ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 289

ทุกคนหิวมากจนทนไม่ไหว อาหารเล็กๆน้อยๆที่พวกเขากินในเพิงน้ำชานอกเมืองเหล่านั้นไม่ได้เรื่องเลย โชคดีที่หลังจากที่โหลชีกลับมานางได้ให้สองสามีภรรยาคู่นั้นเตรียมน้ำร้อนและทำอาหารเอาไว้แล้ว หลังจากที่พวกเขาได้เสื้อผ้าชุดใหม่จากเสี่ยวโฉวแล้วพวกเขาก็ต่างคนต่างไปอาบน้ำแต่งตัวกัน และตอนที่พวกเขาออกมานั้นก็มีโต๊ะใหญ่วางอยู่เต็มโต๊ะอาหารที่อยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว

โหลชีกำลังจะนั่งลง แต่ เยว่กลับเชิญนางไปที่โถงบุบผาก่อน

ในโถงบุบผามีโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง และได้มีการเตรียมชามและตะเกียบไว้เพียงสองชุดเท่านั้น เยว่พูดว่า "พระสนมเป็นคนอ่อนน้อมมีน้ำใจผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมรู้ดี แต่ถ้าหากจะสร้างแคว้น กฎระเบียบที่พึงมีก็ยังจำเป็นต้องมี ไม่ใช่ว่าพระสนมจะต้องเปลี่ยนอะไรมากมาย เพียงแต่มันก็เหมือนกับการแบ่งโต๊ะรับประทานอาหารกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ เรื่องบางเรื่องก็ควรให้ลูกน้องไปทำไม่ต้องลงแรงทำด้วยตนเองเองกับมืออย่าทำเอง เช่นเดียวกับปัญหานี้ พระสนมจะพยายามทำให้ดีที่สุดได้หรือไม่?"

โหลชีรู้สึกจนใจ นางจึงยิ้มอย่างอ่อนแรงในขณะที่กำลังมองเขา ความจริงแล้ว นางสามารถเข้าใจได้ว่า เป็นเหมือนกับประเทศย่อมมีกฎหมายของประเทศและครอบครัวก็ย่อมมีกฎระเบียบของครอบครัว ซึ่งนางสามารถล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานกับทหารองครักษ์และผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิดที่สุดได้ แต่ก็จะจำกัดเฉพาะเฉิงสิบและโหลวซิ่นเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วอย่างไรเสียนางก็ปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างออกไปจากคนอื่นอยู่ดี และสำหรับคนอื่นแล้วนางก็อาจจะไม่สามารถสนิทชิดเชื้อขนาดนี้ได้เช่นกัน

ต่อไปนี้ ถึงแม้ในแคว้นจะมีทหารและนายพลมากมายขนาดไหน นางก็สามารถคลุกคลีกับพวกเขาได้ในบางครั้ง แต่กลับไม่สามารถใกล้ชิดกับพวกเขาตลอดเวลาได้ หลังจากที่ช่วงเวลาเช่นนั้นได้ผ่านไปนานแล้ว ก็มักจะมีบางคนเกิดความคิดอื่นๆขึ้นมาได้

ผู้บังคับบัญชามักจะมีลักษณะอันน่าเกรงขามและมีกำลังที่จะสามารถสยบผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหมาะสมเสมอ เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับคนส่วนน้อย แต่เป็นคนทั้งแคว้น

"ข้ารู้แล้ว"

เยว่ยิ้มเล็กน้อย โค้งคำนับแสดงความเคารพหนึ่งครั้งแล้วถอนตัวออกไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินซ่าจึงสาวเท้าพรวดๆก้าวไปข้างหน้า พอเห็นนางนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว มุมปากโค้งของเขาก็ขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเขาก็เดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามนาง

อันที่จริงตอนที่เขาเดินเข้ามาโหลชีก็กำลังมองเขาอยู่แล้ว ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ใช่แล้ว มันน่าประหลาดใจมาก แต่ไหนแต่ไรมาเฉินซ่าจะสวมแค่เสื้อคลุมสีดำเท่านั้น และบางครั้งเสื้อผ้าของเขาก็ดำมืดดั่งกลางคืน ชุดสีดำนั้นช่างเหมาะกับเขาจริงๆ เพราะว่าเขาเป็นคนเย็นชา และมีบุคลิกลักษณะเคร่งขรึมทรงเกียรติภูมิ ซึ่งเหมาะกับชุดสีดำเป็นอย่างมาก

และโหลชีเองก็คิดมาโดยตลอดว่านั่นเป็นสีที่เหมาะกับเขามากที่สุดเช่นกัน แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า แม้แต่สีแดงที่สดใสสวยงาม เขาก็สามารถจัดการกับมันอย่างสบายใจได้!

ไม่ผิด เสื้อผ้านั้นคือเสื้อผ้าที่นางขอให้เสี่ยวโฉวเป็นคนเลือกซื้อมา แต่ทว่า ด้วยความที่กลัวว่าจะไม่มีร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปธรรมดาๆ นางยังใช้เงินไปจำนวนมากเพื่อให้ เสี่ยวโฉวสืบหาร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองนั่วราแห่งนี้ และบอกกับเสี่ยวโฉวว่า นางต้องการเสื้อผ้าผู้ชายที่ทันสมัยที่สุด มีความละลานตามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และดึงดูดผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะดึงดูดได้ ไม่ว่าราคาจะเท่าใดก็ตาม

ผลสุดท้ายเสี่ยวโฉวก็เลยได้นำชุดสีแดงชุดนี้กลับมาเสียแล้ว

สีแดงสดที่บริสุทธิ์จนถึงขีดสุด มันได้แสดงความสดใสของมันออกมาอย่างหยิ่งทะนง รอบเอวมีเข็มขัดสีดำอยู่หนึ่งเส้น บนเข็มขัดปักเพียงลายใบไผ่ไม่สองสามใบด้วยด้ายสีทองเท่านั้น แล้วค่อยสวมทับด้วยรองเท้าบู๊ตสีดำ เนื่องจากผมยาวที่ยังเปียกอยู่มากของเขา จึงทำให้เฉินซ่าที่อยู่ในสภาพนี้ดูเคร่งขรึมน้อยลง และดูมีเสน่ห์มากขึ้นเป็นสองเท่า!

ในขณะที่ดวงตากำลังสะท้อนชุดสีแดงคู่นั้น นัยน์ตาที่ลึกและเงียบสงัดก็ได้เป็นประกายวาววับขึ้นมา มันช่างงดงามเสียจนนางเกือบจะน้ำลายไหลเลยทีเดียว——

ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลงใหลอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงที่มีรอยยิ้มแฝงอยู่ด้วยที่ของเฉินซ่าว่า "ข้ามีอะไรน่ามองนักรึ? คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้พระสนมอันเป็นที่รักของข้าน้ำลายไหลไปเสียแล้ว"

โหลชีรีบเช็ดปากของนางในทันที นางคิดไม่ถึงเลยว่ามันยังจะไหลออกมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ!!!

โอ้แม่เจ้า! ช่างน่าขายหน้ามากเกินไปแล้วจริงๆ!

โหลชีเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าเอาไว้ "...ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว"

"ฮ่าๆๆๆ......"

เฉินซ่าอดหัวเราะไม่ได้ เสียงของเขามีเสน่ห์และรื่นหูมาก โหลชีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตัวเองกลายเป็นสายพิณที่ประณีตละเอียดอ่อนไปแล้ว ส่วนเสียงหัวเราะของเขาก็คือมือที่กำลังดีดบรรเลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้หัวใจของนางอ่อนแรงลงอย่างไม่มีเหตุผล

เป็นเรื่องยากนักที่เฉินซ่าจะเห็น โหลชีเขินอายจนหน้าแดงแบบนี้ เขาก็เลยยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น ผู้หญิงของเขาลุ่มหลงรูปลักษณ์ของเขา นี่คือสิ่งที่สมควรแล้ว สมควรแล้ว

นอกห้องโถงใหญ่ เดิมทีทุกคนกำลังกินข้าวเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะแห่งความดีอกดีใจที่ไม่เคยมีมาก่อนของฝ่าบาทดังขึ้นมา พวกเขาก็แทบจะอ้าปากค้างกันทุกคนเสียแล้ว

พวกเขาติดตามฝ่าบาทมานานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของเขาเลย! อย่างมากที่สุดก็คือมุมปากของเขาได้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วมันก็หายวับไป ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยหัวเราะออกมาดังๆแบบนี้เหมือนกับในตอนนี้เลย!

ทันใดนั้นเยว่ก็รู้สึกแสบจมูกอยากจะร้องไห้ออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าโหลชีจะไม่ใช่ยากระตุ้นของฝ่าบาท และถึงแม้ว่าโหลชีจะไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น แต่นางสามารถทำให้ฝ่าบาทเริ่มเป็นแบบนี้ได้ก็เพียงพอแล้ว ก็เพียงพอแล้ว!

"รีบกินๆ กินเสร็จแล้วก็ดูซิว่าใครจะเต็มใจตามข้าไปที่ทะเลสาบลืมทุกข์จิ้งจอกน้อยของข้ายังไม่กลับมาเลย!"

"ใต้เท้าองครักษ์เยว่ ข้าน้อยจะพาท่านไปที่นั่นเอง!"

"ไม่ ใต้เท้าองครักษ์เยว่ ให้ข้าน้อยพาท่านไปเองเถิด ข้าน้อยจำทางได้"

ความจริงแล้ว ในตอนที่พวกมันออกมานั้นก็ถือว่าเป็นการรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ได้หลบซ่อนอยู่ในสถานที่ลับเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะสามารถออกไปจากที่นี่อย่างไม่มีอันตรายเลยได้อย่างไร?

โชคดีที่ทางเส้นนั้นเป็นทางที่อันตรายน้อยที่สุดเส้นหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไรไปอยู่ที่นั่นเลยสักคน รวมถึงพวกเสี่ยวโฉวด้วย

แต่ทว่า องครักษ์เยว่ยังไม่ทันดำเนินการใดๆ ผู้ส่งสารที่ไปสืบข่าวคราวในเมืองคนหนึ่งก็ได้นำข่าวที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากมาแจ้งเสียแล้ว

"พระสนม ผู้น้อยพบว่าบนรถม้าคันหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาในเมืองมีจิ้งจอกม่วงด้วยขอรับ!"

เมื่อโหลชีที่กำลังมัดผมให้เฉินซ่าด้วยมือของตัวเองอยู่ได้ยินดังนั้น นางก็หยุดการกระทำที่อยู่ในมือลงสักครู่ แล้วพูดว่า "อะไรนะ?"

"มัดผมเสร็จแล้วค่อยคุยกัน" เฉินซ่าเตือนนางอย่างเฉยเมย มันเป็นแค่จิ้งจอกน้อยที่แสนรู้ตัวหนึ่งเท่านั้น ตำแหน่งในหัวใจของนางไม่สามารถเป็นเหมือนกันหรือใกล้เคียงกับเขาได้ อืม สิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกคือต้องมัดผมให้เขาก่อน

นี่เป็นครั้งแรกที่ โหลชีมัดผมให้เขา เขาชอบความรู้สึกที่นิ้วอันเรียวยาวของนางแล่นผ่านระหว่างเส้นผมสีดำของเขาไป

โหลชีลงมือทำต่อไป แล้วจึงขยิบตาให้ ตู้เหวินฮุ่ย

ตู้เหวินฮุ่ยก็เลยพูดต่อว่า "ผู้น้อยได้ส่งคนไปสืบเรื่องที่พักและสถานะของบุคคลที่อยู่ในรถม้าคันนั้นแล้ว แต่ทว่า ลูกน้องของผู้น้อยได้รายงานมาว่า ดูเหมือนว่าจิ้งจอกม่วงจะติดตามอยู่ข้างกายบุคคลผู้นั้นอย่างเชื่องมากเลยขอรับ"

"เห็นชัดไหมว่าเป็นวู๊วู?"

"ในตอนนั้นผ้าม่านได้ถูกลมเปิดขึ้นมาให้เห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น น่าจะเป็นวู๊วูนะขอรับ"

ในใต้หล้าจะมีจิ้งจอกม่วงมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?

เดิมทีเยว่กำลังวางแผนที่จะพาคนออกเดินทางกลับไปที่ทะเลสาบลืมทุกข์อีกครั้ง เมื่อได้ยินข่าวนี้เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะโล่งใจหรือควรจะกังวลใจดี อย่างน้อยจิ้งจอกม่วงก็ไม่เป็นไร แต่ผู้คนที่อยู่ในรถม้าคันนั้นไม่รู้ว่ามันศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน แล้วพวกเขาได้จิ้งจอกม่วงมาจากที่ไหนกัน? จิ้งจอกม่วงยังคอยติดตามพวกเขาอย่างว่าง่ายจริงๆน่ะหรือ?

แต่โหลชีกลับคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นอาจจะเป็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งก็ได้ ขอเพียงแค่รู้จักกับอีกฝ่าย และแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เป็นอันตราย จิ้งจอกม่วงก็อาจจะสามารถคอยติดตามพวกเขาไปได้

หลังจากที่รอสักครู่หนึ่ง คนที่ออกไปสืบข่าวก็กลับมา "พระสนม ผู้น้อยไร้ประโยชน์ นี่คือจดหมายที่ชายผู้นั้นขอให้ผู้น้อยนำมามอบให้กับพระสนมขอรับ"

ผู้ส่งสารคนนั้นก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด กังฟูไม่สู้คน จึงถูกผู้อื่นค้นพบได้ แถมยังกลายเป็นผู้ส่งสารไปเสียแล้ว

ในขณะที่โหลชีกำลังจะรับจดหมายเฉินซ่าก็เอื้อมมือไปคว้ามัน แล้วจดหมายก็ปลิวตรงเข้ามาอยู่ในมือของเขา นางจึงรีบกระโดดเข้าไปหาเขา เขายกจดหมายขึ้นสูงในขณะที่กำลังมองดูนางกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของตัวเอง

เขาเลิกคิ้วขึ้นและชำเลืองมองนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอันตรายเล็กน้อยว่า "ตื่นเต้นขนาดนี้เลยหรือ?"

มือที่กำลังจะแย่งจดหมายมาของโหลชีได้หันมาดึงเสื้อตรงหน้าอกของเขา แถมยังตบเสื้อผ้าของเขาไปมาเบาๆเพื่อเป็นการจัดเสื้อผ้าให้เขา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปพูดกับเขาด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องว่า "หม่อมฉันตื่นเต้นกับวู๊วูเพคะ รีบอ่านสิเพคะว่าเขาเขียนว่าอะไร"

พอเฉินซ่าเปิดจดหมายขึ้น เขาก็ได้เห็นว่าบนจดหมายนั้นเขียนตัวอักษรเอาไว้เพียงบรรทัดเดียวเท่านั้น

"พอจากลั่วหยางไป คิดถึงมากมายเหลือเกิน ตอนกลางคืนยามซวี พบกันที่ห้องอินทนิล​ในตึกบุษบาพันธ์" เขาอ่านออกมาอย่างช้าๆ และพูดช้ามาก พออ่านจนถึงประโยคสุดท้าย ดวงตาสีเข้มของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อยในขณะที่กำลังจ้องมองนาง

ลายมือที่คมชัดและสุภาพสง่างาม ขยับพู่กันมีน้ำหนัก ทิศทางประดุจดั่งมังกรว่ายน้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นลายมือของผู้ชายคนหนึ่ง

เมื่อโหลชีได้ยินตรงนี้ก็รู้เลยว่าเป็นใครแล้ว จ้าวหยุนนายน้อยของโรงพรรณยา! แต่ทำไมเขาถึงมาที่นี่เช่นกันล่ะ? หรือว่าเขาก็มาเพื่อกระบี่ล้ำค่าเล่มนั้นเช่นกัน?

ดูเหมือนว่าคราวนี้ เมื่อนั่วราจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้วจริงๆ

แต่ว่าห้องตึกบุษบาพันธ์อะไรนั่นคืออะไรอีกล่ะเนี่ย?

ในขณะที่โหลชีกำลังครุ่นคิดด้วยความกลัดกลุ้ม นางก็มองไม่เห็นใบหน้าที่ดำสนิทจนใกล้จะหยดลงมาเหมือนน้ำหมึกของใครบางคนเลย รอจนกระทั่งนางสังเกตเห็นเข้าจู่ๆนางก็รู้สึกหนาวจนตัวสั่นขึ้นมาในทันใด คนอื่นๆเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีก็เลยแอบหนีออกไปกันหมดแล้ว

เฉินซ่าบีบคางของนางเอาไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อึมครึมว่า "พระสนมมีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?"

เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เมืองลั่วหยาง เพราะในเวลานั้นสามร้อยผู้ส่งสารยังมาไม่ถึง ต่อมาหลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวขององค์ชายเจ็ดแล้ว เขาก็เดาได้ทันทีว่า นี่ก็คือโหลชี แต่ข่าวลือกลับไม่เคยกล่าวถึงว่ามีผู้ชายแบบไหนที่ยังเคยปรากฏตัวอยู่ข้างกายองค์ชายเจ็ดเลย แต่ในตอนนี้ บุคคลผู้นั้นได้ส่งจดหมายเชิญมาถึงใต้จมูกของเขาเสียแล้ว

ภายในดวงตาของ เฉินซ่ามีเจตนาฆ่าปรากฏผ่านเข้ามาแวบหนึ่ง

ในเวลานั้นเองโหลชีจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ใบหน้ามีเส้นสีดำเต็มไปหมด นางรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ว่านางจะตอบอะไรก็ผิดไปหมดเลย ดังนั้นนางจึงฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่สนใจอะไรแย่งจดหมายมาซะเลย หลังจากนั้นก็รีบถอยออกไป และพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็วว่า "หม่อมฉันจะไปถามดูว่าตึกบุษบาพันธ์แห่งนี้อยู่ที่ไหน!"

......

ตึกบุษบาพันธ์ยังเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงพอสมควรในเมืองนั่วรา

ชื่อเสียงของมัน ประการแรกเลยก็คือความพิเศษของมันเอง ตึกบุษบาพันธ์ไม่ได้เปิดทำการทุกวัน เวลาเปิดของมันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับเครื่องตรวจวัดและบันทึกเหตุการณ์สำคัญในเมืองนั่วรา ถ้าหากในเมืองนั่วราใกล้จะมีงานชุมนุมอะไร หรือมีแขกผู้มีเกียรติบางคนกำลังจะมา เช่นนั้น ตึกบุษบาพันธ์ก็จะเปิดทำการล่วงหน้าสองวัน.

ทุกครั้งที่ตึกบุษบาพันธ์เปิด ไม่ต้องกังวลใจเลยว่าจะไม่มีการทำธุรกิจใดๆ แขกจะต้องแห่กันไปอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าการอุปโภคบริโภคของตึกบุษบาพันธ์จะสูงมากจนเกินไป แต่คนก็ยังเต็มทุกครั้ง

อีกจุดหนึ่งคือ ทุกครั้งที่ตึกบุษบาพันธ์เปิดทำการ ก็มักจะมีสาวงามที่งดงามเพริศพริ้งเป็นที่สุดนางหนึ่งปรากฏตัวออกมา ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง แต่ทว่าทุกคนล้วนแล้วแต่สวยเสียจนทำให้ผู้คนไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น สาวงามนางนี้จะเสนอคำถามให้แก่แขก ขอเพียงแค่ตอบคำถามถูกต้อง ก็จะได้รางวัลที่สัมพันธ์กัน ในตอนแรกรางวัลเหล่านั้นคืออะไรก็ไม่มีใครทราบเช่นกัน อาจจะเป็นเพียงเรื่องตลกที่ทำให้เจ้าหัวเราะเรื่องหนึ่ง หรืออาจเป็นเคล็ดลับในการต่อสู้ที่สามารถทำให้บุคคลที่มีชื่อเสียงและบารมีในวงการยุทธจักรต่างก็พากันบ้าคลั่งได้ นี่ดูเหมือนว่าก็ต้องแล้วแต่อารมณ์ของสาวงามนางนั้นด้วย

ถึงแม้ว่าสาวงามจะไม่เรียกแขกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญและเป็นความลับก็ตาม แต่พวกนางก็ยังดึงดูดผู้ชายนับไม่ถ้วนและแห่แย่งชิงกันเหมือนฝูงเป็ด แล้วกอบโกยเงินและทองคำใหญ่ๆไปไว้ที่ตึกบุษบาพันธ์

ในครั้งนี้ ตึกบุษบาพันธ์ ได้เปิดทำการตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว และแขกที่มาจากสถานที่อื่น ซึ่งกำลังโดยสารมาด้วยรถม้าสุดหรูเหล่านั้น ส่วนใหญ่ต่างก็กำลังมุ่งตรงไปยังตึกบุษบาพันธ์กัน

"ตึกบุษบาพันธ์นั่นนับว่าเป็นโรงเตี๊ยมไหม?" หลังจากที่กำลังฟังข่าวที่ตู้เหวินฮุ่ยไปสืบมา โหลชีก็สงสัยเกี่ยวกับคนที่อยู่หลังม่านตึกบุษบาพันธ์แห่งนี้มากทีเดียว

"ตึกบุษบาพันธ์ไม่ใช่โรงเตี๊ยมหรอกขอรับ" ตู้เหวินฮุ่ยแอบเหลือบมองฝ่าบาทของพวกเขาอย่างเงียบๆ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงกัดฟันแล้วพูดต่อไปว่า "จะว่าไปแล้ว การตกแต่งของตึกบุษบาพันธ์ก็เหมือนกับหอคณิกาเลยนะขอรับ"

เมื่อได้ยินดังนั้นเฉินซ่าก็แสดงรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา ดีมาก นัดพบในสถานที่แบบนี้เนี่ยนะ!

ในเวลานี้พวกเขากำลังนั่งอยู่ในรถม้า โหลชีกับเฉินซ่าไม่ได้พาคนอื่นๆไปด้วย โดยให้ผู้ส่งสารคนหนึ่งเป็นคนขับรถ และพาตู้เหวินฮุ่ยไปเป็นองครักษ์ด้วย ส่วนเสี่ยวโฉวก็ไปแปลงโฉมกลายเป็นสาวใช้ไปแล้ว

เป้าหมายของพวกเฉิงสิบอาจยิ่งใหญ่เกินไป ดังนั้นโหลชีจึงไม่ได้พาพวกเขาสองคนออกมาด้วย

รถม้ากำลังมุ่งหน้าไปยังตึกบุษบาพันธ์อย่างราบเรียบไม่โคลงเคลง พอแล่นผ่านซอยหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าซอยนั้นแล้ว ก็จะเป็นที่ตั้งของตึกบุษบาพันธ์ แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ก็มีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาอย่างรวดเร็ว และเกือบจะชนกับรถของพวกเขาแล้ว

"เฮ้ พวกเจ้ายังไม่หลบไปให้พ้นทางอีก!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ