ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะดูถูกเหยียดหยามพวกเขามากเลยทีเดียวและคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินข่าวนี้ เขาจึงเหลือบมองพวกเขาและพูดว่า "ข้าเกรงว่าพูดไปแล้วพวกเจ้าจะตกใจสะดุ้งโหยงได้น่ะสิ"
บนหน้าผากของโหลวซิ่นมีเส้นสีดำสองเส้น พี่ชาย เช่นนั้นเจ้าก็พูดออกมาให้พวกเราตกใจสะดุ้งโหยงเสียทีสิ!
ชายคนนั้นหัวเราะเหอะๆขึ้นมาแล้วพูดว่า "บุคคลที่ยืนยันแล้วว่าจะมาแน่ๆก็คือนางฟ้าทั้งสองท่านยังไงล่ะ!"
นางฟ้าสองท่าน?
โหลวซิ่นและคนอื่นๆตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน ในใต้หล้านี้สองคนที่มีชื่อเสียงและถูกเรียกว่านางฟ้า คงหนีไม่พ้นพวกนางแล้ว
"คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางจะมาร่วมสนุกที่นี่ด้วย" หลังจากเยว่พูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเฉินซ่ากับโหลชี
แต่โหลชีกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเล็กน้อย และกวาดตามองไปที่เฉิงสิบด้วยสายตาที่ฉงนสนเท่ห์ เฉิงสิบก็คลายความสงสัยของนางขึ้นมาในทันที "สำนักปี้เซียน เขาเฉินอวิ๋น"
จิ่งเมิ่งเจ้าสำนักของสำนักปี้เซียน เป็นที่รู้จักในนามนางฟ้าเมิ่งปี้
แต่เห็นได้ชัดว่าชายสองคนนี้ไม่ได้กำลังน้ำลายไหลให้นางฟ้าเมิ่งปี้ผู้นี้เลย เพราะแม้ว่านางฟ้าเมิ่งปี้จะงดงามมาก แต่ถึงอย่างไรนางก็อายุเกินสามสิบแล้ว
สิ่งที่ทำให้โหลชีคิดไม่ถึงเลยก็คือ พอพวกเขากำลังพูดถึงนางฟ้าหลิวอวิ๋นอยู่ ก็ได้พบกับกลเครื่องจักรของเขาเฉินอวิ๋นเข้า และพอพวกเขาออกมาก็ได้ยินข่าวของนางฟ้าหลิวอวิ๋นซู่หลิวอวิ๋นเสียแล้ว
โหลชีชำเลืองมองเฉินซ่าอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มอยู่แวบหนึ่ง คงไม่ได้เป็นเพราะว่าข่าวที่เขาอยู่ที่นี่ได้รั่วไหลออกไปแล้ว หลังจากนั้นนางก็เลยบุกมาหานางถึงที่นี่หรอกนะ?
แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ? อีกคนหนึ่งเป็นคนที่นางเฝ้ารอการมาของนางมาก "เช่นนั้น เทพธิดาแห่งเขาเวิ่นเทียนไม่มาหรือ?"
มีเพียงเฉิงสิบกับโหลวซิ่นและคนอื่นๆเท่านั้นที่ฟังออกว่าสิ่งที่ฉายแววในดวงตาอันสงบจนถึงขั้นมีรอยยิ้มอยู่ด้วยเล็กน้อยตอนที่แม่นางของพวกเขาถามประโยคนี้นั้นคือเจตนาฆ่าที่เยือกเย็น
พวกเขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่า ถ้าน่าหลานฮั่วซินมาที่เมืองนั่วร่าในครั้งนี้ แม่นางของพวกเขาจะต้องลงมือฆ่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ผู้ชายสองคนนั้นเหลือบมองนาง แล้วส่ายศีรษะไปมา "ข้าไม่เคยยินว่าเทพธิดาจะมาที่นี่เลยนะ"
งั้นรึ ช่างน่าเสียดายจริงๆ
โหลชีค่อนข้างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย น่าหลานฮั่วซินคงไม่ได้ยังคงคิดว่านางจะต้องตายด้วยน้ำมือของเผ่ามนุษย์ผีแน่ๆหรือถูกทรมานด้วยวิธีทรมานต่างๆของพวกเขาและกำลังคิดที่จะชำระล้างตัวเองให้พ้นจากความระแวงสงสัยอยู่เพราะรู้ว่านางอยู่ที่นี่ใช่ไหม?
ทว่า อย่าว่าแต่น่าหลานฮั่วซินเลย แม้แต่นางฟ้าสองคนนี้ คาดว่าพวกนางก็ล้วนแต่ไม่มีความปรารถนาดีต่อนางเลย สำนักปี้เซียน เป็นหนึ่งใน "คุณูปการอันยิ่งใหญ่" ที่ได้ยั่วโมโหจนกลายเป็นศัตรูในอดีตเหล่านั้นของโหลชีและตอนที่อยู่ในทุ่งน้ำแข็งนางก็ได้ผิดใจกันกับจิ่งหยาวหลานสาวของนางฟ้าเมิ่งปี้ไปแล้ว และยังมีอีกหนึ่งคน นั่นคือเสิ่นเมิ่งจวินลูกศิษย์ของนางฟ้าเมิ่งปี้ ซึ่งเดิมทีมีความเป็นไปได้สูงมากที่นางจะได้แต่งงานกับตงสือเหวินองค์ชายแห่งตงชิง
ในหัวใจของเสิ่นเมิ่งจวิน คิดอยากจะถลกหนังและดื่มเลือดของนางอยู่ตลอดเวลา แต่ก็กลัวว่าเสิ่นเมิ่งจวินจะไม่สามารถเอาความคิดที่ตีกันยุ่งอยู่นี้ออกมาได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่านางตายไปแล้วหรือยัง ถูกตัดหูไปแล้วข้างหนึ่ง และถูกตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ตาย นางก็ไม่กล้าที่จะออกมาเดินเล่นตามอำเภอใจอยู่ดี
และผู้ที่สามารถพูดกล่อมให้นางฟ้าเมิ่งปี้แก้แค้นได้จริงๆ หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นจิ่งหยาวอย่างแน่นอน ทุกคนล้วนพูดกันว่านางฟ้าเมิ่งปี้ ปฏิบัติต่อนางเหมือนลูกสาวของนางเอง เมื่อลูกสาวของนางถูกรังแก ผู้ปกครองอย่างนางจะไม่ออกหน้าได้อย่างไร?
ส่วนซู่หลิวอวิ๋นนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบเห็นนางมาก่อน แต่โหลชีก็ยังคงไม่คาดหวังจริงๆ จากร่างกายที่ยั่วให้เกิดความเป็นปรปักษ์ของนาง ประกอบกับเดิมทีบุคคลผู้นี้ก็คือผู้ได้รับการคัดเลือกที่หลายคนในตำหนักจิ่วเซียวยอมรับแล้วว่านางมีคุณสมบัติที่จะสามารถแข่งขันกับน่าหลานฮั่วซินในตำแหน่งจักรพรรดินีได้อย่างแน่นอน และนางกับนางฟ้าหลิวอวิ๋นก็คาดว่าจะแตกหักออกจากกันอีกด้วย
แน่นอนว่านี่เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของศัตรูคู่อาฆาตอย่างสมบูรณ์เลยทีเดียว! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ โหลชีก็อดถอนหายใจไม่ได้ และนางยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้รับสายตาแห่งการเตือนจากฝ่าบาทเสียแล้ว
"ชีชี ควบคุมความคิดที่ยุ่งเหยิงของเจ้าเอาไว้จะเป็นการดีที่สุดนะ"
เฉินซ่าตัดสินใจ "เตือน" นางก่อน ถ้านางยังต้องการที่จะซักถามความคิดของเขาต่อไป เขาก็จะกลืนนางเข้าไปในคำเดียวโดยไม่สนใจอะไรแล้วจริงๆ
เมื่อถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาที่มีความอันตรายเล็กน้อยอยู่ในความสงบและลึกนั้นของเขา โหลชีก็หัวเราะคิกคักและรับปากขึ้นมาในทันทีว่า "พูดจาเหลวไหลอะไรกัน ข้าไม่มีทางมีความคิดที่ยุ่งเหยิงอะไรแบบนั้นอย่างเด็ดขาด จริงๆนะเพค่ะ"
ในเมื่อนางไม่สามารถสลัดออกจากความรู้สึกที่รุนแรงและร้อนแรงจนสามารถแผดเผาผู้คนให้ราบเป็นหน้ากลองของเขาไปได้ นางก็เลยไม่กลัวที่จะลองพยายามดูแล้วจริงๆ และการที่ไม่ให้เขาพิสูจน์ว่าตัวเองสามารถมีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ได้เพียงคนเดียวนั้น มันก็ช่างไม่ยุติธรรมสำหรับเขาอยู่บ้างจริงๆเช่นกัน
เฉินซ่าชายตามองนางแวบหนึ่ง แล้วทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาซึ่งเบามากจนแทบไม่ได้ยินออกมาหนึ่งครั้ง
แต่ถึงอย่างไรในครั้งนี้เมืองนั่วราจะต้องคึกคักมากแน่ๆ
"พวกเรารีบเข้าเมืองกันเถิด"
ในคราวนี้พวกเขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเป่ยฝูหรงเลยสักนิด ถ้ากระบี่วิเศษเล่มนี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกตกใจได้จริงๆ เป่ยฝูหรงจะไม่ช่วยราชวงศ์เก็บมันเอาไว้ แต่กลับต้องการดึงดูดผู้คนมากมายขนาดนี้ให้มาทำอะไร? ให้พวกเขามาแย่งชิงกันหรือ?
อีกทั้งกองกำลังหลายฝ่ายนี้มาที่เมืองนั่วราแห่งเดียว จะต้องไม่ใช่ว่าไม่ได้ปราศจากแรงกดดันอย่างแน่นอน
หลังจากที่ออกมาจากเพิงน้ำชาแล้ว ทุกคนก็รีบเข้าไปในเมืองโดยไม่มีรถไม่มีม้า พวกเขาทำได้เพียงอาศัยสองขาเท่านั้น เมื่อบวกกับภาพลักษณ์นี้ของพวกเขาแล้ว คนอื่นได้มองเห็นมาจากที่ไกลๆคงคิดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มขอทานและคนพเนจรที่ต้องการรีบเข้าไปในเมืองในช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวานี้เพื่อจะได้ขอทานดีๆกลุ่มหนึ่งจริงๆ
ในระหว่างทาง ก็มีรถม้าที่ใหญ่โตและหรูหราหรือบางทีก็มีม้าวิ่งฝีเท้าดีมากมายวิ่งผ่านพวกเขาไปยังเมืองนั่วรา
เมื่อได้เห็นทหารรักษาการณ์ที่ตั้งแถวสองแถวและกำลังสวมชุดเกราะที่องอาจน่าเกรงขามอยู่ที่ประตูเมืองไม่หละหลวมเหมือนเดิมอย่างเห็นได้ชัด โหลชีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามว่า "เพราะภาพลักษณ์นี้ของพวกเรา ก็เลยถูกขวางเอาไว้ใช่หรือไม่?"
ทุกคนพยักหน้ายืนยันอย่างพร้อมเพรียงกัน
โหลชีกลอกตารอบหนึ่ง แล้วพูดว่า "พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้นะ ข้าจะเข้าไปข้างในก่อน รอกระทั่งข้าจะให้คนนำเสื้อผ้าและรถม้ามาส่งให้พวกเจ้าได้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ