ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 290

พอโหลชีได้ยินเสียงนี้ ในหัวสมองของนางก็มีคำหนึ่งคำผุดขึ้นมา

เวรกรรม

เสียงนี้ ไม่ใช่เสียงของสาวใช้ที่ต้องการแย่งซาลาเปากับพวกเขาที่เพิงน้ำชานอกเมืองวันนี้คนนั้นหรอกหรือ?

นางจำนางได้ แต่สาวใช้คนนั้นกลับจำนางไม่ได้แล้วอย่างแน่นอน ในเวลานี้ นางกำลังคิดว่าจะรีบไปเปิดหูเปิดตาที่ตึกบุษบาพันธ์และนำตัวจิ้งจอกม่วงกลับมาให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย นางไม่อยากเสียเวลากับพวกเขาที่นี่ นางก็เลยเปล่งเสียงบอกให้รถม้าถอย แล้วให้อีกฝ่ายแล่นผ่านก่อน โหลชีรู้สึกว่าตัวเองถือว่าเป็นคนที่ใจดีมาก เจ้าดูสิ ว่านางอ่อนน้อมถ่อมตนมากแค่ไหน

แต่ทว่าคนบางคนอาจจะหาเหาใส่หัวจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ตอนที่รถม้าแล่นเข้าซอยนั้น สาวใช้คนนั้นก็ทำเสียงหึขึ้นมาหนึ่งเสียงอย่างภาคภูมิใจ แล้วพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า "บางที มีเงินนั่งรถม้าสวยๆอยู่นิดหน่อยก็มาแสร้งทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน! โชคดีที่มีความตระหนักในตนเองอยู่บ้าง มิฉะนั้นข้าจะรื้อรถม้าที่ขัดหูขัดตาคันนี้ทิ้ง และทำให้พวกเจ้ากลิ้งลงมาให้รถม้าของพวกเราเตะเป็นลูกบอลซะ"

คำพูดนี้ช่างพูดได้น่าประหลาดใจมากจริงๆ เดิมทีโหลชีคิดว่าสาวใช้คนนี้ก็แค่ดูถูกคนจนเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนนี้พอนางได้แต่งกายสวยหรูและนั่งในรถม้าที่สวยเลอค่าแล้ว นางยังสามารถยั่วโมโหพวกนางด้วยการดุด่าอย่างดูถูกเหยียดหยามได้อีก

โหลชีลูบคางไปมาและถามเสี่ยวโฉวซึ่งนั่งอยู่ในรถด้วยว่า "คุณหนูของเจ้าดูเหมือนจะเป็นคนที่น่ารังแกเป็นพิเศษหรือไม่?"

เสี่ยวโฉวเอามือป้องปากหัวเราะ แล้วพูว่า "ถ้าหากไม่รู้จัก ก็เหมือนว่าจะใช่เจ้าค่ะ" เพราะปกตินางก็มักจะยิ้มตาหยีหลายครั้งมาก บางครั้งก็ดูเหมือนว่าจะยังมีความน่ารักอยู่หน่อยๆ แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าภายใต้สีหน้าเช่นนี้จะเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งมากดวงหนึ่ง

หลังจากที่เฉินซ่าขึ้นไปบนรถแล้ว เขาก็หลับตาตั้งสมาธิ เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เพียงแต่พูดออกไปหนึ่งประโยคว่า "มีความสามารถในการเสแสร้งเป็นพิเศษน่ะสิ"

ในช่วงเวลาที่นางจากไปนี้ เขาก็ค่อยๆนึกถึงเรื่องราวระหว่างพวกเขาทั้งสองคนขึ้นมาตั้งแต่ต้นจนจบ ฉับพลันนั้นเขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ในค่ำคืน ณ หุบเขาที่รกร้างนางได้ตกลงสู่อ้อมแขนของเขาและครั้งแรกที่นางได้พบเขา นางก็กำลังแสดงละครอยู่

บางทีนางอาจจะกลัวเจียงซือปลอมที่ถูกฝึกด้วยยาเหล่านั้นจริงๆ และนางก็ไม่เคยพบเจอการสังหารคนเป็นจำนวนมากแบบนั้นมาก่อนด้วย แต่ทว่า ความหวาดกลัวและเสียงกรีดร้องของนางในตอนนั้น แน่นอนว่าจะต้องมีการจงใจขยายส่วนประกอบต่างๆให้เกินจริง เพราะต่อมาเขาได้ค้นพบว่าจริงๆแล้วความกล้าหาญของนางนั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่านางจะกลัวมากก็ตาม แต่ถ้าหากเข้ามาคุกคามชีวิตของนางนางก็สามารถสังหารได้เหมือนเคยไม่มีพลาด

ต่อมานางก็แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอะไรเลย และแสร้งทำเป็นขี้ขลาด ราวกับว่านางกำลังต่อต้านที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก และอยากจะอยู่ให้ห่างจากเขาจนใจจะขาด

แต่ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกว่าเขาไม่เคยเจอผู้หญิงเช่นนี้มาก่อนเลย เขาก็เลยค่อยๆถูกนางดึงดูดความสนใจไปทีละนิดๆเสียแล้ว

โหลชีชำเลืองมองดูเขาโดยไม่พูดอะไร ในตอนแรกนางเองก็รู้ว่าถ้าทำให้พวกเขารู้ว่านางเข้าใจอะไรได้มากมาย นางก็จะต้องเหนื่อยมากขึ้นอย่างแน่นอน ถ้านางไม่เสแสร้ง ยังจะให้นางเป็นฝ่ายเข้าไปทุ่มเทชีวิตเพื่อพวกเขาอย่างเต็มที่อย่างนั้นหรือ?

หลังจากที่รถม้าที่อยู่ข้างหน้าเข้ามาในซอยนี้แล้วก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะลดความเร็วลงแล้วเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นความตั้งใจ

"ข้าจะอดทน" โหลชีเปิดม่านรถขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เพิ่งจะพูดคำว่าข้าจะอดทนจบ ข้อมือของนางก็ร่ายหนึ่งกระบวนท่า แล้วมีรังสีสีเงินบางๆเจาะเข้าไปในช่องว่างระหว่างล้อที่อยู่ข้างหน้า

"พระสนม ทำไมท่านไม่ยิงม้าของพวกเขาเลยล่ะขอรับ?" ตู้เหวินฮุ่ยไม่เข้าใจเล็กน้อย กระสุนเงินเล็กๆยิงเข้าไประหว่างล้อจะสามารถทำประโยชน์อะไรได้?

"จะยิงม้าไปเพื่ออะไร ม้าไม่ได้ทำให้ข้าขุ่นเคืองเสียหน่อย" โหลชีมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง "อีกอย่าง จะว่าไปแล้วก็ช่วยเรียกข้าว่าฮูหยินด้วย จำไว้นะ"

"ขอรับ ฮูหยิน"

ด้วยประสิทธิผลของเข็มเพียงไม่กี่เข็มนั้น ไม่นานพวกเขาก็จะได้รู้แล้ว

พอออกจากซอยนี้ไปแล้ว เบื้องหน้าก็สว่างโล่งขึ้นมา และด้านข้างพื้นที่ที่ว่างเปล่าก็กำลังปูด้วยแผ่นหินสีเขียวอย่างราบเรียบเต็มพื้นที่ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นทะเลสาบเทียมที่มีขนาดใหญ่มาแห่งหนึ่ง! ที่ทะเลสาบมีระเบียงสะพาน ซึ่งกว้างเป็นอย่างมาก แต่ทว่ากลับมีคนคอยเฝ้ารักษาอยู่ โดยไม่อนุญาตให้รถม้าคันใดเดินทางผ่าน มีประตูบานหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างฝั่งกับระเบียงสะพาน และมีคำว่าตึกบุษบาพันธ์เขียนอยู่บนประตูหอแห่งนี้ด้วย บนระเบียงสะพานมีโคมไฟแขวนอยู่นับไม่ถ้วน เมื่อมองไปที่โคมระย้าหลากสีสันเรียงกันหนึ่งแถวเช่นนี้ ก็จะเห็นถึงความหรูหราและฟุ่มเฟือยปรากฏขึ้นมา แสงไฟสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ สายลมอ่อนๆได้พัดคลื่นขึ้น ทำให้แสงไฟแกว่งไกวไปมาและแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ ซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้ชมตะลึงเล็กน้อย

หากเป็นในยุคปัจจุบัน ต่อให้มีภาพของผู้คนที่หรูหรามากขนาดไหน โหลชีก็ไม่ถึงกับรู้สึกชื่นชมได้มากเท่านี้ แต่นี่เป็นยุคโบราณของอีกโลกหนึ่ง ถึงที่นี่จะไม่ใช่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีที่สวยงาม แต่เมื่อจู่ๆก็มีทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา โหลชีจึงมองด้วยความตกตะลึงเล็กน้อยจากใจจริง

รถม้าสองแถวจอดไว้อย่างเรียบร้อยที่ริมฝั่งของแม่น้ำ และโดยทั่วไปแล้วจะเป็นรถหรูที่หรูหราและอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานทั้งนั้น ในขณะที่รถม้าที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาได้เห็นที่นั่งหนึ่งว่างอยู่พอดี ก็ได้ยินเพียงสาวใช้คนนั้นร้องตะโกนขึ้นมาว่า "รีบๆหยุดรถหน่อย อย่าปล่อยให้ใครมาแย่งที่นั่งไปได้!"

ทันทีที่นางพูดจบ ก็มีเสียงช่าช่าช่าสามเสียงดังขึ้นมาติดๆกัน แล้วล้อของรถม้าคันนั้นก็แตกกระจายออกไปในชั่วพริบตา!

เนื่องจากล้อกระจัดกระจายไปหมดแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตัวรถจะยังคงสภาพเดิมอยู่ มันได้กระแทกลงไปกับพื้นจนมีเสียงดังขึ้นมาอย่างแรง เพราะว่าม้าที่ลากรถได้ลดน้ำหนักที่แบกเอาไว้อย่างกะทันหัน มันจึงวิ่งห้อตะบึงออกไป และเตะคนขับรถลอยขึ้นไปในอากาศเสียแล้ว

มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากภายในรถม้า และไม่นานร่างสองร่างก็พุ่งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว

โหลชีกำลังรอช่วงเวลานี้อยู่ตลอดเวลา

นางไม่สังเกตมองร่างอื่นๆอีกร่างหนึ่งเลย นางเอาแต่จ้องมองไปที่สาวใช้คนนั้นเท่านั้น เมื่อเห็นร่างของนางลอยออกมา นางก็ยิงเข็มเล่มหนึ่งออกไปใส่นางอีกครั้งในทันที

วรยุทธของสาวใช้คนนั้นดีมากจริงๆ ก่อนที่หินจุดไฟจะถูกจุดขึ้นนางยังสามารถรับรู้ถึงอันตรายได้ทันท่วงที มุมมองในการโจมตีก็เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะหลบหลีกเข็มบินจำนวนมากทั้งสองข้างได้ทั้งหมดเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่นางกลับสามารถพุ่งกระโจนออกไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะลักษณะของเข็มเหล่านั้นมักจะอ่อนแอและสามารถร่วงหล่นลงไปได้อยู่เสมอ

และแล้วความคิดนี้ก็ได้แวบวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ในความเป็นจริงแล้วใครที่ไหนจะมีเวลาให้นางได้พิจารณาอย่างรอบคอบมากมายขนาดนี้กันล่ะ?

สาวใช้เลือกที่จะพยายามใช้แรกพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่นางกลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า ด้านหน้าก็จะเป็นทะเลสาบแล้ว

"ตูม" สาวใช้ก็ตกลงไปในน้ำแล้ว

น้ำกระเซ็นไปทั่วทิศทางและมีคนกรีดร้องขึ้นมาว่า "มีคนตกน้ำ!"

"แม่นางคนนั้นช่างแปลกคนจริงๆ นางบินออกมาจากรถและหลีกเลี่ยงการล้มแล้ว ทำไมนางต้องพุ่งตัวลงไปในทะเลสาบด้วยล่ะ"

"ข้าก็มองไม่ชัดเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จุ๊ๆ ในอากาศที่หนาวสั่นของฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ตกลงไปในทะเลสาบแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลยนะ"

เหตุการณ์อุบัติภัยนี้ทำให้เสี่ยวโฉวกับตู้เหวินฮุ่ยที่อยู่ในรถม้าตกตะลึงจนตาค้าง และไม่ฟื้นสติกลับคืนมาสักพักใหญ่ การโจมตีของโหลชีดูเหมือนจะไม่ได้หนักหนาอะไรมาก อีกทั้งยังไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆเป็นพิเศษด้วย มันเป็นเพียงเข็มที่บางราวกับขนวัวเล่มหนึ่งเท่านั้น เข็มที่ตกลงบนพื้นล้วนแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ คิดไม่ถึงว่าจากนั้นมันจะทำให้รถม้าพังและบังคับให้สาวใช้คนนั้นตกลงไปในทะเลสาบอย่างโง่เขลาได้จริงๆ

"คุณหนู นี่ก็คือสิ่งที่คุณหนูบอกว่ารังแกง่ายหรือเจ้าคะ?" เสี่ยวโฉวตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

โหลชีปรบมือไปมา แล้วแอบอิงอยู่บนร่างกายของ เฉินซ่า "ข้ากำลังระบายความโกรธแทนนายท่านของพวกเราต่างหากเล่า"

"โอ้?" เฉินซ่าพึงพอใจกับนิสัยที่อาฆาตแค้นนี้ของนางจริงๆ เขาชอบเห็นนางรังแกคนอื่น เพราะเขาทนเห็นนางถูกรังแกไม่ได้ ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะโหลชีจับมือเขาไว้และป้องกันไม่ให้เขาลงมือ รถม้าคันนั้นคงจะถูกเขาตบจนตายทั้งม้าและคนไปนานแล้ว แต่ทว่า ถ้านางอยากเล่นสนุกก็ปล่อยให้นางเล่นไปก็แล้วกัน

"เมื่อสักครู่นี้นายท่านก็อยู่ในรถด้วย นางกำลังดุด่าทุกคนที่อยู่ในรถนะ นายท่านจำเป็นต้องรู้เช่นกันว่า นางด่าข้าข้ายังทนได้ แต่ถ้ามาด่านายท่าน ข้าไม่อาจปล่อยนางไปได้!" โหลชีอยู่ในอ้อมแขนของเขาและเงยใบหน้าเล็กขึ้นมา แล้วพูดด้วยดวงตาที่เป็นประกายว่า "นายท่านรู้สึกซาบซึ้งใจบ้างไหมเพคะ?"

เฉินซ่ามองดูนางอย่างสงบนิ่งครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าไปมา แล้วพูดว่า "ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่นี่มันเป็นคนละเรื่องกับจดหมายเชิญฉบับนั้นเลยนะ"

สีหน้าโหลชีมืดลง

ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายฉบับนั้นใบหน้าของเขาก็มืดมนลงไปพักใหญ่ สุดท้ายนางก็เลยเป็นฝ่ายชวนเขาไปที่ ตึกบุษบาพันธ์ด้วยกัน พอเห็นสีหน้าของนางเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่ไปคิดอะไรหยุมหยิม ตอนนี้นางคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้ประจบไปเสียแล้ว และคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าเขาจะยังไม่คิดบัญชีกับนาง

ร่างอีกร่างหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอย่างหน้าเสีย แล้วตะโกนใส่สาวใช้ที่ตกลงไปในทะเลสาบว่า "รีบขึ้นมาให้มันเร็วๆหน่อย!"

น้ำเสียงของนางมีความกระหืดกระหอบอยู่ในนั้นด้วย อาจเป็นเพราะว่านางโกรธที่สาวใช้ทำให้นางดูน่าเกลียดและเสียหน้ามาก และตอนนี้นางแทบอยากจะรีบหายตัวไปจากตรงหน้าของผู้คนโดยเร็ว

นั่นคือหญิงสาวในชุดสีเขียวมรกตที่สวยหรูคนหนึ่ง นางมีดวงตาที่ใสแป๋วและฟันที่ขาววาว หน้าตาสวยงามน่าประทับใจ แต่สีหน้าที่สุดจะทนนั้นกลับทำให้ความงามของนางลดลงไปสามส่วนเลยทีเดียว

เจ้านายและสาวใช้สองคนนี้ดูเหมือนจะถูกครอบครัวใหญ่ของพวกนางเอาอกเอาใจจนเสียคนไปแล้ว พวกนางก็เลยไม่มีความรู้อะไรมาก และไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดวงตาของพวกนางยังเอาแต่อยู่แต่บนศีรษะ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าพวกนางมาถึงเมืองนั่วรานี้อย่างสวัสดิภาพได้อย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง

สาวใช้คนนั้นปีนขึ้นมาบนฝั่ง นางตัวสั่นเทาไปทั้งตัว และริมฝีปากก็ขาวซีดไปหมดแล้ว

ในเวลานี้ คุณชายหน้าหยกที่อยู่ข้างๆก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกมาแล้วยื่นไปให้นาง "แม่นางรีบไปใส่เสื้อคลุมเถิด เมื่อเข้าไปในตึกบุษบาพันธ์แล้วให้รีบไปขอน้ำขิงร้อนๆมาดื่มสักชาม จะได้ไม่เป็นหวัด"

ในสายตาของสาวใช้ปรากฏสายตาที่ดูหมิ่นเหยียดหยามออกมา แต่ก็ดูเหมือนนางจำเป็นต้องอดทนเอาไว้ แล้วพูดว่าไปอืมหนึ่งเสียงและรีบคลุมเสื้อเอาไว้ในทันที ไม่เพียงแต่จะหนาวเย็นเท่านั้น หลังจากตกลงไปในทะเลสาบนางยังเปียกชุ่มไปทั้งตัวอีกด้วย เสื้อผ้าแนบชิดกับร่างกายของนาง จนปรากฏให้เห็นส่วนโค้งเว้าของนาง ทำให้นางเกือบจะพ่นไฟออกมา

"คุณหนู เมื่อกี้ต้องมีใครบางคนแอบวางแผนโจมตีพวกเราอยู่แน่ๆเจ้าค่ะ!"

หญิงสาวในชุดเขียวจ้องเขม็งไปที่นาง แล้วพูดว่า "เจ้าคิดว่าข้าปัญญาอ่อนงั้นรึ? ไหนเลยข้าจะไม่รู้ว่ามีใครแอบวางแผนโจมตีเรา แต่ก่อนหน้าที่จะเจอกับพี่สาว พวกเราจะต้องรู้จักอดกลั้นเอาไว้ก่อน เจ้าเข้าใจหรือเปล่าเนี่ย?"

คำพูดนี้ได้เข้าไปถึงหูของเฉินซ่า โหลชีและคนอื่นๆที่ไม่สามารถลงจากรถได้แล้ว

หึ

สาวใช้ที่มีท่าทางโอหังอวดดีอย่างไร้ขอบเขตอย่างนาง ดูเหมืนว่าเป็นคนที่จะสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ซะที่ไหน? แน่ใจหรือว่านางไม่ได้พูดล้อเล่น?

"ใช่ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ห้องกาญจนหรือไม่ขอรับ?" ในเวลานั้นเองก็มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเดินเข้ามาและถามหญิงสาวคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น

คนที่เดิมทีกำลังพูดเรื่องความอดทนอยู่ก็เชิดคางขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจในทันที "แปลว่าพี่สาวเห็นข้าแล้วหรือ? ก็เลยบอกให้เจ้าออกมารับข้าใช่ไหม?"

ชายหนุ่มคนนั้นพยักหน้าไปมา "เชิญแขกผู้มีเกียรติมาทางนี้ขอรับ"

พอหญิงสาวและสาวใช้อารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง ก็ตามชายคนนั้นเข้าไปประตูหอบานนั้น และเดินขึ้นไปบนระเบียงสะพานที่มีโคมไฟหลากสีสันแล้ว

"ดูเหมือนว่า พี่สาวคนสวยท่านนั้น ของนางงามจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงนะ" โหลชียิ้มเล็กน้อย

หลังจากที่พวกเขาลงจากรถม้าแล้ว คนที่ยังมาไม่ถึงระเบียงสะพานที่มีหลังคา คนที่มองที่ประตู หรือแม้แต่คนที่กำลังลงจากรถม้าของตัวเอง ต่างก็มองชายหญิงที่มีความเหมาะสมกันคู่นั้นด้วยความประหลาดใจกันทุกคน

"คู่รักคู่นี้เป็นผู้ใดกัน? คุณพระ ข้าไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้มาก่อนเลย"

"อาจจะเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่หรือไม่?"

"เขามองมาที่ข้าแล้ว เขามองมาที่ข้าแล้ว" หญิงสาวบางคนกำลังพูดพึมพำว่านางตื่นเต้นจนใกล้จะเป็นลมไปแล้ว

โหลชีพอใจมากที่ผลงานชิ้นเอกของนางได้นำพามาซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ซะแล้ว

เฉินซ่าผู้แต่งกายด้วยชุดสีแดง จริงๆแล้วเขาเป็นไฟครึ่งหนึ่งน้ำแข็งครึ่งหนึ่ง และบุคลิกของเขาทำให้ผู้คนคิดไม่ออกว่าจะสรรหาคำบรรยายดีๆอะไรมาบรรยายและยกย่องเขาดี แม้แต่ในเวลานี้เขากำลังสวมหน้ากากทองคำอยู่ก็ยังทำให้คนลุ่มหลงได้เลย

พวกเขาเดินไปที่หน้าประตูหออย่างช้าๆ ขณะที่กำลังจะเข้าไป คนเฝ้าประตูคนนั้นก็ขวางพวกเขาเอาไว้ แล้วพูดว่า "แขกทุกท่านจะต้องจ่ายทองคำหนึ่งร้อยตำลึงก่อนจึงจะสามารถผ่านเข้าไปได้"

ทองคำคนละหนึ่งร้อยตำลึง ราคานี้ยังถือว่าไม่ต่ำเลยจริงๆ

แต่โหลชีไม่มีอย่างอื่นแล้ว นางมีแต่เงินจำนวนมากเท่านั้น นางก็เลยยื่นธนบัตรเงินหนึ่งใบให้ชายคนนั้นโดยไม่ขมวดคิ้ว

พอเดินข้ามสะพานที่มีโคมไฟนี้ไป ก็ได้เห็นว่าตึกบุษบาพันธ์ได้ปรากฏรูปแบบที่สวยหรูออกมาต่อหน้าของพวกเขาแล้วอย่างแท้จริง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ