงินเจ้าได้หรือ? ก็แค่พวกขอทานสกปรกๆกลุ่มหนึ่ง!"

โหลชีหาโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ข้างในได้แล้วก็นั่งลง และเมื่อได้ยินดังนั้นนางก็หัวเราะฮ่าๆขึ้นมา "เงินน่ะ พวกเรายังไม่มีจริงๆโหลวซิ่นจ่ายทองคำให้นาง!"

"ขอรับ" โหลวซิ่นค้นกระเป๋าตรงแขนเสื้อทันที แล้วหยิบแผ่นทองแผ่นหนึ่งออกมา แล้วยัดเข้าไปในมือของชายชราที่ลุกขึ้นแล้วเดินผ่านมาคนนั้น "ท่านผู้เฒ่า รีบไปยกซาลาเปาและไข่มาให้พวกเราเร็วเข้า แล้วเอาน้ำชามาให้ทุกคนอีกคนละถ้วย!"

คิดไม่ถึงว่าขอทานเหล่านี้จะสามารถหยิบแผ่นทองออกมาได้จริงๆ ใบหน้าของสาวใช้คนนั้นก็มืดลงมาแล้วเล็กน้อย แล้วนางก็พูดเสียงแหลมออกมาว่า "ที่แท้ ก็ไม่ได้เป็นแค่ขอทาน แต่ยังเป็นหัวขโมยด้วย! ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าไปขโมยแผ่นทองมาจากไหน! ไม่ใช่ทรัพย์สินของตัวเอง ยังจะใช้เงินเยอะอีก รีบไสหัวไปซะ ไม่เช่นนั้น......"

นางยังพูดไม่ทันจบ ลมจากฝ่ามือมวลหนึ่งก็พัดมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง แล้วพัดนางจนเสียหลักล้มลงกับพื้น และยังกลิ้งออกไปไกลถึงสองเมตรเสียแล้ว

เฉินซ่าชักมือกลับ แล้วพูดกับเยว่ว่า "ทานอาหารกันเถิด"

"ขอรับ" เยว่และคนอื่นๆก็หิวจะแย่อยู่แล้วเช่นกัน ใครเล่าจะยังสามารถอดทนกับสาวใช้ที่ตาไม่มีแววคนนี้มาโอ้อวดแสนยานุภาพของตัวเองอยู่ตรงนี้ได้? คนสองสามคนจึงเริ่มลงมือทำงานของตนเองในทันที ทันทีที่ยกซาลาเปานึ่งสองเข่งและน้ำชามาแล้ว ก็ค่อยยกถ้วยมาและช้อนไข่ต้มขึ้นไปเกือบสิบฟองด้วย

โหลชีก็ไม่มีเวลาพอที่จะถือตะเกียบ และไม่มีเวลาพอที่จะไปสนใจว่ามือจะสกปรกแค่ไหน นางก็เอื้อมมือออกไปคว้าซาลาเปามาหนึ่งลูกและกัดไปหนึ่งคำใหญ่ พอเฉินซ่าเหลือบมองนาง เขาก็ส่ายศีรษะและหมดคำจะพูด เขาหยิบตะเกียบอย่างช้าๆ คีบซาลาเปาขึ้นมาหนึ่งลูก แล้วกัดลงไปหนึ่งคำช้าๆ

"ชิ" โหลชีรู้สึกไม่ละอายต่อการพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดว่ากำลังดูหมิ่นนางนี้ของเขาเป็นอย่างมาก

สาวใช้คนนั้นวิงเวียนศีรษะจนล้มลงไป และลุกไม่ขึ้นง่ายๆ นางจึงเห็นเพียงว่าเก่งกังฟูมาก ซาลาเปาทั้งสองเข่งล้วนแต่เข้าไปอยู่ในท้องของคนเหล่านั้นแล้ว และบางคนก็เริ่มกินไข่แล้ว ซึ่งมันทำให้นางต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ในหน้าอกจนแทบจะขาดอากาศหายใจตายเลยทีเดียว

แต่เมื่อสักครู่นี้นางไม่ได้มองชัดๆว่าใครขยับมือบ้าง กำลังภายในที่แข็งแกร่งทรงพลังนั้นกลับทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวมาก และในขณะที่นางกำลังกัดฟันและกำลังคิดว่าจะพูดคำแรงๆออกไปอีกสักสองประโยคดีไหม ก็มีเสียงที่หงุดหงิดดังมาจากในรถม้า "เอาล่ะ กลับมาเถิด ปล่อยไก่ขายขี้หน้าแท้ๆ!"

"เจ้าค่ะ"

สาวใช้ถลึงตามองคนที่อยู่ในเพิงน้ำชาสองสามคนอย่างดุร้าย หันหลังกลับและกระโดดขึ้นไปบนรถม้า แล้วเข้าไปในรถม้า ไม่นาน รถม้าคันนั้นก็เตะฝุ่นขึ้นมาสักพัก แล้ววิ่งห้อตะบึงไปทางเมืองนั่วรา

และในช่วงเวลานี้เอง โหลชีและคนอื่นๆก็ได้เห็นรถม้าสองสามคันวิ่งห้อตะบึงผ่านไปแล้ว และดูเหมือนว่าทุกคันจะเป็นรถม้าขนาดใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหราอย่างมากอีกด้วย

หลังจากที่ซาลาเปาสองลูกและไข่สองฟองตกถึงท้องแล้ว แม้ว่าโหลชียังคงรู้สึกหิวมาก แต่ถึงอย่างไรแสงสีเขียวที่อยู่ในดวงตาของนางก็จางลงแล้ว พอนางเพิ่งจะจิบชาเข้าไปแล้วหนึ่งคำ นางก็เอาตะเกียบคู่หนึ่งคีบซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาจนถึงข้างปาก "อ้าปาก"

ซาลาเปาเหล่านี้ พวกเขาได้แบ่งกันแล้วคนละสามลูก เขากินไปแล้วสองลูก และยังเหลือไว้ให้นางแล้วลูกหนึ่ง โหลชีไม่มีความเกรงใจใดๆเลย นางได้กัดคำใหญ่เข้าไปแล้วหนึ่งคำ

แล้วจึงหันศีรษะไปพูดกับคนอื่นๆว่า "ไม่ต้องกินไข่เร็วเกินไป ถ้าหิวมาเป็นเวลานานแล้วกินไข่และดื่มชาในทันที ท้องไส้ก็จะทำงานหนักได้นะ"

ทุกคนเชื่อฟังคำพูดของนางอย่างเด็ดขาด แล้วความรวดเร็วในการปอกไข่ที่อยู่ในมือก็ได้ช้าลงมา

ไข่ไก่ต้มในน้ำสะอาดนี้ โหลชีไม่ชอบกินไข่แดง นางก็เลยปอกเปลือกกินแค่ไข่ขาวเท่านั้น เฉินซ่าจึงเอาไข่แดงที่นางเหลือเอาไว้มากิน ทำให้ขากรรไกรล่างของเยว่แทบจะตกออกมา

นายท่านมีกิริยาท่าทางที่สูงส่งโดยแท้ เฉกเช่นคนที่มาจากตระกูลใหญ่โต เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะแบ่งปันอาหารกับผู้อื่น แต่ตอนนี้เขากลับให้อาหารกับโหลชี และกินไข่แดงที่นางปลอกออกมาด้วยมือที่สกปรกของนาง โดยที่เขาไม่ขมวดคิ้วเลยและท่าทางของเขาก็ดูเป็นธรรมชาติมาก

หลังจากที่โหลชีกินไข่ขาวแล้ว ก็ได้เห็นปู่และหลานชายสองคนกำลังยืนดูพวกเขาอยู่ข้างๆและทำท่าทางลังเลใจไม่กล้าพูดออกมา นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า "พวกท่านมีอะไรอยากจะพูดอย่างนั้นรึ?"

ปู่และหลานสาวสองคนนี้ได้เปิดเพิงน้ำชาอยู่ที่นี่มาสองสามปีแล้ว และในทุกๆวันพวกเขาได้พบเห็นผู้คนหลากหลายประเภทก็ไม่น้อย ต้องบอกว่าในตอนแรกพวกเขาเองก็คิดว่าคนเหล่านี้เป็นเหมือนขอทานจริงๆเหมือนกัน แต่เมื่อหลังจากที่ได้ยินพวกเขาพูดกันก็รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ขอทานอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังถือแผ่นทองออกมาด้วย

และดูเหมือนว่าพวกเขาจะลังเลใจว่าจะเรียกนางว่าอะไร โหลชีในตอนนี้สามารถดูออกได้ว่านางเป็นผู้หญิงแล้ว แต่นางกลับกำลังสวมเสื้อผ้าผู้ชายอยู่ และหน้าของนางสกปรกมากจนมองไม่ออกเลยว่าใบหน้าเดิมของนางเป็นอย่างไร "คุณ คุณชาย" ชายชราคนนั้นกำลังถือแผ่นทองแผ่นนั้นอยู่ในมือ "ซาลาเปาและไข่ไก่พวกนี้ไม่ต้องจ่ายด้วยเงินจำนวนมากขนาดนี้หรอกขอรับ"

โหลชีนึกว่าพวกเขาอยากจะพูดอะไรเสียอีก พอได้ยินคำพูดนี้นางจึงโบกมือไปมา แล้วกะพริบตาและพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น เงินที่เหลือ ก็ถือว่าเป็นเงินที่ข้าจะขอซื้อข้อมูลจำนวนหนึ่งจากท่านผู้เฒ่าก็แล้วกัน"

สองปู่หลานต่างก็ตะลึงไปหมด "ข้อมูลรึ?" มีข้อมูลอะไรที่พวกเขาสามารถซื้อได้ด้วยหรือ?

"ข้าเห็นรถม้าคันใหญ่หลายคันกำลังวิ่งเข้าไปในเมือง ช่วงนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในเมืองนั่วราไหม?"

เมื่อได้ยินว่านางถามถึงเรื่องนี้ ชายชราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก "คุณชายท่านไม่รู้หรือขอรับ? ว่าสองวันก่อน ตระกูลเซียวได้สร้างอาวุธวิเศษขึ้นมาอีกชิ้นแล้ว!"

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ดวงตาของโหลชีก็เบิกกว้างขึ้นมาในทันที และทันใดนั้นนางก็นึกถึงว่ากระบี่เหล็กดำน้ำแข็งพันปีเพิ่มเลือดของจิ้งจอกม่วงเล่มนั้นได้ถูกหลอมขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว!

แต่ยังไม่ทันรอให้นางนึกเรื่องนี้ให้กระจ่าง จู่ๆปัญหาอื่นอีกปัญหาหนึ่งก็ทำให้นางต้องสะดุ้งโหยงขึ้นมา "แย่แล้ว!"

เฉินซ่าก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน "จิ้งจอกน้อย"

ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น นั่นก็คือเจ้าจิ้งจอกม่วงวู๊วู!

คุณพระ นางลืมมันไปเลย!

โหลชีได้ถูกความรู้สึกผิดบุกโจมตีจนทำให้รู้สึกแย่ขึ้นมาในทันทีเสียแล้ว "ทำอย่างไรดี มันคงไม่มีทางรั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบลืมทุกข์หรอกกระมัง?"

ในทันใดเฉิงสิบและคนอื่นๆก็รู้สึกแย่ไปหมดแล้วเช่นเดียวกันทะเลสาบลืมทุกข์และปลากินคน นั่นเป็นประสบการณ์ในครั้งหนึ่งที่ทำให้พวกเขายังคงรู้สึกกลัวจนตัวสั่นเมื่อนึกถึงมันขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง

เยว่ยืนขึ้นมา แล้วพูดว่า "เราอย่าได้กลับไปทางเดิมที่พวกเราออกมาอย่างเด็ดขาด อย่าลืมสิว่า ตู้เหวินฮุ่ยและพรรคพวกก็ออกมาจากทางออกอีกทางหนึ่งที่อยู่ข้างทะเลสาบลืมทุกข์ เราเข้าไปตามหาพวกเขาในเมือง หลังจากที่หาพวกเขาเจอแล้ว ก็ให้พวกเขาเป็นผู้นำทาง แล้วค่อยกลับไปที่ทะเลสาบลืมทุกข์เพื่อค้นหา...วู๊วู"

โหลชีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะกลับไปเส้นทางนั้นได้ แต่สถานที่เช่นนั้นก็มักจะทำให้คนรู้สึกขนลุกบ่อยครั้งเมื่อนึกถึง สถานที่ที่แปลกประหลาดและมืดมนเช่นนั้น คาดว่าใครที่สามารถออกมาได้ล้วนไม่มีทางอยากกลับไปเดินอีกครั้งอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน องครักษ์เยว่จะต้องถือว่าเฉินซ่าต้องมาก่อนทุกเรื่องอย่างแน่นอน เพราะเขาต้องคอยติดตามอยู่ข้างกายเฉินซ่า เขาจึงไม่อาจริเริ่มทำเรื่องอะไรเพื่อนางได้อย่างเด็ดขาด

แต่ในตอนนี้คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะขอเสนอตัวออกมาเป็นคนแรกแบบนี้

เมื่อได้รับการจ้องมองของนาง สีหน้าของเยว่ก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา และเผชิญหน้ากับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนของนางโดยไม่หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย

โหลชียิ้มขึ้นมาในทันที "ตกลง"

เยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์กระแสน้ำวนในทะเลสาบคราวนั้น เขาก็มองออกได้โดยปริยายว่าโหลชีได้ยอมรับตำแหน่งพระสนมแล้ว แน่นอนว่านับตั้งแต่นี้เขาไม่สามารถถือว่านางคือสาวใช้โหลชีที่ยังมีสถานะต่ำต้อยกว่าเขาได้อีกต่อไปแล้ว ฝ่าบาทสามารถกระโดดลงไปในวังวนแห่งความวุ่นวายได้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แล้วทั้งสองคนก็มีสถานะเท่าเทียมกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

ยิ่งกว่านั้น ในหัวใจของเขาก็ได้เลื่อมใสศรัทธาในตัวนางแล้วเช่นกัน

เขาก็เลยกังวลมากขึ้นไปอีกว่าโหลชีจะไม่พอใจเขา แต่ตอนนี้โหลชีเต็มใจให้เขาไปทำงานต่างๆ เช่นนั้นก็ดีแล้วๆ

"ท่านผู้เฒ่า อาวุธวิเศษนั้นคืออะไรรึ?"

"มันคือกระบี่ล้ำค่าน่ะ ข้าได้ยินมาว่า ในวันนั้นที่อาวุธวิเศษถูกหลอมออกมาจากเตา องค์หญิงใหญ่ก็ได้มาถึงเมืองนั่วราแล้วเช่นกัน ดังนั้นนางก็เลยตัดสินใจด้วยตนเองที่จะให้อาวุธวิเศษปรากฏออกมาสู่โลก"

แล้วหญิงสาวคนนั้นก็กล่าวต่อไปว่า "องค์หญิงใหญ่ช่างเป็นคนดีจริงๆ นางไม่ได้ใช้สถานะของการเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ในการนำอาวุธวิเศษกลับไปที่เมืองหลวงด้วยเลย ยิ่งกว่านั้น เพราะองค์หญิงได้กระจายข่าวออกไป ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้จึงมีคนที่เดินทางมายังเมืองนั่วราแล้วหลายคน และลูกค้าของพวกเราก็พลอยเยอะขึ้นไปด้วยล่ะ"

เนื่องด้วยเหตุนี้ สองคนปู่หลานนี้จึงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเป่ยฝูหรงเป็นอย่างมาก

"ข้าได้ยินมาว่า ยู่ไท่จื่อแห่งตงชิงก็กำลังรีบเดินทางมาที่เมืองนั่วราด้วยล่ะ" ขณะที่หญิงสาวพูดถึงยู่ไท่จื่อขึ้นมา บนใบหน้าของนางก็สีแดงของเลือดฟาดปรากฏขึ้นเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของตงสือยู่จะยังคงยอดเยี่ยมอยู่มาก

เมื่อผู้ชายโต๊ะข้างๆได้ยินถึงตรงนี้เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "อย่าว่าแต่คุณชายกับยู่ไท่จื่อเลย พวกเจ้าคงไม่รู้สินะ ว่ายังมีบุคคลที่ยอดเยี่ยมอีกสองท่านที่ได้ยินว่าพวกเขาก็จะมาที่เมืองนั่วราด้วยล่ะ"

"ใช่ๆ มันช่างทำให้คนตั้งตารอด้วยความตื่นเต้นจริงๆเลยอ่ะ" ชายอีกคนหนึ่งก็พูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจเช่นกัน

ดูเหมือนว่ากระบี่เล่มนั้นจะไม่ธรรมดาเลย! ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจทำให้ผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ล้วนแต่รีบเดินทางมาจนถึงเมืองนั่วราแห่งนี้โดยเฉพาะได้หรอก เมื่อโหลวซิ่นเห็นว่าโหลชีดูเหมือนจะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อไปว่า "บุคคลที่ยอดเยี่ยมสองท่านนั้นที่พวกเจ้าพูดถึงคือผู้ใดกัน?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ