ทุกคนหิวมากจนทนไม่ไหว อาหารเล็กๆน้อยๆที่พวกเขากินในเพิงน้ำชานอกเมืองเหล่านั้นไม่ได้เรื่องเลย โชคดีที่หลังจากที่โหลชีกลับมานางได้ให้สองสามีภรรยาคู่นั้นเตรียมน้ำร้อนและทำอาหารเอาไว้แล้ว หลังจากที่พวกเขาได้เสื้อผ้าชุดใหม่จากเสี่ยวโฉวแล้วพวกเขาก็ต่างคนต่างไปอาบน้ำแต่งตัวกัน และตอนที่พวกเขาออกมานั้นก็มีโต๊ะใหญ่วางอยู่เต็มโต๊ะอาหารที่อยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว
โหลชีกำลังจะนั่งลง แต่ เยว่กลับเชิญนางไปที่โถงบุบผาก่อน
ในโถงบุบผามีโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง และได้มีการเตรียมชามและตะเกียบไว้เพียงสองชุดเท่านั้น เยว่พูดว่า "พระสนมเป็นคนอ่อนน้อมมีน้ำใจผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมรู้ดี แต่ถ้าหากจะสร้างแคว้น กฎระเบียบที่พึงมีก็ยังจำเป็นต้องมี ไม่ใช่ว่าพระสนมจะต้องเปลี่ยนอะไรมากมาย เพียงแต่มันก็เหมือนกับการแบ่งโต๊ะรับประทานอาหารกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ เรื่องบางเรื่องก็ควรให้ลูกน้องไปทำไม่ต้องลงแรงทำด้วยตนเองเองกับมืออย่าทำเอง เช่นเดียวกับปัญหานี้ พระสนมจะพยายามทำให้ดีที่สุดได้หรือไม่?"
โหลชีรู้สึกจนใจ นางจึงยิ้มอย่างอ่อนแรงในขณะที่กำลังมองเขา ความจริงแล้ว นางสามารถเข้าใจได้ว่า เป็นเหมือนกับประเทศย่อมมีกฎหมายของประเทศและครอบครัวก็ย่อมมีกฎระเบียบของครอบครัว ซึ่งนางสามารถล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานกับทหารองครักษ์และผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิดที่สุดได้ แต่ก็จะจำกัดเฉพาะเฉิงสิบและโหลวซิ่นเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วอย่างไรเสียนางก็ปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างออกไปจากคนอื่นอยู่ดี และสำหรับคนอื่นแล้วนางก็อาจจะไม่สามารถสนิทชิดเชื้อขนาดนี้ได้เช่นกัน
ต่อไปนี้ ถึงแม้ในแคว้นจะมีทหารและนายพลมากมายขนาดไหน นางก็สามารถคลุกคลีกับพวกเขาได้ในบางครั้ง แต่กลับไม่สามารถใกล้ชิดกับพวกเขาตลอดเวลาได้ หลังจากที่ช่วงเวลาเช่นนั้นได้ผ่านไปนานแล้ว ก็มักจะมีบางคนเกิดความคิดอื่นๆขึ้นมาได้
ผู้บังคับบัญชามักจะมีลักษณะอันน่าเกรงขามและมีกำลังที่จะสามารถสยบผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหมาะสมเสมอ เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับคนส่วนน้อย แต่เป็นคนทั้งแคว้น
"ข้ารู้แล้ว"
เยว่ยิ้มเล็กน้อย โค้งคำนับแสดงความเคารพหนึ่งครั้งแล้วถอนตัวออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินซ่าจึงสาวเท้าพรวดๆก้าวไปข้างหน้า พอเห็นนางนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว มุมปากโค้งของเขาก็ขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเขาก็เดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามนาง
อันที่จริงตอนที่เขาเดินเข้ามาโหลชีก็กำลังมองเขาอยู่แล้ว ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ใช่แล้ว มันน่าประหลาดใจมาก แต่ไหนแต่ไรมาเฉินซ่าจะสวมแค่เสื้อคลุมสีดำเท่านั้น และบางครั้งเสื้อผ้าของเขาก็ดำมืดดั่งกลางคืน ชุดสีดำนั้นช่างเหมาะกับเขาจริงๆ เพราะว่าเขาเป็นคนเย็นชา และมีบุคลิกลักษณะเคร่งขรึมทรงเกียรติภูมิ ซึ่งเหมาะกับชุดสีดำเป็นอย่างมาก
และโหลชีเองก็คิดมาโดยตลอดว่านั่นเป็นสีที่เหมาะกับเขามากที่สุดเช่นกัน แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า แม้แต่สีแดงที่สดใสสวยงาม เขาก็สามารถจัดการกับมันอย่างสบายใจได้!
ไม่ผิด เสื้อผ้านั้นคือเสื้อผ้าที่นางขอให้เสี่ยวโฉวเป็นคนเลือกซื้อมา แต่ทว่า ด้วยความที่กลัวว่าจะไม่มีร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปธรรมดาๆ นางยังใช้เงินไปจำนวนมากเพื่อให้ เสี่ยวโฉวสืบหาร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองนั่วราแห่งนี้ และบอกกับเสี่ยวโฉวว่า นางต้องการเสื้อผ้าผู้ชายที่ทันสมัยที่สุด มีความละลานตามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และดึงดูดผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะดึงดูดได้ ไม่ว่าราคาจะเท่าใดก็ตาม
ผลสุดท้ายเสี่ยวโฉวก็เลยได้นำชุดสีแดงชุดนี้กลับมาเสียแล้ว
สีแดงสดที่บริสุทธิ์จนถึงขีดสุด มันได้แสดงความสดใสของมันออกมาอย่างหยิ่งทะนง รอบเอวมีเข็มขัดสีดำอยู่หนึ่งเส้น บนเข็มขัดปักเพียงลายใบไผ่ไม่สองสามใบด้วยด้ายสีทองเท่านั้น แล้วค่อยสวมทับด้วยรองเท้าบู๊ตสีดำ เนื่องจากผมยาวที่ยังเปียกอยู่มากของเขา จึงทำให้เฉินซ่าที่อยู่ในสภาพนี้ดูเคร่งขรึมน้อยลง และดูมีเสน่ห์มากขึ้นเป็นสองเท่า!
ในขณะที่ดวงตากำลังสะท้อนชุดสีแดงคู่นั้น นัยน์ตาที่ลึกและเงียบสงัดก็ได้เป็นประกายวาววับขึ้นมา มันช่างงดงามเสียจนนางเกือบจะน้ำลายไหลเลยทีเดียว——
ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลงใหลอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงที่มีรอยยิ้มแฝงอยู่ด้วยที่ของเฉินซ่าว่า "ข้ามีอะไรน่ามองนักรึ? คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้พระสนมอันเป็นที่รักของข้าน้ำลายไหลไปเสียแล้ว"
โหลชีรีบเช็ดปากของนางในทันที นางคิดไม่ถึงเลยว่ามันยังจะไหลออกมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ!!!
โอ้แม่เจ้า! ช่างน่าขายหน้ามากเกินไปแล้วจริงๆ!
โหลชีเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าเอาไว้ "...ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว"
"ฮ่าๆๆๆ......"
เฉินซ่าอดหัวเราะไม่ได้ เสียงของเขามีเสน่ห์และรื่นหูมาก โหลชีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตัวเองกลายเป็นสายพิณที่ประณีตละเอียดอ่อนไปแล้ว ส่วนเสียงหัวเราะของเขาก็คือมือที่กำลังดีดบรรเลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้หัวใจของนางอ่อนแรงลงอย่างไม่มีเหตุผล
เป็นเรื่องยากนักที่เฉินซ่าจะเห็น โหลชีเขินอายจนหน้าแดงแบบนี้ เขาก็เลยยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น ผู้หญิงของเขาลุ่มหลงรูปลักษณ์ของเขา นี่คือสิ่งที่สมควรแล้ว สมควรแล้ว
นอกห้องโถงใหญ่ เดิมทีทุกคนกำลังกินข้าวเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะแห่งความดีอกดีใจที่ไม่เคยมีมาก่อนของฝ่าบาทดังขึ้นมา พวกเขาก็แทบจะอ้าปากค้างกันทุกคนเสียแล้ว
พวกเขาติดตามฝ่าบาทมานานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของเขาเลย! อย่างมากที่สุดก็คือมุมปากของเขาได้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วมันก็หายวับไป ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยหัวเราะออกมาดังๆแบบนี้เหมือนกับในตอนนี้เลย!
ทันใดนั้นเยว่ก็รู้สึกแสบจมูกอยากจะร้องไห้ออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าโหลชีจะไม่ใช่ยากระตุ้นของฝ่าบาท และถึงแม้ว่าโหลชีจะไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น แต่นางสามารถทำให้ฝ่าบาทเริ่มเป็นแบบนี้ได้ก็เพียงพอแล้ว ก็เพียงพอแล้ว!
"รีบกินๆ กินเสร็จแล้วก็ดูซิว่าใครจะเต็มใจตามข้าไปที่ทะเลสาบลืมทุกข์จิ้งจอกน้อยของข้ายังไม่กลับมาเลย!"
"ใต้เท้าองครักษ์เยว่ ข้าน้อยจะพาท่านไปที่นั่นเอง!"
"ไม่ ใต้เท้าองครักษ์เยว่ ให้ข้าน้อยพาท่านไปเองเถิด ข้าน้อยจำทางได้"
ความจริงแล้ว ในตอนที่พวกมันออกมานั้นก็ถือว่าเป็นการรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ได้หลบซ่อนอยู่ในสถานที่ลับเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะสามารถออกไปจากที่นี่อย่างไม่มีอันตรายเลยได้อย่างไร?
โชคดีที่ทางเส้นนั้นเป็นทางที่อันตรายน้อยที่สุดเส้นหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไรไปอยู่ที่นั่นเลยสักคน รวมถึงพวกเสี่ยวโฉวด้วย
แต่ทว่า องครักษ์เยว่ยังไม่ทันดำเนินการใดๆ ผู้ส่งสารที่ไปสืบข่าวคราวในเมืองคนหนึ่งก็ได้นำข่าวที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากมาแจ้งเสียแล้ว
"พระสนม ผู้น้อยพบว่าบนรถม้าคันหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาในเมืองมีจิ้งจอกม่วงด้วยขอรับ!"
เมื่อโหลชีที่กำลังมัดผมให้เฉินซ่าด้วยมือของตัวเองอยู่ได้ยินดังนั้น นางก็หยุดการกระทำที่อยู่ในมือลงสักครู่ แล้วพูดว่า "อะไรนะ?"
"มัดผมเสร็จแล้วค่อยคุยกัน" เฉินซ่าเตือนนางอย่างเฉยเมย มันเป็นแค่จิ้งจอกน้อยที่แสนรู้ตัวหนึ่งเท่านั้น ตำแหน่งในหัวใจของนางไม่สามารถเป็นเหมือนกันหรือใกล้เคียงกับเขาได้ อืม สิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกคือต้องมัดผมให้เขาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่ โหลชีมัดผมให้เขา เขาชอบความรู้สึกที่นิ้วอันเรียวยาวของนางแล่นผ่านระหว่างเส้นผมสีดำของเขาไป
โหลชีลงมือทำต่อไป แล้วจึงขยิบตาให้ ตู้เหวินฮุ่ย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ