ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 292

ระหว่างกระบวนการทั้งหมด เสี่ยวเอ้อร์ที่นำทางไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ห้ามปรามเขาเลย โหลชีเหลือบมองเขาอย่างไม่ตำหนิอะไร จากสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายก็ดูออกแล้วว่าเขาก็ประหลาดใจอย่างมากต่อวรยุทธของเฉินซ่า แต่เขากลับไม่มีสีหน้าที่ตื่นตระหนกและตกใจกลัวเลย ในตึกบุษบาพันธ์แห่งนี้ แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่มีหน้าที่นำทางคนหนึ่งก็ไม่ธรรมดาเลย

ถึงแม้ว่าจิ่งหยาวจะถูกนางฟ้าเมิ่งปี้ตบจนล้มลงกับพื้นเพื่อช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ก็ตาม แต่นางได้ล้มลงไปบนพื้นในท่าที่เหมือนกับสุนัขแทะกระดูกแบบนี้ มันเป็นความอัปยศสำหรับนางจริงๆ!

หลังจากที่นางลุกขึ้นมาแล้ว นางก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นและทำสีหน้าดั่งปีศาจ นางฟ้าเมิ่งปี้เป็นอาของนาง เป็นการช่วยชีวิตนาง นางไม่สามารถไปตำหนิชายลึกลับในชุดแดงคนนั้นได้ เขาลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตจนเกือบจะฆ่านางแบบนี้ ไม่สิ เขาได้คร่าชีวิตขององครักษ์ลับของนางไปแล้วหนึ่งคนนี่นา! แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะยังคงไม่อาจไปแค้นเคืองและเกลียดชังเขาได้!

คนที่นางเกลียดคือผู้หญิงคนนั้น! ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขา!

นางสามารถกลายเป็นภรรยาของผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร? และยังสามารถทำให้เขาโปรดปรานได้อีกด้วย?

"ท่านอา......"

จิ่งหยาวสะบัดสีหน้าที่ชั่วร้ายออกไป แล้วเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งบนใบหน้าของนางมีคราบน้ำตาอยู่ โหลชีรู้สึกสงสัยเล็กน้อยโหลชีรู้สึกสงสัยเล็กน้อย จริงหรือไม่ที่ในสำนักที่ใหญ่โต ผู้หญิงที่ปลูกฝังออกมาจะยิ่งมีจิตใจชั่วร้ายมากกว่า? น่าหลานฮั่วซินก็เป็นหนึ่งในนั้น เสิ่นเมิ่งจวินกับจิ่งหยาวของเขาปี้เซียนก็เช่นกัน ซึ่งทั้งคู่ล้วนแต่รู้สึกว่า สิ่งที่พวกนางต้องตาก็ควรเป็นของพวกนาง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือสิ่งของ

เจ้ามักจะมีการเรียงลำดับก่อนหลังทุกเรื่องเสมอเลยใช่ไหม?

แม้ว่าจะมาช้าก็ไม่เป็นไร เจ้าจะต้องดูให้ชัดๆว่า สิ่งนี้เป็นของเจ้าหรือไม่ และคนผู้นี้ต้องการเจ้าหรือไม่?

ดูเหมือนว่า คนหนุนหลังจะใหญ่เกินไป มันก็เลยทำให้เขาบ่มเพาะจิตใจที่ชอบพึ่งพาอาศัยออกมาได้ง่าย และทำให้ผู้คนบ้าคลั่งเกินไปได้ง่ายอีกด้วย

"ท่านอา ท่านจะต้องจัดการแทนหยาวเอ๋อร์นะเจ้าคะ----" จิ่งหยาวหันมามองเฉินซ่าด้วยน้ำตานองหน้า ความน้อยใจอยู่ในดวงตานั้นรุนแรงมากจนทำให้คนกำลังจะ----

หัวเราะเยาะออกมา

นางฟ้าเมิ่งปี้ได้ยินเพียงเสียงของนางเท่านั้น แต่ไม่เห็นเงาของนาง

"ท่านช่างฝีมือดียิ่งนัก เพียงแต่มันเป็นแค่เรื่องตลกของพวกเด็กๆเท่านั้น ก็ลงมือฆ่าคนเสียแล้ว ท่านจะโหดร้ายเกินไปแล้วหรือเปล่า? อีกอย่าง ที่นี่คือตึกบุษบาพันธ์ ท่านทำเช่นนี้ ท่านเอาตึกบุษบาพันธ์ไปไว้ที่ไหน?"

โหลชีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมนางฟ้าเมิ่งปี้ถึงไม่เผยโฉมออกมา?

ในขณะที่นางยังคงสงสัยอยู่ เฉินซ่ากลับพูดอย่างเย็นชาว่า "ก่อนที่นางฟ้าเมิ่งปี้จะสั่งสอนผู้อื่น ไปสำรวจอบรมสั่งสอนจากทางบ้านของลูกศิษย์ตัวเองก่อนจะดีที่สุดนะ"

หึ

ปกติลูกศิษย์ของนางล้วนแต่เป็นคนที่นางรับขึ้นมาอบรมบนเขาตั้งแต่ยังเด็ก และอบรมสั่งสอนจากทางบ้านของพวกเขาพวกเขานั้นไม่ดี ก็เป็นการต่อว่านางที่เป็นเจ้าสำนักและอาจารย์ไม่ใช่หรือ?

โหลชีกำลังกลั้นยิ้มเอาไว้ และคิดว่าฝ่าบาทของพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่จะไม่ออกปากออกเสียงมากขนาดนั้นเลยนี่นา

"เจ้า!" นางฟ้าเมิ่งปี้โกรธมากจนหายใจลำบากขึ้นมาในทันใด หลังจากนั้นนางก็ตะโกนขึ้นมาว่า "ปิดประตู!"

เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดที่นางบอกพวกเขา ประตูถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว นางฟ้าเมิ่งปี้ทนกลืนความคับข้องใจในครั้งนี้ลงไปแล้วจริงๆหรือนี่?

นี่มันเกินความคาดหมายของโหลชีจริงๆ

"ลูกค้าผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญทางนี้ขอรับ" เสี่ยวเอ้อร์ในชุดเขียวก็ก้มหน้าก้มตาและรออยู่ข้างๆอยู่ตลอด เหมือนกับว่าพวกเขาแค่พูดคุยกันเท่านั้นอย่างไรอย่างนั้น

ถ้าเป็นคนอื่นคงแทบอยากจะให้อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่เห็นอะไรไปแล้ว อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการฆ่าคนอยู่ในเขตอิทธิพลของคนอื่นนะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเขาก็ได้ และถ้าหากมีการต่อสู้กันขึ้นมาก็จะทำให้ขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นในตอนนี้เจ้าบ้านแกล้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเลย และพูดตามหลักเหตุผลแล้วโหลชี คือคนที่ยิ่งควรแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเลยเช่นกัน

แต่นางก็แค่สงสัยเท่านั้น

โหลชีเป็นคนที่มีข้อสงสัยและเต็มใจที่จะแก้ไขความข้องใจในที่เกิดเหตุในทันที ไม่เช่นนั้นนางจะรู้สึกอึดอัดใจตายได้

ดังนั้นในขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ชุดเขียวคนนั้นกำลังพาพวกเขาไปที่ห้องอินทนิล​ นางก็เลยถามว่า "นายท่านของเราสังหารองครักษ์ลับของเขาปี้เซียนไปแล้วคนหนึ่งอยู่ที่นี่ เจ้ามองเห็นหรือไม่?"

เฉินซ่าสีหน้ามืดครึ้ม ไม่รู้จะพูดอะไงดี ทำไมฟังจากคำพูดนี้ของนางแล้วถึงได้รู้สึกเหมือนนางกำลังจะพูดว่า นายท่านของเราฆ่าสังหารคนที่นี่ ทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นเสียแล้ว เจ้ารีบไปเรียกคนมาจับกุมเขาเดี๋ยวนี้นะ!

เสี่ยวเอ้อร์ในชุดเขียวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะถามคำถามเช่นนี้ เขาจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มและตอบอย่างขมขื่นว่า "ข้าน้อยเห็นขอรับ"

"งั้นเจ้าไม่กระทำอะไรเลยหรือ?"

เสี่ยวเอ้อร์ในชุดเขียวอ้าปากขึ้นมา แล้วถือโอกาสพูดอย่างตรงไปตรงมาให้รู้แล้วรู้รอดไปว่า "ห้องสัตตะสีบนชั้นสาม ห้องทั้งเจ็ดก็มีการจัดลำดับก่อนหลังเช่นกัน สีแดงเข้ม สีส้ม สีเขียว สีม่วง สีแดงและสีทอง โดยสีแดงจะเป็นจุดเริ่มต้น และสีทองจะเป็นจุดสูงสุด กฎของตึกบุษบาพันธ์คือจะไม่เพิ่มบุญคุณและความแค้นเข้าไประหว่างลูกค้า หากมีการทะเลาะวิวาทกันระหว่างลูกค้า จึงถึงขั้นมีคนเสียชีวิต หวังว่าลูกค้าจะดำเนินการแก้ด้วยตัวเอง หากเกิดความเสียหาย ก็จ่ายค่าชดเชยตามราคามาแค่นั้นขอรับ แต่ถ้ายืนกรานว่าอยากจะสนับสนุนบ่าวภายในหอนี้อย่างแน่นอน ก็จะเป็นไปตามเกณฑ์ของการเรียงลำดับรายชื่อของห้องสัตตะสีขอรับ"

โหลชีรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดนี้ "เราเป็นลูกค้าของห้องอินทนิล​เขาปี้เซียนเป็นลูกค้าของห้องปิตาภรณ์ สีแดงเข้ม สีส้ม สีเขียว สีฟ้า สีม่วง สีแดงและสีทอง เราสูงกว่านางสามระดับ ดังนั้น เมื่อสักครู่นี้ในเมื่อเราได้เปรียบ เจ้าก็ไม่ต้องออกหน้าใช่หรือไม่?"

เสี่ยวเอ้อร์ในชุดเขียวพูดว่า "ถูกต้องขอรับ"

"นี่มันช่างน่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ" โหลชีรู้สึกว่าเถ้าแก่ของตึกบุษบาพันธ์แห่งนี้ค่อนข้างเป็นคนที่มีอุปนิสัยเฉพาะตัวจริงๆจนถึงขนาดที่ว่า นางรู้สึกว่าความคิดของเขานั้นล้ำหน้าเป็นอย่างมาก

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้จ้าวหยุน สามารถจองห้องอินทนิล​ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากเลยทีเดียว

"ห้องทับทิมและห้องกาญจนนั่นถูกใครจองเอาไว้แล้วย่างนั้นหรือ?" โหลชีอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอีกครั้ง

"ลูกค้าผู้มีเกียรติได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย นอกเสียจากลูกค้าผู้มีเกียรติของห้องอินทนิล​ ห้องทับทิมและห้องกาญจนจะยินยอมเอง ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของลูกค้าได้อย่างเด็ดขาดขอรับ"

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ห้องวีไอพีทั้งสามห้องนี้ได้รับการคุ้มครองนั่งเอง

ทันทีที่พูดจบ สาวใช้แสนสวยไม่กี่คนก็กำลังยกไม้เท้าที่เหมือนกับม่านเข้ามา และเดินมาอยู่ข้างๆพวกเขา ซึ่งม่านนั้นได้บดบังสายตาของลูกค้าที่กำลังเดินอยู่ที่ระเบียงทางเดินฝั่งตรงข้ามและห้องโถงใหญ่ชั้นล่างเอาไว้แล้ว

ช่างมีลูกเล่นเยอะจริงๆ

เมื่อพวกเขามาถึงห้องอินทนิล​แล้ว ก็จะมีสาวในชุดสีเขียวสองคนยืนอยู่นอกประตูทั้งซ้ายขวา สาวใช้คนหนึ่งยกมือขึ้นและโค้งคำนับ แล้วรายงานด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มว่า "แขกมาถึงแล้วเจ้าค่ะ"

และอีกคนหนึ่งก็กล่าวทักทายพวกเขา แล้วทำความเคารพ

เมื่อประตูเปิดออกแล้ว ชายร่างคนหนึ่งกำลังยืนตัวตรงอย่างสง่างามอยู่ ซึ่งเขาสวมชุดคลุมสีขาวจันทร์เสี้ยวและหล่อเหลาดั่งเมฆลอยในเดือนมีนาคม

บนใบหน้าของเขากำลังสวมหน้ากากสีเงินอยู่หนึ่งอัน บนหน้ากากได้สลักลายจิ้งจอกสีขาวดั่งหิมะเอาไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งได้เผยให้เห็นริมฝีปากที่ชุ่มชื้นและเซ็กซี่ของเขาออกมา และข้างริมฝีปากก็ยังมีรอยยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อยอีกด้วย

เสี่ยวเอ้อร์และสาวใช้ทั้งหมด รวมทั้งตู้เหวินฮุ่ยและเสี่ยวโฉวต่างก็ตกตะลึงไปพร้อมๆกัน

ชายสองคนล้วนแต่สวมหน้ากาก คนหนึ่งหน้ากากสีเงินและอีกคนก็สีเงิน คนหนึ่งชุดสีขาวและอีกคนหนึ่งชุดสีแดง ซึ่งล้วนแต่มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาเลยสักคน แต่พวกเขากลับทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาไปจากพวกเขาได้เลย

โหลชีหรี่ตาแล้วหรี่ตาอีก ที่แท้นั่นก็คือ จ้าวหยุนจริงๆ

นางไม่ได้สังเกตเห็นว่ารอยยิ้มบนริมฝีปากของจ้าวหยุนได้หายไปครู่หนึ่ง แต่เฉินซ่าได้พบมันแล้ว ดวงตาของเขามีแสงปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง และภายในใจมีเสียงหัวเราะเยาะเสียหนึ่งดังขึ้นมา

เพราะว่าชีชีไม่ได้มาคนเดียว ดังนั้นเขาจึงผิดหวังหรือ?

คิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วงั้นรึ?

"เข้ามาก่อนสิ" จ้าวหยุนเอียงตัวเล็กน้อย แล้วให้พวกเขาเข้าไป

เมื่อประตูปิดลง โหลชีก็ได้ยินเสียงพิณที่ไพเราะค่อยๆพัดผ่านไปเบาๆราวกับสายน้ำ ประสิทธิภาพในการเก็บเสียงของห้องนี้ดีขนาดนี้เชียว! แต่เมื่อพวกเราจับจ้องมองไป พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ห้องวีไอพีที่มีมาตรฐานสูงนี้แตกต่างออกไปจริงๆ

ห้องใหญ่โตมากจนเกินไปแล้ว และด้านหน้ายังมีเวทีโต๊ะดอกไม้ แล้วก็มีหญิงสาวสองคนกำลังนั่งอยู่บนนั้น และกำลังก้มหน้าเล่นกู่ฉิน เสียงฉินดังอ้อยอิ่งขึ้นมาเบาๆ ราวกับว่ามันเป็นเพียงเพลงแบ็คกราวด์ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ในมุมทั้งสี่ของห้องมีไข่มุกราตรีห้อยลงมา และมีโคมไฟเคลือบถ้วยเล็กๆหลายดวง เพียงแค่รัศมีของแสงนั้นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกยอดเยี่ยมอย่างหาใดเปรียบแล้ว และผ้าม่านผืนใหญ่หลายชั้นก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและอบอุ่นออกมา

ตรงข้ามกับเวทีดอกไม้ก็มีโต๊ะน้ำชาที่ปูด้วยพรมหนาๆและเตียงยาวนุ่มๆ บนเตียงยาวนุ่มๆหนึ่งตัวก็ยังมีหนังสือที่เปิดเอาไว้แล้ววางอยู่หนึ่งเล่ม ดูเหมือนว่า ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง จ้าวหยุนก็คงจะกำลังนั่งอ่านหนังสือฟังฉินอยู่บนเตียงยาวตัวนั้น

ด้านข้างโต๊ะน้ำชามีหญิงสาวในชุดขาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ และกำลังชงชาด้วยท่าทางที่สวยงาม กลิ่นชาอบอวลไปทั่วภายในห้อง และไม่มีกลิ่นหอมอื่นใดที่จะแทรกเข้ามาผสมปนเปกันได้เลย

นอกจากนี้ยังมีโต๊ะยาวอยู่ด้านข้าง บนโต๊ะยังมีการจัดวางจานที่ประณีตสวยงามหกจาน และในจานก็เต็มไปด้วยอาหารว่างที่ทำให้ผู้คนมองปราดเดียวก็รู้สึกเจริญอาหารวางอยู่

โหลชีมีจิตใจที่กำลังชื่นชมต่อของห้องส่วนตัวนี้ สีหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากของเฉินซ่าเริ่มมืดดำราวกับหมึกขึ้นเรื่อยๆ อยู่ในห้องส่วนตัวแบบนี้ และอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ ถ้าหากเขาไม่มา ถ้าหากจ้าวหยุนสั่งให้หญิงสาวที่คอยรับใช้เหล่านี้ออกไปอีก เช่นนั้นมันจะไม่มีเลศนัยเกินไปหรอกหรือ?

จุดประสงค์ของจ้าวหยุนผู้นี้ชัดเจนมากเช่นนี้ ชีชีอย่าบอกเขานะว่านางมองไม่ออก

เขาเหยียดแขนของเขาออกไปและต้องการจะนำโหลชีซึ่งกำลังจะนั่งลงอีกด้านหนึ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง แล้วนั่งด้วยกัน

เตียงนุ่มๆที่มีรูปร่างยาว เดิมทีมันก็สามารถให้คนใช้พิงพักผ่อนได้ครึ่งหนึ่ง พวกเขาสองคนนั่งลงด้วยกันจึงไม่แออัดเลย แต่นี่ไม่ควรจะเป็นความสนิทสนมที่คนสองคนพึงมีเป็นการส่วนตัวหรอกหรือ? ต่อหน้าคนนอก นี่มันความหมายมากกะไรนี่นา

โหลชีรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าฝ่าบาทนิสัยเด็กไปเสียแล้ว

จ้าวหยุนนั่งตรงข้ามพวกเขา ยิ้มและพูดว่า "ข้าคิดว่าคนที่นัดหมายน่าจะเป็นคุณชายเจ็ดนะ"

ถ้าเป็นคุณชายเจ็ด เช่นนั้นก็คือนางคนเดียว นางแต่งตัวเป็นผู้ชาย มีตัวตนเดียว แต่นางได้กลับคืนสู่ชุดสตรีและแอบอิงอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ เช่นนั้น ก็หมายความว่า--

พระสนมแห่งพั่วอวี้

จ้าวหยุนรู้สึกว่าเขาไม่ชอบใจมาก ไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

"จิ้งจอกม่วงของข้าล่ะ?" โหลชีรู้สึกว่าลมหายใจของผู้ชายที่อยู่ข้างๆเย็นชามาก อันที่จริงนางไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่นานเกินไปเพราะกลัวว่าอีกสักครู่พวกเขาทั้งสองคนจะทะเลาะกันขึ้นมา

"ตอนนี้ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอย่างไร?" จ้าวหยุนกลับไม่ตอบคำถามของนาง

โหลชีชะงักครู่หนึ่ง มือก็ถูกบีบอย่างแรง นางกลอกตามองบน แล้วพูดว่า "นี่คือสามีของข้า ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าฮูหยินเฉินดีไหม?" อันที่จริง ในเมื่อจ้าวหยุนรู้ตัวตนของนางแล้ว และเขาก็รู้ว่าคนที่อยู่เคียงข้างนางคือเฉินซ่า แต่จ้าวหยุนมีความเฉลียวฉลาด หากไม่เปิดเผยออกมา เขายังสามารถเพิกเฉยต่อเฉินซ่าได้เสมอ

จ้าวหยุนยังคงยิ้มไม่หยุดและส่ายหน้าไปมา แล้วพูดว่า "ไม่ดี ไม่ดี เจ้าอายุยังน้อย และการเรียกเจ้าว่าฮูหยินมันก็ทำให้เจ้าดูเหมือนคนแก่ไปเลยจริงๆ อีกอย่าง เจ้าจัดพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล้วหรือ? แต่งงานกันแล้วหรือยัง?"

คำพูดนี้มีความหมายของการยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งอยู่เล็กน้อย

เฉินซ่าจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า "พวกเรานอนร่วมเตียงเคียงหมอนกัน เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ?"

พุบ

โหลชีเกือบจะสำลักน้ำตายไปแล้ว

ไร้เดียงสา ไร้เดียงสาทั้งสองคนเลย!

นางไม่อยากสนใจผู้ชายไร้เดียงสาทั้งสองคน จึงยืนขึ้นมาและมองไปรอบๆเพื่อค้นหาร่องรอยของ จิ้งจอกม่วง ถ้าวู๊วูอยู่ที่นี่ ก็น่าจะถึงเวลาที่มันจะกระโดดออกมาได้แล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่า เจ้าจิ้งจอกน้อยนั่นจะโกรธนางและไม่ต้องการที่จะพบหน้านางอีกแล้ว?

โหลชีกำลังจะหันกลับไปถามจ้าวหยุนอีกครั้ง แต่เสียงที่นุ่มนวลของสาวใช้กลับดังขึ้นมาจากมาจากนอกประตู "คุณชาย มีแขกมาขอพบท่านเจ้าค่ะ"

จากนั้นสาวใช้ก็เข้ามาพร้อมถาดเงิน และบนถาดเงินก็มีหัวจดหมายที่วาดรูปดอกกะเรกะร่อนนิลบนพื้นหลังสีขาววางอยู่ แต่ทว่า สาวใช้กลับถือถาดเงินนี้ไปอยู่ตรงหน้าโหลชี

"ฮูหยิน คำเชิญเข้าพบของแขกเจ้าค่ะ"

คำเชิญเข้าพบหรือ? เพราะอยู่ในห้องอินทนิล​ ดังนั้นถ้าต้องการจะพบคนที่อยู่ข้างใน จะต้องส่งจดหมายแบบนี้ก่อนอย่างนั้นรึ?

โหลชีกำลังจะหยิบมันขึ้นมา นางกลับได้กลิ่นหอมที่จางมากๆในทันที หลังจากที่รับจดหมายมาแล้ว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาหยิบจดหมายขึ้นมาเปิด แล้วกวาดตามองตัวอักษรหนึ่งบรรทัดนั้น จากนั้นนางก็พับจดหมายนั้นแล้วยัดมันเข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ นางหันไปหา จ้าวหยุนและพูดว่า "เจ้าเฝ้าดูจิ้งจอกม่วงอย่างไร? มันไปสร้างปัญหาขึ้นมาแล้วเจ้าก็ยังไม่รู้เลย!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ