ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 291

เมื่อเข้าไปในประตูใหญ่ของตึกบุษบาพันธ์เสียงพิณที่ไพเราะดั่งสายลมเย็นหลังจากฝนตกก็ดังขึ้นมา ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น เดิมทีคิดว่าเป็นสาวงามกำลังเล่นพิณ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเมื่อมองผ่านโต๊ะหลายสิบตัวในห้องโถงไป บนเวทีที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้กลับเป็นเด็กผู้ชายที่ม้วนผมเป็นมวยและมีเพียงปิ่นปักผมไม้สนติดอยู่ในมวยผมคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ เด็กชายอายุไม่เกินสิบสองหรือสิบสามปี สวมเสื้อคลุมสีขาวแขนกว้าง นั่งอยู่ข้างพิณ และกำลังเล่นพิณด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น

"พวกเจ้าพูดว่าที่นี่ดูเหมือนหอคณิกาอยู่บ้าง ช่างประเมินค่าคนอื่นต่ำไปแล้วจริงๆ" โหลชีชายตามองตู้เหวินฮุ่ย สืบข่าวมาได้อย่างไรเนี่ย? แค่รูปแบบเหมือนหอคณิกาเท่านั้น ส่วนข้างในไม่มีอะไรจะเหมือนเลย ดังนั้นก็ไม่ต้องเอาคำนี้ออกมาพูดเลยนะตกลงไหม? นี่คือการทำร้ายนาง เป็นการทำร้ายนางใช่หรือไม่?

ตู้เหวินฮุ่ยลูบจมูกของเขาไปมาและถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใครจะไปรู้เล่าว่าข้างในจะเป็นอย่างไรบ้าง? ดูจากภายนอกแล้ว มันก็ดูเหมือนหอคณิกาจริงๆนี่นา

ในห้องโถงใหญ่มีโต๊ะวางเอาไว้หลายสิบโต๊ะ แต่ทว่าทุกโต๊ะกลับมีคนนั่งอยู่ ธุรกิจนี้ช่างดีระเบิดระเบ้อจริงๆ

แต่ทว่ายังคงมีม่านโปร่งแสงห้อยลงมาระหว่างห้องโถงใหญ่กับประตูใหญ่ และได้ม้วนขึ้นเพียงมุมเดียว ผู้ที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูมาก็จะเห็นเด็กชายกำลังเล่นพิณอยู่บนเวที เมื่อคนที่อยู่ข้างในเห็นลูกค้าที่เดินเข้าประตูมากลับเลอะเลือนเล็กน้อย

ในเวลานั้นเองก็มีชายสวมเสื้อสีเขียว มัดผ้าคาดผมสีเขียวเอาไว้บนศีรษะและท่าทางดูเหมือนบัณฑิตที่สุภาพเรียบร้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพวกเขา เมื่อโหลชีเห็นว่าภายในหอแห่งนี้มีผู้ชายหลายคนใส่ชุดเดียวกันอีก นางก็นึกขึ้นได้ว่านี่คงเป็นหน้าที่ที่มีลักษณะเดียวกันกับเสี่ยวเอ้อร์

หลังจากที่ชายคนนี้ได้เห็นเฉินซ่าในชุดสีแดงแล้ว เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว "ไม่ทราบว่าลูกค้าผู้มีเกียรติกำลังจะขึ้นไปชั้นบนหรือนั่งอยู่ในห้องโถงขอรับ?"

โหลชีรู้ว่าเฉินซ่าเป็นคนไม่ค่อยพูด ในเวลาเช่นนี้เขาจะต้องไม่เอ่ยปากออกมาอย่างแน่นอน ซึ่งโดยปกติเขาก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดอยู่แล้ว ดังนั้นนางก็เลยถามว่า "ขึ้นไปชั้นบนกับนั่งในห้องโถงมีความแตกต่างกันไหม?"

แม้ว่านางน่าจะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการบริโภคแบบธรรมดากับการบริโภคแบบVIPแล้ว แต่นางก็ยังสงสัยอยู่เล็กน้อย

"ถ้าจ่ายแค่ร้อยทอง ท่านจะได้รับสุราชั้นดีหนึ่งเหยือกและกับข้าวจานเล็กสองจานในห้องโถงใหญ่ การสั่งอย่างอื่นๆจะคำนวณราคาแยกกันต่างหาก ส่วนห้องส่วนตัวบนชั้นสองจะต้องจ่ายหนึ่งพันทอง ซึ่งจะได้รับสุราชั้นดีที่หมักเอาไว้เป็นเวลาสิบปีสองเหยือก ข้าวจานเล็กไม่จำกัดจำนวน ในห้องส่วนตัวทุกห้องจะมีเสี่ยวเอ้อร์สองคนคอยให้บริการ และห้องสัตตะสีบนชั้นสามนั้นจะต้องจ่ายห้าพันทองการบริโภค..." พอเขาพูดถึงแค่ตรงนี้ ก็หยุดชะงักไปสักพักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า "แต่ทว่าตอนนี้ห้องสัตตะสีบนชั้นสามถูกลูกค้าจองเอาไว้หมดแล้วขอรับ"

คนที่ไม่รู้สภาพราคาของตึกบุษบาพันธ์เลยสักนิด ถึงแม้จะมีเงินก็ตาม ก็ยากที่จะขึ้นไปที่ห้องสัตตะสีบนชั้นสามได้ เพราะผู้ที่มีเงินและมีอำนาจเท่านั้นจึงจะสามารถจองเอาไว้ก่อนได้ ผู้ที่สามารถจองห้องสัตตะสีจะต้องเป็นคนที่มีฐานะและภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา และคาดว่าทันทีที่เดินออกมาพวกเขาจะต้องได้รับการเคารพกราบกรานอย่างแน่นอน

โหลชีเหลือบมองเฉินซ่า แล้วแอบแลบลิ้นออกมา และไม่ถามอะไรอีก "พาพวกเราไปที่ห้องอินทนิล​"

ห้องสัตตะสี ความจริงแล้วเป็นห้องส่วนตัวเจ็ดห้อง ซึ่งแต่ละห้องจะแทนด้วยสีหนึ่งสี สีแดงเข้ม สีส้ม สีเขียว สีม่วง สีแดง และสีทอง ห้องที่จ้าวหยุนนัดนางมาคืออยู่ในห้องอินทนิล​

ด้วยเหตุนี้จึงดูเหมือนว่า บางทีจ้าวหยุนอาจจะไม่เพียงมีฐานะเป็นนายน้อยของโรงพรรณยาภูมิธรรมดาๆเช่นนี้ก็ได้ วงศ์ตระกูลของเขา ไม่ได้เป็นเพียงโรงพรรณยาเท่านั้น

พอได้ยินว่าพวกเขาต้องการจะไปที่ห้องอินทนิล​ สีหน้าที่สุภาพอ่อนโยนนั้นของเสี่ยวเอ้อร์ก็แสดงความนอบน้อมมากขึ้นในทันที "ลูกค้าผู้มีเกียรติเชิญทางนี้ขอรับ"

โหลชีเห็นว่ายิ่งเดินเข้าไปก็จะมีบันไดอยู่หน้าห้องโถง แต่บุคคลนี้ไม่ได้พาพวกเขาไปที่บันไดนั้น แต่เดินผ่านทางเดินสั้นๆที่มีม่านสีทองอ่อนแขวนอยู่ทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังมีบันไดอีกหนึ่งแห่งด้วย ที่ฐานบันไดมีสาวใช้ในชุดสีเหลืองอ่อนมีผมยาวพาดบ่ากำลังยืนอยู่ทางซ้ายหนึ่งคนทางขวาอีกหนึ่งคน คุกเข่าลงกับพื้นอย่างนอบน้อม ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านไป พวกนางก็พูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและนุ่มนวลว่า "ยินดีต้อนรับลูกค้าผู้มีเกียรติเจ้าค่ะ"

จุ๊จุ๊ เจ้าของตึกบุษบาพันธ์คนนี้ช่างเป็นผู้ชายที่สามารถนำหลักการการเบ่งอำนาจมาดำเนินการให้ได้ผลจนถึงที่สุดได้จริง ๆ

หลังจากที่โหลชีได้เหลือบมองสาวใช้สองคนนั้นแล้ว นางก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่ารูปลักษณ์ของพวกนางนั้นดูดีมีระดับมากจริงๆ และลักษณะท่าทางในการคุกเข่าอยู่ตรงนั้นก็สวยงามอ่อนช้อยเป็นพิเศษเช่นกัน

หญิงสาวที่สวยเพริศพริ้งเป็นที่สุดสองคนนี้ ได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่ที่บันไดทั้งสองข้างอย่างนี้น่ะหรือ? เช่นนั้น มุขพะงาคนนั้นจะมีรูปโฉมอย่างไรบ้างนะ?

โหลชีหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แล้วพูดกับเฉินซ่าว่า "นายท่าน คืนนี้ท่านจะต้องเบิกตาให้กว้างๆมองดูสักหน่อยแล้ว มุขพะงาจะต้องอ่อนช้อยนุ่มนวล เป็นดั่งยอดพธูแห่งชาติ ดั่งเทพธิดาลงมาจุติบนโลก และมีความงามที่หาได้ยากในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน ถ้าท่านชอบ ก็รับกลับบ้านไปเป็นพี่หญิงน้องหญิงของข้า ข้าจะต้อง..."

"เจ้าจะต้องเป็นอย่างไร?"

นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเอ้อร์ที่นำทางมาคนนั้นได้ยินเฉินซ่าเอ่ยปากพูด คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงคำพูดสั้นๆไม่กี่คำก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาเสียแล้ว

น้ำเสียงของเขาช่างเย็นชาจริงๆ!

เมื่อโหลชีเห็นว่าคำพูดของเขาทำให้เสี่ยวเอ้อร์เกร็งร่างกายจนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว และอากัปกิริยาในการเดินของเขาก็แข็งทื่อไปหมดเล็กน้อย นางจึงอดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก แล้วพูดว่า "ข้าจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน"

เสี่ยวเอ้อร์เหลือบมองนางอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจ

ในตอนแรกเขาคิดว่าโหลชีเป็นสาวใช้ของนายท่านผู้นี้ แต่เมื่อเขาได้ยินนางบอกว่าให้รับกลับไปที่บ้านเพื่อเป็นพี่หญิงน้องหญิงของนาง เขาจึงได้ทราบว่านางเป็นฮูหยินของนายท่านผู้นี้นั่นเอง

และนึกว่าคำที่นางอยากจะพูดก็คือนางจะต้องเข้ากันได้ดีกับฮูหยินคนใหม่ได้อย่างแน่นอน แต่นางกลับพูดหักมุมอย่างคาดไม่ถึงออกไปเสียแล้ว

ฮูหยินท่านนี้ช่างขี้หึงเสียจริงๆ นายท่านผู้นี้มองแวบแรกลักษณะท่าทางของเขาก็ไม่ใช่คนที่มาจากตระกูลธรรมดาๆ ด้วยภูมิหลังเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่ใช่คนที่มีภรรยาสามคนและอนุภรรยาอีกสี่คนล่ะ? คิดไม่ถึงเลยว่าฮูหยินท่านนี้จะพูดออกไปตรงๆเลยว่านางไม่อนุญาต นางไม่อนุญาตเลย

ความกล้าหาญของนางช่างยิ่งใหญ่จริงๆ

เฉินซ่า ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ทันใดนั้นเสียงหัวเราะที่เยาะเย้ยถากถางของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียแล้ว

"คนบางคนช่างไม่มีญาณทัศนะที่รู้ตัวเองดีเลยแม้แต่น้อยจริงๆ!"

เสียงนี้ฟังคุ้นหูอยู่บ้าง พอโหลชีจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นหญิงสาวที่มีท่าทางนุ่มนวลอ่อนช้อยคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างประตูตรงหน้านาง ชุดลายดอกเหมยที่ทำจากผ้าแพรต่วนเนื้อละเอียดและมันวาว ทำให้นางดูสวยงามเสียจนหาที่เปรียบมิได้เลย

และพอได้เห็นใบหน้าของนาง โหลชีก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา

จิ่งหยาว

คราก่อนในทุ่งน้ำแข็ง จิ่งหยาวเคยหลอกลวงเสิ่นเมิ่งจวินศิษย์พี่ของนาง เคยหลอกลวงองค์ชายรองแห่งตงชิงกับองค์รัชทายาทตงสือยู่มาแล้ว และแอบขโมยไขหินพันปีที่อยู่ในร่างของเสิ่นเมิ่งจวิน ไปโดยที่ไม่มีใครทราบ แถมยังหลอกให้องครักษ์ลับของยู่ไท่จื่อกลับไปคุ้มกันเขาปี้เซียนอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้รับโทษอะไรเพราะเรื่องนี้มากนัก และไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วนางได้ส่งของไปอีกหรือไม่ หรือจะบอกว่าหลังจากที่ส่งไปแล้วนางฟ้าเมิ่งปี้กลับพบว่ามันเป็นของปลอมแล้วก็ได้

แต่เสิ่นเมิ่งจวินก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

นางจำ จิ่งหยาวได้แล้ว แต่ จิ่งหยาวคงจะจำนางไม่ได้แล้ว

ในเวลานี้โหลชีกำลังสวมชุดสีชมพูอมม่วง พร้อมกับเกล้ามวยผมทรงหลิวหยุนจี้ บริเวณผมปักเพียงปิ่นหยกขาวหนึ่งอัน และคาดผมด้วยไข่มุกหนึ่งพวง ซึ่งเบามากจริงๆ

คนที่สามารถขึ้นไปที่ห้องสัตตะสีบนชั้นสามได้นั้นแม้แต่สาวใช้ของคนนั้นจะต้องมีลักษณะท่าทางที่สูงส่งกว่านาง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่า สำหรับโหลชีแล้วนี่ก็ถือว่าเป็นเสื้อผ้าที่สวยหรูแล้ว นางมาอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว นางยังไม่เคยได้สวมชุดสตรีโบราณที่สุภาพและสง่างามเช่นนี้และยังไม่เคยทำผมเป็นมวยเช่นนี้มาก่อนเลย

ตอนที่นางเพิ่งจะได้เปลี่ยนชุดเสร็จ เมื่อเห็นดวงตาของเฉินซ่าที่กำลังมองดูนางที่เปล่งประกายคู่นั้น นางก็รู้ว่าแม้ว่าชุดนี้ของตัวเองจะเรียบง่ายและไม่ฉูดฉาด แต่มันก็ไม่ได้ดูแย่อย่างแน่นอน

แต่ทว่า เหตุผลที่ทำให้จิ่งหยาวจำนางไม่ได้ก็คือ นางได้คลุมผ้าคลุมไข่มุกสีทองอยู่บนใบหน้าเอาไว้แล้ว นี้ก็เพื่อให้เข้ากับหน้ากากของเฉินซ่านั่นเอง เขาใส่ชุดแดงทั้งตัวและสวมหน้ากากทองครึ่งหน้า ซึ่งเปิดให้เห็นเฉพาะริมฝีปากลงไปจนถึงคางเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ความเย็นชาที่มีอยู่แต่เดิมจึงถูกแทนที่ด้วยความลึกลับไปเสียแล้ว ส่วนบนใบหน้าของนางจะเป็นม่านเล็กๆผืนหนึ่งที่ทำมาจากไข่มุกทองคำเนื้อละเอียด ปิดกั้นส่วนที่อยู่ใต้จมูกของนางลงมาเอาไว้ เหลือไว้เพียงดวงตาอันเฉียบแหลมคู่หนึ่งเท่านั้น

ถ้าหากในสายตาของคนทั่วไป เฉพาะม่านไข่มุกสีทองที่อยู่บนใบหน้าของนางผืนนั้นย่อมมีค่ามากพอสมควรอยู่แล้ว แต่บนชั้นสาม เครื่องประดับทองเหลืองและไข่มุกธรรมดานั้นก็ได้เรียบง่ายมากเกินไปเลย

โหลชีรู้ว่าในคราวนี้จะต้องเป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่ของศัตรูอย่างแน่นอน แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่าคนแรกที่นางได้พบจะเป็นจิ่งหยาว เมื่อเห็นตัวอักษรคำว่าส้มที่หรูหราแขวนอยู่ที่บนประตูข้างๆนาง นางก็ยิ้มเล็กน้อย

จากสถานะของจิ่งหยาว คาดว่านางน่าจะยังมีไม่พอที่จะจองห้องส่วนตัวนี้ ดังนั้น นางฟ้าเมิ่งปี้จะต้องอยู่ในห้องนั้นอย่างแน่นอน

จิ่งหยาวตกหลุมรักเฉินซ่าตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เฉินซ่าได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหน้ากากไว้ นางก็ยังรู้สึกหลงใหลจนหน้ามืดตามัวอยู่ เมื่อโหลชีได้เห็นสายตาแห่งความเลื่อมใสศรัทธานั้นที่มีต่อเฉินซ่าในดวงตาของนาง นางก็ยิ้มอย่างเย็นชาอยู่ในใจ ยังอยากจะได้ผู้ชายของนางอยู่อย่างนั้นหรือ?

เจ้านี่มันน่าโมโหจริงๆ

นางเอื้อมมือออกไปคล้องแขนของเฉินซ่าเอาไว้ แล้วเงยหน้ายกขึ้นไปมองเฉินซ่า "นายท่าน ท่านคงไม่ได้ถูกพวกนางปีศาจที่คิดจะเสนอตัวพวกนั้นล่อลวงไปเสียแล้วนะเจ้าคะ"

มุมปากของเฉินซ่ากระตุกขึ้นหนึ่งครั้ง

จิ่งหยาวโมโหเดือดดาลขึ้นมาในทันที "เจ้าพูดว่าใครคือนางปีศาจที่คิดจะเสนอตัวนะ?"

ดูเหมือนว่าในเวลานั้นเองโหลชีจึงสังเกตเห็นนาง นางกะพริบตาไปมาให้นางด้วยความประหลาดใจและพูดว่า "เฮ้ วางใจเถอะ ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นนางปีศาจหรอกน่ะ" แล้วนางก็หันหน้ามาพูดกับเฉินซ่าว่า "ยังไม่เจอนางปีศาจเลยสักคน ได้ยินแต่เสียงสุนัขเห่าอยู่ตลอดเวลาเลย"

พุ

ตู้เหวินฮุ่ยกับเสี่ยวโฉวแทบจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

แท้จริงแล้ว นางไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นแม้แต่นางปีศาจด้วยซ้ำ เป็นแค่ลูกหมาตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ!

แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นก็กระตุกมุมปากขึ้นมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

"ข้าเห็นว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! องครักษ์ลับ สังหารนางซะ" ใบหน้าของจิ่งหยาวดำมืดขึ้นมา คิดไม่ถึงว่านางจะออกคำสั่งให้สังหารคนในทันทีแบบนี้จริงๆ

ทันใดนั้นเงาสีดำสองร่างก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับจิตสังหารที่เยือกเย็น

วรยุทธขององครักษ์ลับสองคนนี้สูงมาก!

ตู้เหวินฮุ่ยเกร็งร่างกายขึ้นมาและสีหน้าของเสี่ยวโฉวก็ซีดเซียวขึ้นมาในทันที

คิดไม่ถึงว่าองครักษ์ลับสองคนนี้จะสามารถหยุดยั้งผู้อื่นด้วยกำลังภายในได้! แต่ตู้เหวินฮุ่ยกับเสี่ยวโฉวเพียงแค่ถูกยับยั้งเอาไว้เท่านั้น จิตสังหารอันเยือกเย็นกลุ่มนั้น อันที่จริงล้วนแต่มุ่งเป้ามาที่โหลชีทั้งหมด

ถ้าหากวรยุทธของนางไม่ดี นางจะต้องถูกกดทับด้วยแรงที่มองไม่เห็นอยู่บนศีรษะจนต้องคุกเข่าลงและอาเจียนเป็นเลือดอย่างแน่นอน

เฉินซ่าชำเลืองมองเงาดำทั้งสองอย่างเย็นชา ขยับร่างกายเล็กน้อย ก็มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของแล้ว แต่เขากลับสกัดอยู่ตรงหน้าโหลชีแล้ว และทำเสียงหึอย่างเย็นชาขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

คิดไม่ถึงเลยว่าสองคนนั้นจะถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าวอย่างพร้อมเพรียงกัน จิตสังหารอันเยือกเย็นก็ถูกทำให้สั่นคลอนในชั่วพริบตา และการยับยั้งที่กำเริบเสิบสานนั้นก็มลายหายไปในทันที แล้วสีหน้าของตู้เหวินฮุ่ยกับเสี่ยวโฉวก็ผ่อนคลายขึ้นมาทันที

"หยาวเอ๋อร์เจ้ามัวทำอะไรอยู่? ยังไม่เข้ามาอีกรึ" เสียงของผู้หญิงที่เย็นชาเล็กน้อยเสียงหนึ่งดังออกมาจากห้อง จิ่งหยาวกัดฟันไปมา และเหลือบมอง เฉินซ่ากับโหลชี ด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงหันหลังเดินเข้าประตูไป

องครักษ์ลับทั้งสองคนก็หายวับตามเข้าไปด้วย

ในเวลานั้นเอง เฉินซ่าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า "รังแกผู้หญิงของข้าแล้วก็คิดจะจากไปเลยอย่างนั้นรึ?" ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แล้วยิงพลังไปทางด้านหลังขององครักษ์ลับหนึ่งในนั้นอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง

เจตนาฆ่าที่ไร้ขอบเขต

องครักษ์ลับสังเกตเห็นแล้ว แต่เขากลับพบว่าตัวเองไม่มีหนทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย!

ฉึก

เสียงเข้าไปในเนื้อที่แผ่วเบา พลังนั้นได้พุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของเขาแล้ว และทะลุออกมาทางหน้าอกของเขาในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าพลังนั้นจะยังคงไม่ทันได้กระจายออกไป อีกทั้งมันยังคงพุ่งไปข้างหน้าต่อไปโดยไม่ลดความเร็วลงอีกด้วย

เนื่องจากองครักษ์ลับเพิ่งเข้ามาที่ประตู พลังนี้ก็เลยพุ่งไปหาจิ่งหยาวที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าเข้าพอดี นางรีบหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าองครักษ์ลับได้ล้มลงกับพื้นแล้วด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว นางจึงตื่นตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเสียแล้ว

"ยังไม่หลบอีกรึ?" เสียงของผู้หญิงที่เย็นชาเล็กน้อยก่อนหน้านี้คนนั้นตำหนิขึ้นมา ลมที่ฝ่ามือหนึ่งของนางก็ตบจิ่งหยาวให้ล้มลงไปกับพื้น ทำให้นางหลบหลีกพลังที่จะคร่าชีวิตคนนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด

ฟิ้ว พลังนั้นไม่ได้เจาะทะลุกำแพงฝั่งตรงข้าม มันกระแทกเข้าไปจนปรากฏเป็นรอยที่ลึกมากออกมารอยหนึ่ง

โหลชีมองเฉินซ่าอย่างเลื่อมใสศรัทธา "นายท่าน ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!" ไม่แปลกใจที่เขาจะได้ใช้อาวุธน้อยมาก เพราะเขาชำนาญในการใช้ประโยชน์จากกำลังภายในของเขาอย่างเต็มที่แล้วนั่นเอง!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ